เมื่อนางกลับมายืนอยู่ข้างรถ น้ำตาของสาวใช้แทบจะไหลออกมา ทั้งน้อยใจ ทั้งละอายใจ และทั้งกังวลใจ
“นายท่านไปสำนักบัณฑิตแล้วเจ้าค่ะ” นางสูดน้ำมูกพลางเอ่ย
“เช่นนั้น เราไปสำนักบัณฑิตกันเถอะ” เฉิงเจียวเหนียงพูดพลางยกม่านขึ้นแล้วยิ้มให้กับสาวใช้ที่เศร้าใจอยู่ “มันไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่นที่จะต้องยื่นมือช่วย หากช่วยแล้วก็คือบุญคุณ ไม่ช่วยก็คือเรื่องธรรมดา ขอร้องคนต้องนอบน้อม เจ้าจะเศร้าโศกอะไร”
รถม้าเลี้ยวกลับแล้วมุ่งหน้าออกไปนอกเมือง
“นายท่านก็เป็นเสียแบบนี้”
สาวใช้พูดด้วยความโกรธเคืองขณะนั่งอยู่บนรถม้า
“ดื้อรั้นยิ่งนัก พูดคุยไม่ถูกคอก็ไม่ไว้หน้า ทั้งที่เป็นคนมีมารยาท อ่อนโยนและสุภาพแท้ๆ แต่บางครั้งท่านกลับทำเรื่อง… ระหว่างสอนอยู่ที่เมืองเหลียนโจว ไม่รู้ว่าพูดแรงหรือทำอะไรเกินไป ลูกศิษย์ของลัทธิขงจื่อส่งคนมาลอบสังหาร หากไม่ใช่เพราะว่าได้รับการคุ้มครองจากขุนนางท้องถิ่นช่วยเอาไว้ ยามนี้คงไม่ได้เป็นยอดบัณฑิตเช่นตอนนี้หรอก”
“ผิดแล้ว หากไม่เป็นเช่นนั้นคงยากที่จะไปถึงตำแหน่งยอดบัณฑิตในตอนนี้” เฉิงเจียวเหนียงพูด
เป็นเรื่องไม่ดีที่พูดนินทาเจ้านายเก่า สาวใช้โมโหจนบ่นออกมา ทว่านางเลือกที่จะไม่พูดต่อ แต่กลับฟังเฉิงเจียวเหนียงพูดแทน ก่อนจะยิ้มตาม
“ป่านนี้แล้ว นายหญิงยังชื่นชมนายท่านอยู่อีก” นางเอ่ย
“ท่านสมควรได้รับการยกย่อง” เฉิงเจียวเหนียงพูด
จากนั้นทั้งสองนั่งเงียบจนถึงสำนักบัณฑิตนอกเมือง โชคดีที่หลังจากถามไถ่แล้ว ได้ความว่าจางฉุนอยู่ที่นี่
คนที่นำทางคือบ่าวน้อยในชุดสีเขียว ดูเหมือนจะสนิทสนมกับสาวใช้นัก เขาพูดคุยหัวเราะกันและเรียกนางว่าพี่สาว ท่าทางเช่นนี้ทำให้สาวใช้ที่ถูกขวางอยู่นอกบ้านของตระกูลจางใจชื้นขึ้นมาบ้างแล้ว
“เมื่อวานมีเรื่องกะทันหัน ต้องเขียนตำราสำคัญ จึงมาทำใจให้สงบที่สำนักบัณฑิต” บ่าวพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูผ่อนคลาย
ในที่สุด สาวใช้ที่หน้าตาตึงเครียดก็ยิ้มออก
ณ เวลานี้ สำนักบัณฑิตเลิกเรียนแล้ว เหล่าบรรดาบัณฑิตพากันแยกย้ายกลับไปทั่วสารทิศ บ้างก็ฝึกฝนศิลปะทั้งหก บ้างก็พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน
บัณฑิตคนหนึ่งกำลังร่ายบทกลอน คนโดยรอบต่างปรบมือชื่นชม ขณะนั้นเองท่านชายเฉิงสี่ถึงกับชะงักไป มือที่ยกขึ้นค้างอยู่กลางอากาศ ก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมกับส่งเสียงสงสัย
“สหายหมิงเต๋อ” คนข้างๆ เรียก “เป็นอะไรไปหรือ”
“ดูเหมือนข้าจะเห็นน้องสาวของข้า” ท่านชายเฉิงสี่ตอบ ก่อนจะเดินก้าวเข้าไปใกล้ๆ
น้องสาวรึ
ทุกวันนี้มีหญิงสาวที่เรียนหนังสือมากกว่าแต่ก่อน ทว่าแต่ล้วนเชิญอาจารย์ไปสอนที่บ้าน หากมาเรียนถึงสำนักบัณฑิตคงไม่มีแน่ ส่วนเรื่องที่จะมาเยี่ยมเยียนพี่น้องนั้น ยิ่งเป็นไปไม่ได้
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างมองตามไป ก็เห็นเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังนำทางหญิงสาวสองคนไปที่ป่าไผ่จากระยะไกล จึงเห็นเพียงด้านข้างเท่านั้น แม้จะเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน แต่ได้เห็นเพียงเท่านั้นทุกคนล้วนตกตะลึง
ป่าไม้ไผ่ ชุดสีเรียบ ย่างก้าวแสนเชื่องช้า ประดุจภาพวาดหญิงงามเดินขึ้นภูเขา
กลุ่มคนเดินหายเข้าไปในป่าไผ่อย่างรวดเร็ว
“สหายหมิงเต๋อ นั่นคือบ่าวของท่านอาจารย์เจียงโจว ทางที่พวกเขามุ่งหน้าไปคือลานบ้านของท่านอาจารย์ น้องสาวเจ้าจะเข้าพบท่านอาจารย์หรือ” ทุกคนถามหลังจากได้สติ สีหน้าแปลกใจ อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจท่านชายเฉิงสี่อีกครั้ง
เพื่อนร่วมชั้นแต่ละคนมาจากที่ใดกันบ้าง ทุกคนต่างสืบรู้มาล่วงหน้าและรู้ดีแก่ใจ ทั้งภูมิหลังส่วนตัวและของตระกูล ซึ่งภูมิหลังของทางครอบครัวท่านชายเฉิงสี่ก็ธรรมดาทั่วไป มาเรียนที่นี่ได้เพราะเป็นคนบ้านเดียวกับท่านอาจารย์เจียงโจว
ทุกวันนี้ นอกจากเวลาเรียน ก็ไม่มีโอกาสพบเจอกับท่านอาจารย์เจียงโจว
เขายังไม่มีโอกาสนี้ด้วยซ้ำ แต่น้องสาวจะเข้าพบได้จริงๆ หรือ
“ข้าคงเห็นผิดคนแล้วกระมัง” ท่านชายเฉิงสี่หัวเราะอย่างเขินอาย
เหตุผลนี้ยังพอฟังขึ้น ทุกคนจึงโล่งใจ
“น้องสาวเจ้าอยู่ที่เจียงโจวไม่ใช่หรือ จะมาไกลขนาดนี้ได้อย่างไร”
“หมิงเต๋อห่างบ้านเป็นครั้งแรกล่ะสิ คิดถึงบ้านเสียจน…”
“ดูเหมือนน้องสาวจะสนิทกับเจ้ามากนะ”
ทุกคนพูดติดตลก ก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง แล้วขับร้องกลอนโต้ตอบกันต่อ ทว่าท่านชายเฉิงสี่กลับใจลอยอย่างเห็นได้ชัด
น้องสาวของเขาอยู่ที่เมืองหลวง และน้องสาวของเขาก็มีความข้องเกี่ยวกับตระกูลจางจริงๆ
สาวใช้ของน้องสาว ก็คือสาวใช้ของบ้านตระกูลจาง
เป็นไปได้ที่นางจะมาที่นี่จริงๆ
ท่านชายเฉิงสี่หันหน้ามองไปทางป่าไผ่ แววตาเผยความประหลาดใจอย่างปิดไม่มิด
นางมาทำอะไร มาเยี่ยมตนหรือ ไม่จำเป็นต้องเข้าพบท่านอาจารย์เจียงโจวก่อนสักหน่อย
สาวใช้เคยมาสำนักบัณฑิตแล้วหลายหน แม้จะไม่คุ้นเคย แต่เมื่อเห็นบ่าวนำทางไปยังห้องหนังสือของจางเจียงโจว ไม่ได้ให้ไปรอที่โถงด้านข้าง สาวใช้จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ท่านอาจารย์ แม่นางเฉิงมาถึงแล้วขอรับ” บ่าวพูดขณะยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ประตูห้องโถงถูกเปิดออก ทำให้มองเห็นห้องได้อย่างชัดเจน บัณฑิตวัยกลางคนร่างสูงใหญ่สวมใส่ชุดคลุมยาวที่กำลังเขียนหนังสืออยู่ที่โต๊ะเงยหน้าขึ้นมอง
ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมเช่นเดียวกับร่างกายกำยำของเขา
เฉิงเจียวเหนียงโค้งคำนับ
“เข้ามาสิ” จางฉุนวางพู่กันในมือลงแล้วเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงคำนับขอบคุณ เพียงก้าวเข้าห้องโถง นางก็คุกเข่าลงที่เบาะรองนั่งต่อหน้าจางฉุน
บ่าวยกน้ำชาเข้ามา ก่อนจะคำนับแล้วถอยออกไป
“จางฉุนขอขอบคุณแม่นางเฉิงที่ช่วยชีวิตท่านพ่อของข้า” จางฉุนพูดตรงไปตรงมาพร้อมกับก้มคำนับ
“เรื่องเล็กน้อย ก็แค่ผลไม้แช่อิ่มลูกเดียวเท่านั้น มิกล้ารับการคำนับเช่นนี้หรอก” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
“ก่อนท่านพ่อจะเดินทาง กำชับกับข้าไว้ว่าหากเจ้ามีปัญหา ให้ข้าช่วยเหลือด้วย” จางฉุนพูด
เฉิงเจียวเหนียงไม่ทันจะเอ่ยปากพูด เขาก็พูดต่อ “แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่หากแม่นางกระทำการขัดต่อหลักศีลธรรมและหลักกฎหมาย ได้โปรดยกโทษให้กับตระกูลจางที่มิสามารถทำตามที่ท่านปรารถนาได้ หวังว่าแม่นางจะให้อภัย และโปรดอย่าเอ่ยวาจานั้นออกมาเลย”
สาวใช้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงระเบียงด้านนอกกัดริมฝีปากล่าง ก่อนจะหันมองเข้าไปด้านใน
นายท่านรู้ถึงสาเหตุการมาของพวกเรา เรื่องทหารหนีทัพควรถูกประหารตามกลักกฎหมาย นายท่านแสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่าจะไม่ช่วยเหลือ
รู้อยู่แล้วว่าเขาจะทำเช่นนี้!
พอจางฉุนพูดจบ ภายในห้องเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง
“ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องลำบากใจ ข้าเพียงต้องการให้ท่านจางฟังข้าสักหน่อย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“ท่านพูดได้เลยตามสบาย ข้าจะตั้งใจฟังด้วยความเคารพ” จางฉุนเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงก้มศีรษะขอบคุณ
“ในเมื่อท่านเอ่ยเช่นนี้แล้ว ข้าก็จะพูดอย่างตรงไปตรงมา” นางพูด “ข้ามาที่นี่ ไม่ได้จะมาขอร้องให้ช่วยพี่น้องพ้นผิด”
ไม่ใช่ต้องการให้พ้นผิดหรือ
สาวใช้สับสนเล็กน้อย สีหน้าของจางฉุนยังคงเดิม ราวกับว่าไม่ว่าจะได้ยินได้ฟังอะไรก็ตาม ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงเขาได้
“แม้ว่าพี่ชายข้าจะถูกใส่ร้ายและไม่ได้รับความเป็นธรรมจนจำใจต้องหนีออกมา แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขามีความผิดโทษฐานหนีทหาร” เฉิงเจียวเหนียงพูด
จางฉุนตอบรับ
“พูดได้ไม่เลว” เขาพูด “เจ้าพูดว่าพวกเขาไม่มีทางเลือก แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า”
“ทำอะไรไม่ได้” เฉิงเจียวเหนียงตอบ “ไม่มีทางเลือกไม่ใช่เหตุผลสำหรับการอภัยโทษ”
จางฉุนไม่ได้พูดต่อ
“ข้าเพียงแต่คิดว่าคนเราต้องตายอย่างสมศักดิ์ศรี” เฉิงเจียวเหนียงพูด “ข้าไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเป็นเช่นไร แต่นับตั้งแต่มาอยู่กับข้า ไม่ว่าจะที่เรือนไท่ผิงหรือเรือนนางฟ้า ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ตาม ในแต่ละวันพวกเขาล้วนรำกระบี่กระบอง ฝึกฝนยิงธนู ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อย่างขยันขันแข็งเพื่อเสริมสร้างพละกำลัง ไม่ว่าจะยามฝนตกหรือแดดออก”
“พวกเขาเป็นเจ้าของเรือนไท่ผิงและเรือนนางฟ้าครึ่งหนึ่ง เงินปันผลที่ได้รับก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเขา ไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่ไปตลอดชีวิต ถือว่าคนร่ำรวยในเมืองหลวง”
“แต่หลิวขุยกลับมาจับกุมพวกเขา ทว่าฝีมืออย่างพวกเขาสามารถหนีได้อย่างงาย และข้าเคยกำชับกับพวกเขาไว้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ห้ามถูกจับเข้าคุกเด็ดขาด ขอเพียงแค่อยู่ข้างนอก ต่อให้ฆ่าคน ข้าก็จะมีวิธีช่วยให้รอด”
“แต่พวกเขาไม่ทำตาม เพียงเพราะหลิวขุยพูดไม่กี่คำ พวกเขาก็หยุดขัดขืนเสียแล้ว”
“เพราะกลัวตายหรือ พวกเขาหนีทหาร พวกเขารู้ดีว่าการหนีทหารต้องได้รับโทษเช่นไร หากกลัวตายจริง จะถูกจับได้อย่างไร”
“เพราะพวกเขารู้จักความถูกต้อง”
“บุรุษต้องรู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่ขอมีลาภยศถาบรรดาศักดิ์ แต่ขอตายอย่างสมศักดิ์ศรี พี่น้องของข้าฆ่าทหารศัตรูเพื่อปกป้องบ้านเมือง หยาดเลือดไหลหยดในยามสงคราม แม้จะตายในสมรภูมิรบก็ไม่คิดเสียดาย แม้พวกเขายังนับว่าไม่ใช่สุภาพบุรุษ แต่ก็รู้ว่าความจงรักภักดีคือสิ่งที่ถูกต้อง การหนีทหารคือสิ่งที่ผิด การฆ่าศัตรูคือความดีความชอบ การฆ่าคนในชาติคือความชั่วช้า หากพวกเขาถูกจับเพราะหนีความผิด พวกเขาคงตายตาหลับ แต่หากถูกฆ่าเพราะหนีภัย คงตายไม่สมศักดิ์ศรีชายชาติทหาร”
“พูดได้ไม่เลว” จางฉุนพยักหน้า “แล้วอย่างไรต่อเล่า”
“ไม่อย่างไร แค่อยากหาคนระบายเท่านั้น” เฉิงเจียวเหนียงพูดต่อ “เพราะตอนนี้มีเพียงท่านเท่านั้นที่ยอมฟังข้า คนอื่นไม่เต็มใจและไม่อยากฟังที่ข้าพูด สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่ว่าทหารหรือหมาหลบหนี ล้วนมีค่าเท่ากัน สิ่งที่พวกเขาสนใจคืออักษรที่เขียนเพียงคำว่าหนี ไม่ใช่คำว่าทหาร”
“พวกเขาถูกตัดสินประหารชีวิต มิได้เกินไป ต้องปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด”
“ก็แค่ตายไม่สมศักดิ์ศรีเท่านั้น”
“การสังหารผู้หนีทหาร ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเขียนเสือให้วัวกลัวและตักเตือนเท่านั้น แต่การประหารชีวิตในเมืองหลวง แล้วประกาศแจ้งกับเมืองชายแดน สำหรับทหารที่อยู่ห่างไกลออกไป เอกสาราชการนี้จะทำให้ใครตกใจกลัวหรือ”
“พูดว่าหนีทหารสมควรตาย ใต้เท้ารู้หรือไม่ว่าทั่วหล้านี้มีคนหนีทหารกี่คน หากถูกจับฆ่าทุกคน ราชสำนักจะมีทหารปกครองชายแดนเหลือสักกี่คน พี่ชายทั้งหลายของข้าเพราะกระทำความผิดในเมืองหลวงและในสงครามการแย่งชิงของแต่ละพรรคพวก ขัดขวางการใหญ่ของผู้มีอำนาจ หนามเล็กๆ เตะทิ้งได้ก็เตะทิ้งไป แค่ไม่กี่ชีวิตเท่านั้น ทำให้ตกใจกลัวหรือ ตักเตือนหรือ พูดให้ดูดีเท่านั้น หากตายเพราะเหตุนี้จริงๆ ก็ถือว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตายอย่างสมศักดิ์ศรีเลย”
“มีคนมากมายในโลกที่ตายไม่สมศักดิ์ศรี” จางฉุนเอ่ย
“นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงมีการถกเถียงกันระหว่างลัทธิเต๋าและหลักความยุติธรรม และเหตุผลก็คือให้โลกรู้ความจริงและรู้ว่าควรปฏิบัติตนเช่นไร” เฉิงเจียวเหนียงพูด
“ดังนั้น ที่เจ้าพูดไปพูดมา ก็เพียงเพื่อต้องการยกโทษให้คนเหล่านี้”
“จุดประสงค์ของการประหารผู้หลบหนีคือการรวมกองทัพและเสริมกำลังกองทัพ บรรเทาความทุกข์ยากของบ้านเมือง ช่วยเหลือกองทัพชายแดนที่ประสบปัญหา ไม่ใช่การแย่งชิงผลประโยชน์ส่วนตัว”
“พวกเขาทำไปเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ส่วนตัวหรือ แล้วสิ่งที่เจ้าทำไม่ใช่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวเลยหรือ พูดเสียสวยหรูเชียว”
เสียงของจางฉุนทรงพลังเหมือนกับชื่อของเขา ตรงกันข้ามเสียงแหบพร่าของเฉิงเจียวเหนียงกลับฟังไม่ลื่นหูนัก
แต่ว่าสิ่งเดียวที่เหมือนกันคือ ทั้งคู่พูดช้าและหนักแน่น แต่สำหรับสาวใช้ที่นั่งอยู่นอกประตูแล้ว เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางกลับรู้สึกเหมือนกำลังดีดสายผีผา อึกทึกครึกโครม แต่ละคำพูดช่างบีบคั้นอารมณ์เสียเหลือเกิน
“ใจมนุษย์ถูกล่อลวงโดยสิ่งเร้าภายนอกให้เกิดความเปลี่ยนแปลง และเมื่อมนุษย์กลายเป็นสิ่งของ พวกเขาจะลบล้างธรรมชาติอันดีงามที่สวรรค์ประทานให้มนุษยชาติ และแสวงหาความอิ่มเอมใจในความปรารถนาส่วนตัวอันไร้ขอบเขต สิ่งที่ข้าปรารถนาไม่ได้เป็นอันตรายต่อชาติบ้านเมือง แต่ความปรารถนาของพวกเขา ไม่ได้อยู่ที่ฆ่าหรือไม่ฆ่าทหารเหล่านั้น แม้มีเป้าหมายแฝงอยู่เบื้องหลังคำว่าฆ่าต่างหาก…”
“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! ”
เสียงจางฉุนดังก้องขึ้นในห้องโถง ขัดจังหวะคำพูดของเฉิงเจียวเหนียง สาวใช้เกร็งอยู่เป็นทุนเดิมถึงกับตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
………………..