ใบหน้าเคร่งขรึมของบัณฑิตที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะปรากฏความโกรธขึ้น
หญิงสาวที่ท่านพ่อเอ็นดูนางนี้เดิมทีรู้จักวางตัวเป็นอย่างดี คิดไม่ถึงว่าจะทำตัวเช่นนี้!
“เด็กเยี่ยงเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับงานราชสำนัก การทหารเป็นเรื่องของบุรุษ คนที่นั่งกิน นอนกินอยู่ในเรือน ไม่รู้จักความลำบาก กล้าดีอย่างไรมาถกเรื่องการทหาร! ” จางฉุนตะโกน
เขาเกลียดคนประเภทนี้เป็นที่สุด ทุกวันนี้คนแบบนี้มีอยู่ดาษดื่น อ่านหนังสือเพียงสองสามเล่ม และได้ยินข่าวจริงบ้าง เท็จบ้างไม่กี่คำ ก็เริ่มแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานราชสำนัก จะอวดดีเกินไปแล้ว”
เฉิงเจียวเหนียงโค้งคำนับ
“ข้าผิดไปแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ขอน้อมรับคำสอนของท่าน ข้าเอ่ยคำไม่เหมาะสม ดั่งวลีที่ว่าเหตุใดไม่กินเนื้อบด[1]! ”
นางยืนขึ้นขณะที่พูด
“ข้าพูดทุกสิ่งที่อยากจะพูดแล้ว ขอบคุณท่านมากที่ทนฟังจนจบ” นางพูด “ข้าขอตัวกลับก่อน”
จะไปแล้วหรือ
ไม่มีใครทนต่อการถูกตำหนิเช่นนี้ได้! ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้นางมาเพื่อร้องขอให้ช่วยเหลือมิใช่หรือ…
สาวใช้ลุกขึ้นตามอย่างสับสน มองดูเฉิงเจียวเหนียงเดินออกมาโดยไม่หันหลังกลับไปมองโดยแม้แต่น้อย
สาวใช้เดินตามออกไปแต่ก็เหลียวกลับไปมองอย่างอดไม่ได้ จางฉุนในห้องหนังสือยังคงนั่งหลังตรงไม่มีทีท่าจะเอ่ยรั้งไว้แม้แต่น้อย
นางรู้ว่านายท่านก็เป็นคนเช่นนี้แล!
“นายหญิง นายหญิงเจ้าคะ”
สาวใช้เดินตาม ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
ยามนี้พวกนางเดินออกนอกสำนักบัณฑิตแล้ว สาวใช้ถึงกับอ้าปาก ก่อนจะมองเห็นใครบางคนก้าวออกมาจากด้านข้าง
สาวใช้สะดุ้งจนหยุดเดิน คนที่ออกมาก็ประหลาดใจเช่นกัน
“ใช่เจ้าจริงๆ ด้วย” ท่านชายเฉิงสี่เบิกตากว้างแล้วเอ่ย “น้องสาวมาที่นี่ทำไมหรือ”
“มีธุระนิดหน่อย” เฉิงเจียวเหนียงพูดแล้วคำนับให้เขา
“เรื่องอะไรหรือ” ท่านชายเฉิงสี่ถามอย่างอดไม่ได้
“เรื่องเล็กน้อย” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
ท่านชายเฉิงสี่รู้ว่านางไม่อยากพูด จึงไม่กล้าถามต่อ
อันที่จริงแม้ว่าจะเรียกนางว่าน้องสาว แต่เคยพบเจอนางเพียงสามสี่ครั้งเท่านั้น
ท่านชายเฉิงสี่ตอบรับ จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะคำใดออกไปดี
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ท่านชายเฉิงสี่ก็นึกบางอย่างออกแล้วหยิบถุงเงินออกมาจากตัว
“ข้ามีเงินติดตัวอยู่บ้าง น้องสาวเอาไปใช้เถิด” เขาพูด
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มเล็กน้อยและยื่นมือรับ
“ขอบคุณพี่มาก” นางพูด
ท่านชายเฉิงสี่ยิ้มอย่างเขินอาย และพูดซ้ำๆ ว่าไม่เป็นไร หากไม่พอ ให้มาเอาที่เขาเพิ่ม
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวกลับก่อน” เฉิงเจียวเหนียงพูด
ท่านชายเฉิงสี่รีบหลีกทางให้ ทั้งยังส่งเฉิงเจียวเหนียงไปที่รถม้าด้วยตัวเอง
“หวังสิบเจ็ดไม่ได้ไปรบกวนเจ้าใช่ไหม” ท่านชายเฉิงสี่ถาม
“ไม่” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
“มีคนมาหาเขาและจับตาเขาทุกฝีก้าว เพราะต้องการนำตัวเขากลับไป ดังนั้น เจ้าสบายใจได้ เขาไม่ไปรบกวนเจ้าแน่” ท่านชายเฉิงสี่พูดด้วยความโล่งใจ
จะเห็นได้ว่าเขาไม่ได้มั่นใจในเรื่องนี้เท่าไรนัก
เฉิงเจียวเหนียงตอบรับและก้าวเดินต่อ
“หาก… หากหวังสิบเจ็ดทำตัวไม่ดีกับเจ้า มาบอกข้า” ท่านชายเฉิงสี่เดินตามไปอีกสองสามก้าวและพูดอย่างลังเล
บอกเจ้าแล้วจะทำอะไรได้
เจ้าฆ่าเขาได้หรือ
สาวใช้เหลือบมองท่านชายเฉิงสี่
แต่นายหญิงข้าทำได้
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มแล้วคำนับขอบคุณ ก่อนจะขึ้นรถม้าไป
รถม้าแล่นออกไปไกลมากแล้ว แต่เมื่อหันหน้ากลับมายังคงเห็นท่านชายเฉิงสี่ยืนอยู่ที่หน้าประตูสำนักบัณฑิต ก่อนจะค่อยๆ ลับตาไปกลายเป็นเพียงจุดสีดำ
เมื่อปลดม่านรถลง สาวใช้ก็ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ นางมองดูถุงเงินในมือ
“อะไรที่ไม่ต้องการกลับมีคนมามอบให้ อะไรที่ต้องการกลับไม่มีคนช่วย” นางบ่น
“เราทำดีที่สุดแล้ว ไม่ควรฝืนใจผู้อื่น” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
สาวใช้เข้าใจเหตุผลดี นางเงยหน้าขึ้นมองเฉิงเจียวเหนียง
อันที่จริง นางเข้าใจเหตุผลที่นายหญิงพูดเช่นนั้นทั้งหมด เพียงแต่…
“นายหญิง ท่านทำได้อย่างไร” นางถามทันที
“ทำอะไรได้หรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม
“ก่อนหน้านี้ ไม่ว่านายใหญ่ หรือคนอื่นๆ ก็ตาม แม้แต่ตัวข้าเองยังคิดว่าตัวเองฉลาดและมีเหตุมีผล แล้วก็คิดว่าตนสามารถมองทุกสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่ง คิดว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะทำได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย แต่แท้จริงแล้ว ข้ากลับคิดเองเออเองทั้งนั้น” สาวใช้พูด
“เพราะเจ้าไม่เคยเผชิญกับเรื่องราวเหล่านี้มาก่อน” เฉิงเจียวเหนียงพูด
“แต่นายหญิงก็ไม่เคยเผชิญเช่นกัน” สาวใช้พูด “ความยากลำบากของเรือนไท่ผิง ความยากลำบากของงานแต่ง และตอนนี้…”
เหตุการณ์เหล่านี้ยกตัวอย่างออกมาเพียงเรื่องเดียวก็เป็นหายนะสำหรับใครหลายๆ คนแล้ว คงกระสับกระส่ายและวิตกกังวลจนนั่งไม่ติดที่ นับประสาอะไรกับนายหญิงที่อายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น
“นายหญิงทำได้อย่างไร ข้าทั้งตื่นตระหนก ทั้งจิตใจไม่สงบ ทั้งกระวนกระวายใจไม่เป็นสุข แต่นายหญิงกลับไม่ตื่นกลัว ข้าติดตามนายหญิงมานานแล้วยังทำตามไม่ได้เลย…”
เฉิงเจียวเหนียงหันกลับไปมองนางและยิ้ม
“สิ่งนี้ไม่ทำตามก็ไม่เป็นไร” นางพูด “มันไม่ใช่เรื่องดีงามอะไร”
สาวใช้เบิกตากว้าง
“นายหญิง นี่ยังไม่ใช่เรื่องดีงามอีกหรือ” นางถาม “การที่สงบนิ่งและมั่นคงเช่นนี้ เป็นสิ่งที่คนมากมายต้องการฝึกฝน…”
“คนอื่นข้าไม่รู้ แต่ข้าไม่ใช่” เฉิงเจียวเหนียงพูด “ข้าทำเช่นนี้ได้เพราะข้าไร้หัวใจ”
สาวใช้ตกใจ
พูดเช่นนี้อีกแล้ว…
“ข้าแค่ทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่ทำเพื่อคนอื่น” เฉิงเจียวเหนียงพูด “ข้าต้องการทำสิ่งนี้ สู้พูดว่าทำเพื่อพวกเขา ให้พูดว่าทำเพื่อตัวข้าเองจะดีเสียกว่า”
พวกเขาเป็นคนที่นางช่วยชีวิตไว้ เป็นพี่ชายร่วมสาบาน กลับถูกจับตัวไปทั้งยังถูกสั่งประหารอย่างกะทันหัน แม้จะพูดได้ว่าพวกเขาทำตัวเอง ช่วยอะไรไม่ได้ แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้วก็ยากที่จะทำใจได้
อันที่จริง หลายๆ สิ่งก็เป็นเช่นนี้แล คนอื่นๆ ขอความช่วยเหลือจากเรา เราช่วยเขาอาจเป็นเพราะมิตรไมตรี ซึ่งนั่นอาจรวมถึงการไว้หน้าด้วย เช่นเดียวกับเมื่อพบเจอกับเรื่องที่ไม่พอใจ คนส่วนใหญ่ก็จะพูดจาหักหน้า ลดค่าผู้อื่น ไม่ยอมลดราว่าศอก โต้เถียงกันไม่หยุดหย่อน
สาวใช้ยิ้มอย่างขมขื่น
“นายหญิง เหตุใดต้องดูแคลนตัวเองเช่นนี้ด้วย” นางเอ่ย “ผู้ใดต่างก็พูดเช่นนี้ทำเช่นนี้กันทั้งนั้น เหตุใดท่านถึงได้พูดเปิดโปงตัวเองเสียแจ่มแจ้งเช่นนี้ด้วย”
“ข้าต้องการให้ตัวเองจำขึ้นใจ สิ่งเหล่านี้ที่ข้าทำ เพื่อตัวข้าเอง คนอื่นจะได้ไม่ต้องติดค้างข้า” เฉิงเจียวเหนียงพูด
ดังนั้น เมื่อผู้อื่นปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี จะไม่มีความขุ่นเคือง ผิดหวัง หรือเศร้าโศกใดๆ
นางยกมือทาบที่ตรงหัวใจ
บนโลกนี้ คนที่พรากหัวใจเจ้าได้ คือคนที่เจ้าปรารถนาเท่านั้น
สาวใช้ถอนหายใจเบาๆ พูดไปพูดมา ก็คือนายหญิงไม่มีใครที่พึ่งได้
“แล้วตอนนี้เราจะทำอย่างไรกันต่อ จะไปหาใครต่อหรือเจ้าคะ” นางถาม
“ไปหาครบแล้ว ไม่ต้องไปหาใครแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
“แต่ว่านายท่านยังไม่ได้ให้คำตอบไม่ใช่หรือเจ้าคะ” สาวใช้ถาม
“ข้ามาหานายท่านจาง ไม่ได้ต้องการให้เขาตอบรับอะไร แต่มาเพื่อให้ท่านฟังข้าพูด” เฉิงเจียวเหนียงพูดและยิ้มเล็กน้อย “เพราะใต้เท้าเฉินจะไม่ยอมฟังข้าอย่างแน่นอน บัดนี้คนที่พร้อมฟังข้าพูดมีเพียงนายท่านจางคนเดียวเท่านั้น เจ้าดูสิ เขาฟังข้าพูดจริงๆ แค่นี้ก็พอแล้ว”
แค่นี้ก็พอแล้วหรือ
สาวใช้ไม่เข้าใจ
“แล้วหลังจากนี้ล่ะเจ้าคะ” นางถาม
“หลังจากนี้ ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม
แล้วแต่โชคชะตาหรือ….
สาวใช้มองเฉิงเจียวเหนียงด้วยความงุนงง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ารอยยิ้มของนางแตกต่างออกไปเล็กน้อย
นางมีหน้าเดียวเสมอ ไม่แน่นิ่ง ก็ยิ้มบ้างเล็กน้อย แต่รอยยิ้มของครั้งนี้…ดูเหมือนว่า…จะเป็น…
ยิ้มเยาะหรือ
ณ สำนักบัณฑิต จางฉุนวางพู่กันลงอีกครั้ง
ใจมนุษย์ถูกล่อลวงโดยสิ่งเร้าภายนอกให้เกิดความเปลี่ยนแปลง และเมื่อมนุษย์กลายเป็นสิ่งของ พวกเขาจะลบล้างธรรมชาติอันดีงามที่สวรรค์ประทานให้มนุษยชาติและแสวงหาความอิ่มเอมใจในความปรารถนาส่วนตัวอันไร้ขอบเขต สิ่งที่ข้าปรารถนาไม่ได้เป็นอันตรายต่อชาติบ้านเมือง แต่ความปรารถนาของพวกเขา ไม่ได้อยู่ที่ฆ่าหรือไม่ฆ่าทหารเหล่านั้น แม้มีเป้าหมายแฝงอยู่เบื้องหลังคำว่าฆ่าต่างหาก…
เสียงแหบแห้งของหญิงสาวผู้นั้นดังขึ้นข้างหูเขาอีกครั้ง
เด็กน้อยไม่เจียมตัว!
จางฉุนส่ายหน้าก่อนจะหยิบพู่กันเขียนต่อ
‘การทหารเป็นเรื่องของบุรุษ คนที่นั่งกิน นอนกินอยู่ในเรือน ไม่รู้จักความลำบาก กล้าดีอย่างไรมาถกเรื่องการทหาร!’
‘ขอน้อมรับคำสอนของท่าน ข้าเอ่ยคำไม่เหมาะสม ดั่งวลีที่ว่าเหตุใดไม่กินเนื้อบด’
ในที่สุดจางฉุนก็วางพู่กันในมือลงอย่างแรง
“เด็กบ้าแห่งเจียงโจว! ” เขาเอ่ยเสียงดังลั่น
…………………………
[1] จิ้นชูพงศาวดารราชวงศ์จิ้นจากสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 7 กล่าวไว้ว่า เมื่อมีคนทูลจักรพรรดิจิ้นฮุ่ยแห่งราชวงศ์จิ้นตะวันตกว่า ประชาชนของพระองค์หิวโหยเพราะไม่มีข้าวกิน พระองค์ตรัสว่า “ทำไมไม่กินเนื้อบด” (何不食肉糜) แสดงถึงความไม่เหมาะสมของพระองค์