“ถูกต้อง” เฉินเซ่าเอ่ยออกมาที่ละคำด้วยสีหน้าแน่วแน่
ภายในห้องเงียบสงัดลงอีกครั้ง
ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างของห้องโถง เสียงขลุ่ยดังลอยเข้ามาจากที่ไหนสักแห่ง
ท่วงทำนองของบทเพลงแฝงไปด้วยความเศร้าโศก ทว่าไม่ได้เกิดจากอารมณ์ แต่น่าจะเป็นเพราะยังขาดความชำนาญเสียมากกว่า
เสียงขลุ่ยหยุดลงโดยพลัน
“แม่นางสิบแปด เจ้าทำอะไร”
ณ ห้องโถงบุฟผาของบ้านตระกูลเฉิน แม่นางน้อยที่ถูกแย่งขลุ่ยเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“อย่ามาเป่าที่นี่ ไปเป่าที่อื่น” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยพลางครุ่นคิดชั่วครู่ “วันนี้ไม่ต้องเป่าแล้ว ค่อยเป่าวันอื่นแล้วกัน”
“ทำไมเล่า ข้าเป่าอยู่ทุกวัน ทำไมวันนี้ถึงเป่าไม่ได้” แม่นางน้อยขมวดคิ้วแล้วพูดพลางมองหน้าแม่นางเฉินสิบแปดอีกครั้ง “หลายวันมานี้ทำไมไม่ออกไปเขียนหนังสือกับแม่นางเจียวเหนียงแล้วเล่า”
แม่นางเฉินสิบแปดหันหลังกลับกำลังจะยกเท้าเดิน
“ท่านปู่ให้ข้าอยู่บ้านช่วยคัดลอกตำราให้ท่าน” นางตอบ
“เอาขลุ่ยข้าคืนมา” แม่นางน้อยพูดแล้วเดินตามมา
ทั้งสองเดินจากไปในเวลาไล่เลี่ยกัน
เฉินเซ่าที่อยู่ในห้องหนังสือวางถ้วยชาลง
“แม่นางเฉิง ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนมีเหตุผล” เขาเอ่ย “เจ้าก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้สึก แต่เกี่ยวข้องกับหลักกฎหมายที่ละเมิดไม่ได้”
“นอกจากหลักกฎหมายแล้ว ยังมีการอภัยโทษ” เฉิงเจียวเหนียงพูด
“การอภัยโทษนั้นสำหรับเรื่องอื่น” เฉินเซ่าพูดด้วยใบหน้าอ่อนโยนยิ้มแย้ม “การลงโทษก็คือลงโทษ ไม่ได้ลงโทษเพียงเพราะเป็นสหายกับผู้กระทำผิด ไม่ได้ลงโทษเพราะมีความสัมพันธ์กับผู้ใด ตรงนี้เจ้าวางใจได้”
“ใต้เท้า ข้าคิดว่าเรื่องนี้พวกท่านเร่งเร้ากดดันมากเกินไป เดิมทีไม่ควรถูกตัดสินประหารชีวิตเสียด้วยซ้ำ” เฉิงเจียวเหนียงพูด
เฉินเซ่ายักคิ้วเล็กน้อย เร่งเร้ากดดันมากเกินไปหรือ ประโยคนี้ดูเหมือนจะได้ยินในทุกที่ แต่เขากลับไม่ชอบประโยคนี้เอาเสียเลย
อะไรคือเร่งเร้า อะไรคือกดดัน เรื่องใหญ่ภายในบ้านเมืองจะทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็น ให้ปล่อยปละละเลยได้อย่างไร
“เร่งเร้ากดดันมากเกินไปหรือ คนเหล่านี้โลภมาก เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว สั่นคลอนความมั่นคงของบ้านเมือง พอกองทหารทางตะวันตกเฉียงเหนือพ่ายศัตรู ชาวเมืองจำต้องพลัดถิ่น ผู้ใดกันแน่ที่เร่งเร้ากดดันให้พวกเขาทำเช่นนั้น” เขาเลิกคิ้วและตะโกน “กบฏเหล่านี้จะให้อภัยได้เช่นไร! ”
เสียงพูดจบลง ห้องหนังสือก็เงียบสงบลงอีกครั้ง
“เจียวเหนียงเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของการบริหารราชการแผ่นดิน เจ้าอย่าได้ถามเรื่องนี้อีกเลย” เฉินเซ่าพูดด้วยสีหน้าที่มิอาจอดกลั้นได้อีกต่อไป “เจ้าก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า พวกเขาทำผิดมาก่อนแต่กลับปิดบัง ที่พวกเขาเป็นเช่นนี้ เพราะทำตัวเอง”
เขาให้เกียรตินางเพราะเป็นผู้มีบุญคุณของท่านพ่อ หากลองเป็นบุตรวัยเดียวกันของคนอื่นมาถกเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินเช่นนี้ เขาคงตวาดไล่ออกไปนานแล้ว
เฉิงเจียวเหนียงโค้งคำนับ
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าขอตัวกลับก่อน” นางเอ่ย
เฉินเซ่าไม่ได้รั้งทั้งยังไม่ได้พูดอะไรต่อ เขามองดูแม่นางลุกขึ้นสะบัดชุด โค้งตัวคำนับอีกครั้งแล้วก้าวเดินออกไป
ทว่านางกลับหยุดอยู่ที่หน้าประตู
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” นางหันกลับมาเอ่ย “ใต้เท้าเฉิน ข้ารับเงินค่ารักษา ครอบครัวของท่านไม่ได้เป็นหนี้ข้า”
เฉินเซ่าตะลึงเล็กน้อยแล้วรีบส่ายหน้า
นี่นางโมโหหรือ
แต่ทว่าเรื่องเช่นนี้ อย่าพูดว่าทำให้แม่นางน้อยผู้นี้เสียใจเลย เพราะแม้แต่ตัวเองจะตกอยู่ในอันตราย เขาก็จะไม่มีวันยอมลดลาวาศอกเด็ดขาด
ไม่ไว้หน้าโอรสสวรรค์แล้วอย่างไรเล่า ล่วงเกินผลประโยชน์ของเชื้อพระวงศ์และขุนนางแล้วอย่างไรเล่า
ชีวิตเพื่อชาติบ้านเมือง เมื่อได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากโอรสสวรรค์ จักอุทิศตนทั้งหมดเพื่อตอบแทน
เฉินเซ่าหยิบม้วนหนังสือขึ้นมาจากโต๊ะแล้วก้มหน้าเปิดอ่าน
เมื่อเห็นหญิงสาวและสาวใช้พากันเดินออกไป สาวใช้คนหนึ่งก็ชะโงกหัวออมาจากกำแพง ก่อนจะหันหลังวิ่งเข้าไปในลานบ้าน
ระเบียงทางเดินหน้าห้องของนายใหญ่เฉิน เหล่าหลานสาวกำลังหัวเราะหยอกล้อกับนกน้อยอยู่ สาวใช้รีบวิ่งเข้ามาแล้วกระซิบข้างหูของแม่นางเฉินสิบแปดสองสามประโยค สีหน้าแม่นางเฉินสิบแปดเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะหันหลังเดินไปที่ห้องโถง
“แม่นางสิบแปดเป็นอะไรไป”
“ใครจะไปรู้ หลายวันมานี้ทำตัวแปลกนัก เมื่อครู่ก็แย่งขลุ่ยข้า”
พี่สาวและน้องสาวคนอื่นๆ กระซิบกระซาบกัน
“ท่านปู่ ตกลงเกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
ณ ห้องโถง แม่นางเฉินสิบแปดถามอย่างกังวล
“ท่านพ่อและแม่นางเฉิงขัดแย้งกันเรื่องความเห็นทางการเมืองหรือเจ้าคะ”
นายใหญ่เฉินกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
“แม่นางเฉิงไม่ใช่ขุนนาง ท่านลุงของนางก็เป็นแม่ทัพ จะถกความคิดเห็นทางการเมืองกับท่านพ่อเจ้าได้อย่างไร” เขาพูดพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “น่าจะพูดว่ามุมมองทางการเมืองของท่านพ่อเจ้าไม่สอดคล้องกับความต้องการของนาง”
“หากเป็นเช่นนี้ แม่นางเฉิงจะไม่ไปมาหาสู่กับพวกเราแล้วหรือ” แม่นางเฉินสิบแปดถาม
นายใหญ่เฉินหัวเราะ
“ไม่หรอก” เขาส่ายหน้าพลางเอ่ย “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของท่านพ่อเจ้า นางเผชิญกับปัญหา ต้นเหตุก็ไม่ได้มาจากของท่านพ่อของเจ้า เมื่อสิ่งที่ร้องขอไม่ได้ตอบสนอง จะโทษท่านพ่อของเจ้าได้อย่างไร”
“แต่ทว่า สิ่งที่ท่านช่วยได้แต่กลับไม่ช่วย จะถูกมองว่าเป็นศัตรูนะเจ้าคะ” แม่นางเฉินสิบแปดพูด
“แม่นางเฉิงไม่ใช่คนแบบนั้น” นายใหญ่เฉินพูดพลางยิ้มบาง “แต่หากเป็นเช่นนั้น ไม่ติดต่อกันอีกก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้”
แม่นางเฉินสิบแปดถอนหายใจแผ่วเบา
“ท่านปู่ ข้าเข้าใจเหตุผลดี แต่ก็ยังรู้สึกเศร้าใจ” นางเอ่ย
“รู้จักปลดปล่อยและยับยั้งอารมณ์ ถึงจะเรียกว่าเป็นมนุษย์” นายใหญ่เฉินพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีทางเลือกอื่น ชีวิตก็เป็นเช่นนี้แล แม้จะมองความสุขและความทุกข์ทะลุปรุโปร่งแล้ว ใช่ว่าจะปล่อยวางได้”
“ถ้าทุกอย่างไม่เปลี่ยนก็คงดี” แม่นางเฉินสิบแปดพูด
นายใหญ่เฉินหัวเราะ
“กาลเวลาผ่านไปก็เหมือนสายน้ำที่ไหลไปอย่างไม่หยุดยั้ง และนี่คือสิ่งที่ท่านขงจื่อก็จนปัญญาเช่นกัน” เขาพูด
รถม้าแล่นผ่านถนน ภายในรถม้าเฉิงเจียวเหนียงกำลังกางกระดาษออก ลายมือนั้นงดงามพลิ้วไหว
“ข้าเองก็รู้อะไรไม่มากนัก ฟังเรื่องซุบซิบนินทานั้นง่าย แต่ช่วยแม่นางได้ไม่มาก”
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ายื่นมือออกมาจับแขนเสื้อ สีหน้าของเขาชัดเจนประดุจเสียงของเขา
“ตอนข้ารู้เรื่อง เวลาค่อนข้างกระชั้นชิด เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ของราชสำนัก มีผู้เกี่ยวข้องมากมาย เด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างพวกเราจะพูดอะไรมากคงไม่ได้ จะมาขอความช่วยเหลือจากท่านพ่อข้าก็เป็นไปไม่ได้ ท่านพ่อข้าไม่ฟังข้า ราชสำนักก็ไม่ฟังท่านพ่อข้าเช่นกัน ข้าขอพู่กันและกระดาษจากแม่นาง สิ่งที่ข้าทำได้คงเป็นเพียงหาชื่อแซ่และตำแหน่งของขุนนางที่ว่าความให้แก่ทั้งสองฝ่าย และสืบถามความสัมพันธ์ของพวกเขา”
“คนเหล่านั้นไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย เพียงต้องการสอบสวนการทหารของกองทัพตะวันตกเฉียงเหนืออย่างละเอียด เป้าหมายคือถอนรากถอนโคนเหล่าขุนนางผู้มีอำนาจเดิมให้หมดสิ้น ดังนั้น คดีหนีทหารจึงเป็นเหตุผลชั้นเยี่ยม”
“ส่วนฝ่าบาท ยังไม่แน่ใจเท่าไรนัก”
“อาศัยการแพ้ศึกของกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือมาลงโทษหวังปู้ถัง ฝ่าบาทยังคงกริ้วไม่หาย ดังนั้นพวกใต้เท้าเฉินจึงมิอาจพลาดโอกาสนี้ไปได้”
“ขณะที่พวกเจ้ากรมกิจการเกาก็คงไม่ยอมเป็นแน่ หวังปู้ถังถูกกำจัด แต่อำนาจยังคงอยู่ ตราบใดที่รากฐานยังมั่นคง จะอุ้มชูหวังปู้ถังอีกสักกี่คนก็ย่อมเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าหากถูกถอนรากถอนโคน นี่ถือเป็นการกำจัดต้นตออย่างไม่ต้องสงสัย จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะสู้กันยิบตาเช่นนี้”
“ดังนั้นจนถึงตอนนี้ ฝ่ายหนึ่งต้องการกำจัดทหารหนีทัพเพื่อยุติเรื่องนี้ อีกฝ่ายไม่สนใจทหารหนีทัพ ไม่ว่าจะสั่งประหารหรือไม่ เรื่องทั้งหมดต้องถูกสอบสวน ยามนี้ใต้เท้าเฉินย่อมไม่มีทางออกหน้าแทนทหารหนีทัพ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะช่วยชีวิตพวกเขาเลย แน่นอนว่านี่เป็นโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีตนอย่างไม่ต้องสงสัย”
ท่านชายฉินสิบสามวางพู่กันแล้วมองไปที่เฉิงเจียวเหนียง
“คราวก่อนราชเลขาหลิวโจมตีจากที่ลับ พวกเราก็เอาคืนด้วยวิธีเช่นเดียวกัน แต่คราวนี้ไม่ว่าทั้งสองฝ่ายจะวางแผนการใดอยู่ในใจ แต่เบื้องหน้าคือการฟาดฟันกันด้วยกฎหมาย ข้าชายสิบสามผู้นี้ก็เคยพิการมาก่อน แม้ตอนนี้จะหายเป็นปกติแล้ว แต่อายุยังน้อย ไม่มีพละกำลังมากพอที่จะช่วยเหลืออะไรได้ จึงไม่แปลกที่ท่านชายโจวหกจะไม่เล่าให้ข้าฟัง เพราะเรื่องนี้มิอาจพูดคุยกันได้จริงๆ ”
รถม้าหยุดกะทันหัน จนร่างของเฉิงเจียวเหนียงโอนเอนไปมา นางหลบสายตากลับมา ยามนี้บนท้องถนนด้านนอกเสียงดังโหวกเหวกกว่าเมื่อครู่นัก
“ใกล้ถึงบ้านของตระกูลจางแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยกระซิบ
บ้านของตระกูลจางตั้งอยู่ในตรอกกลางเมือง ที่แห่งนี้ไม่เหมือนกับที่ตั้งของร้านนางฟ้าที่มีโรงเตี๊ยมและร้านค้าที่งดงามตระการตา แต่เป็นใจกลางเมืองเต็มไปด้วยคนยากคนจน ไม่มีร้านค้า มีแต่หาบเร่ กุลีเสื้อขาดหลุดลุ่ย และนางโลมแต่งองค์สวยงาม
เฉิงเจียวเหนียงขยำกระดาษเป็นก้อนกลมของแล้วโยนให้กับสาวใช้
สาวใช้ยื่นมือรับ หยิบพับไฟ[1]ที่ติดตัวขึ้นมา นางดึงกระถางธูปใบเล็กในรถออกมา ก่อนจะเขย่า ทันใดนั้นพับไฟก็ติดไฟลุกไหม้ในทันที ยามเมื่อรถหยุดจอด ในกระถางก็เหลือเพียงกองขี้เถ้าแล้ว
ประตูบ้านของตระกูลจางถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย เมื่อเห็นสาวใช้ สีหน้าของบ่าวชราก็ดูแปลกไป เล็กน้อย ทว่าสาวใช้ที่กำลังกังวลใจกลับไม่ทันสังเกต
“นายท่านอยู่หรือไม่” นางถามอย่างเร่งรีบแล้วเดินก้าวไปข้างหน้า
บ่าวชราเข้ามาขวางประตูไว้
“ซู่ซิน…ไม่สิ ปั้นฉิน” เขาพูดอย่างลำบากใจ “นายท่านไม่อยู่”
สาวใช้ตกใจ
“เมื่อวานข้าพบกับนายท่านแล้ว บอกว่าพวกเราจะมาหาวันนี้” นางเอ่ย
บ่าวชรากระแอมขึ้นมา
นี่กำลังกล่าวหานายท่านว่าผิดคำพูดหรือ
“นายท่านไปสำนักบัณฑิตแล้ว” เขาพูด “มาใหม่พรุ่งนี้ไหม”
“พรุ่งนี้มาก็ใช่ว่าจะได้เจอ” สาวใช้พูดพลางกัดริมฝีปากล่าง
ประโยคนี้ช่างไม่สุภาพเอาเสียเลย
บ่าวชราถอนหายใจก่อนจะเหลือบมองไปที่รถม้าข้างๆ
“ซู่ซิน” เขาพูดเสียงเบา “ก่อเรื่องร้ายแรงมาใช่หรือไม่”
“เปล่าเสียหน่อย! ” สาวใช้พูดด้วยความโกรธ โบกมือแล้วหันหลังกลับ “ข้าไปก่อน”
บ่าวชราร้องเรียกอยู่หลายที แต่สุดท้ายรั้งสาวใช้ไว้ไม้ได้ ทำได้เพียงมองดูนางเดินจากไป
………………………….
[1] กระดาษที่ใช้จุดไฟ