ภาคที่ 3 ตอนที่ 6 ยืมกระบี่ฆ่าคน

มรรคาสู่สวรรค์

พระสนมหูติดต่อกับเขาอวิ๋นเมิ่งมาหลายปี ต่อให้ลั่วไหวหนานและอีกหลายคนจะสนับสนุนจิ่งซิน แต่นางก็เชื่อว่าน่าจะมีหลายคนที่สนับสนุนนางเช่นเดียวกัน

นางหรี่ตาลงพลางกล่าวว่า “ทำแบบนั้นมันถูกพบเห็นได้ง่าย อันตรายเกินไป”

กู้ชิงกล่าว “ร่องรอยที่พวกข้าต้องการนั้นง่ายมาก อันดับแรกคือตอนที่เขาอยู่นอกเขาอวิ๋นเมิ่ง สองคือมิใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน”

พระสนมหูงุนงง ในใจครุ่นคิดว่าง่ายจริงดั่งว่า

ถ้าทำตามเงื่อนไขสองข้อนี้ เช่นนั้นร่องรอยของลั่วไหวหนานก็ถือเป็นข้อมูลที่ไม่ว่าใครก็สามารถล่วงรู้ได้อยู่แล้ว

นางจ้องมองดวงตาของเจ้าล่าเยวี่ย กล่าวถามว่า “หรือเจ้าไม่สงสัยว่าข้าคือคนที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารเจ้า?”

“เพราะเจ้าให้เงินลูกบุญธรรมของซือเฟิงเฉินไปน่ะหรือ?”

เจ้าล่าเยวี่ยสีหน้าเรียบเฉย “ถึงแม้เรื่องนี้เจ้าจะจัดการได้โง่เขลาอย่างมาก แต่ข้ามิใช่คนโง่”

……

……

ในท้องฟ้ายามค่ำคืนพลันมีแสงสีทองจางๆ ปรากฏขึ้นมา

เจ้าล่าเยวี่ยและกู้ชิงหยุดฝีเท้า

“ดูเหมือนอาการบาดเจ็บของเจ้าแห่งยอดเขาจะดีขึ้นแล้ว”

ผู้ที่มาสวมเสื้อคลุมสีดำปกปิดร่างกายเอาไว้อย่างมิดชิด ทำให้ยิ่งดูอ้วนเตี้ย

แสงไฟด้านหน้าตำหนักส่องสว่างใบหน้าเขา

ราชองครักษ์จินหมิงเฉิง

กู้ชิงประหม่า ริมฝีปากแห้งผาก

เจ้าล่าเยวี่ยมิได้กล่าวกระไร

จินหมิงเฉิงหยิบเอากระบี่เล่มหนึ่งออกมาจากใต้เสื้อคลุม ก่อนจะยื่นไปหน้านางแล้วกล่าวว่า “กระบี่นามพรหมจรรย์”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้ามีกระบี่”

จินหมิงเฉิงกล่าวว่า “กระบี่มิคำนึงมิใช่ว่าสูญหายไปในที่ราบหิมะแล้วหรือ?”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้ายังมีกระบี่ของตัวเองอยู่”

จินหมิงเฉิงกล่าว “กระบี่เล่มนั้นธรรมดา อีกทั้งถูกคนจำได้ ไม่เหมือนกระบี่พรหมจรรย์ที่เก็บซ่อนอยู่ในวังมาหลายร้อยปี ถูกผู้คนลืมเลือนไปนานแล้ว

กู้ชิงครุ่นคิดอย่างระมัดระวัง หรือนี่จะเป็นการยืมกระบี่ฆ่าคน?

“หากฝ่าบาททรงต้องการสังหารใคร หรือพระองค์ยังต้องยืมมือผู้อื่นอีก?” เจ้าล่าเยวี่ยถาม

จินหมิงเฉิงค่อยๆ กล่าวว่า “ฝ่าบาททรงเป็นเจ้าแห่งฟ้าดิน และเพราะเหตุนี้ หลายเรื่องจึงทรงไม่สะดวกที่จะทำ”

เจ้าล่าเยวี่ยมิได้กล่าวกระไรอีก รับเอากระบี่บุตรคนแรกเล่มนั้นมา

กู้ชิงมองดูนาง รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

เดิมเขาคัดค้านการเข้าวังมาในคืนนี้ เพราะในตำหนักต่างๆ ที่ดูเหมือนธรรมดาแห่งนี้นั้นแอบซ่อมอันตรายและยอดฝีมือผู้บำเพ็ญพรตที่แท้จริงเอาไว้เป็นจำนวนมาก

หากยอดฝีมือเหล่านี้คิดจะกำจัดเขากับเจ้าล่าเยวี่ย พวกเขาก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย เขาถึงขนาดคิดว่าตัวเขาไม่สามารถแม้กระทั่งปกปิดร่องรอยของตัวเองได้

แต่เจ้าล่าเยวี่ยสงบนิ่งเป็นอย่างมาก นางมิได้กังวลใจเลย คล้ายรู้สึกอะไรบางอย่าง

สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ เจ้าล่าเยวี่ยได้คาดเดาออกแล้วว่าวันนั้นจิ๋งจิ่วได้ออกจากเรือนตระกูลเจ้าไปพบฝ่าบาทที่ภูเขาหลีซาน

……

……

ทางเหนือของจังหวัดอวี้มีเขาที่อยู่ห่างไกลแถบหนึ่ง ที่แห่งนี้มีสำนักบำเพ็ญพรตชื่อสำนักเป่ยซี เป็นสำนักเล็กๆ ที่อยู่รอบนอกของสำนักจงโจว มีชื่อเสียงในเรื่องการสร้างอาวุธและข่ายพลัง

วันหนึ่งช่วงกลางฤดูร้อน ศิษย์สำนักเป่ยซีสิบกว่าคนเดินทางออกจากเขา มุ่งหน้าไปยังเมืองกุ้ยอวิ๋น เมื่อปีก่อนสำนักเป่ยซีได้สร้างอาวุธวิเศษขั้นปฐพีขึ้นมาสามชิ้น สองในสามชิ้นถูกส่งไปให้เขาอวิ๋นเมิ่ง อีกหนึ่งชิ้นที่เหลือไม่เหมาะกับวิชากำลังภายในของสำนักตัวเอง จึงเตรียมที่จะส่งไปประมูลที่หอเจินชี่ในเมืองกุ้ยอวิ๋น

หอเจินชี่มีชื่อเสียงทัดเทียมเรือนเป่าซู่ของสำนักชิงซานและเรือนไว่ไจของเรือนอี้เหมา แล้วก็ย่อมต้องมีผู้หนุนหลังที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน นั่นก็คือหุบเขาหานสือของเขาอวิ๋นเมิ่ง

แต่สิ่งที่สำนักเป่ยซีคิดไม่ถึงก็คือของวิเศษที่สำคัญที่สุดในการประมูลของหอเจินซี่วันนี้นั้นมิใช่อาวุธที่สำนักตัวเองสร้างขึ้นมา หากแต่เป็นหญ้าสมุนไพรกำหนึ่ง

“นั่นเป็นหญ้าอะไรกันแน่ หรือว่าสำคัญกว่าอาวุธวิเศษขั้นปฐพี?”

“อย่างไรเสียมันก็มิได้เกี่ยวข้องกับพวกเรา ได้ยินว่ามีการกำหนดผู้ซื้อไปแล้ว”

“ผู้ใดกล้ากำหนดผลการประมูลในหอเจินชี่? หรือจะเป็นของที่ปรมาจารย์ในสำนักใหญ่ต้องการ?”

“อาจารย์หลิว ท่านรู้เรื่องนี้หรือเปล่าขอรับ?”

หญ้ากอนั้นทำให้เกิดการถกเถียงและการคาดเดาจากเหล่าศิษย์ของสำนักเป่ยซีเป็นจำนวนมาก

ทุกคนมองไปยังชายวัยกลางคนรูปร่างผอมแห้งที่เป็นผู้นำ ก่อนจะถามอย่างใคร่รู้

อาจารย์อาแซ่หลิวผู้นั้นฟังการพูดคุยเหล่านี้ ยิ้มเล็กน้อยมิกล่าวกระไร

เรื่องที่เขารู้นั้นมีมากมาย

หญ้ากอนั้นน่าจะเป็นหญ้าสามพิสุทธิ์ที่เล่าขานกันมา มันย่อมต้องมีสิทธิ์ที่จะวางเอาไว้ยังตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในงานประมูลแน่นอน

สำนักชิงซานแสดงท่าทีออกมาแล้ว ย่อมต้องไม่มีใครกล้าแย่งสมุนไพรนี้กับพวกเขา เพียงแค่ทำการประมูลไปตามกฎของหอเจินชี่พอเป็นพิธีเท่านั้น

ด้านนอกหุบเขาคือที่ราบ เส้นทางสู่เมืองกุ้ยอวิ๋นราบรื่น

เสียงจักจั่นร้องระงม คล้ายกำลังร้องส่งพวกเขา

ทันใดนั้น เสียงร้องของจักจั่นพลันเงียบหายไป

อาจารย์อาผู้นั้นเลิกคิ้วขึ้นมา กล่าวว่า “ระวังหน่อย ตั้งข่ายพลัง”

มีคำกล่าวที่ว่าเงียบสงัดราวจักจั่นในฤดูหนาว แต่ตอนนี้เป็นช่วงกลางฤดูร้อน อากาศร้อนอบอ้าว เหตุใดจู่ๆ เสียงจักจั่นพลันหายไป?

หมอกสีดำจางๆ สายหนึ่งลอยมาจากในหุบเขา ผลไม้ที่เพิ่งจะผลิออกมาจากบนต้นไม้พลันเปื่อยยุ่ยไปทันทีเมื่อสัมผัสถูกมัน

ศิษย์สำนักเป่ยซีสีหน้าคร่ำเคร่ง รีบหยิบอาวุธวิเศษออกมาตั้งข่ายพลังป้องกันอย่างรวดเร็ว

หมอกจางสีดำค่อยๆ กระจายตัว ร่างคนหลายร่างค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา เมื่อดูจากเสื้อผ้าและไอพลังอันชั่วร้ายแล้วน่าจะมิได้มาดีอย่างแน่นอน

“คิดไม่ถึงว่าสภาวะเจ้าต่ำต้อย แต่กลับค่อนข้างระแวดระวัง สามารถพบถึงร่องรอยของพวกข้าได้ล่วงหน้า”

ชายชราสีหน้าเฉยเมยผู้หนึ่งกล่าว “นายน้อยอยากได้ของวิเศษที่พวกเจ้านำมาด้วยชิ้นนั้น รีบมอบมันออกมาซะ”

อาจารย์อาแซ่หลิวผู้นั้นกล่าว “ที่แท้ก็มารชั่วแห่งสำนักเสวียนอิน ที่นี่คือจังหวัดอวี้ ห่างจากเขาอวิ๋นเมิ่งไม่ถึงสามพันลี้ พวกเจ้ากล้าดีแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร?

“จงโจวคือจงโจว พวกเจ้าคือพวกเจ้า ต่อให้สังหารพวกเจ้าจนสิ้นแล้วจะทำไม? หรือพวกนักพรตที่อยู่ในเขาอวิ๋นเมิ่งมันจะมาช่วยพวกเจ้าทัน?”

ชายชราผู้นั้นคือผู้อาวุโสของสำนักเสวียนอิน วิชามารร้ายกาจ ไหนเลยจะมองศิษย์ของสำนักเล็กๆ เหล่านี้อยู่ในสายตา เพียงแต่กริ่งเกรงข่ายพลังของสำนักเป่ยซีอยู่บ้างเล็กน้อย — มิรู้เพราะเหตุใด ความปรารถนาของสำนักเสวียนอินที่จะชิงอาวุธวิเศษชั้นปฐพีถึงได้รุนแรงและตรงไปตรงมาเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าจะใช้วิธีช่วงชิงกันซึ่งๆ หน้า แทนที่จะใช้วิธีให้ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักเข้าไปประมูลในหอเจินชี่

การต่อสู้เริ่มขึ้น อากาศถูกฉีกออกกระจาย กระแสอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งปะทะกัน

หมอกสีดำยิ่งจับตัวหนาขึ้น ลำแสงใส่กระจ่างที่ข่ายพลังของสำนักเป่ยซีปล่อยออกมาดูบางเบาลงเรื่อยๆ

ศิษย์สำนักเป่ยซียืนอยู่ในข่ายพลัง กวัดแกว่งอาวุธวิเศษของแต่ละคนเพื่อรักษาข่ายพลังเอาไว้ ภายใต้การโจมตีของสำนักเสวียนอิน พวกเขาอดทนต่อสู้อย่างยากลำบาก สีหน้ายิ่งซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ ในใจครุ่นคิดว่าสัญญาณขอความช่วยเหลือก็ส่งออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไรศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นถึงจะมาช่วยเหลือ จะมาทันหรือเปล่า

ผู้อาวุโสของสำนักเสวียนอินผู้นั้นมองดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสายตาเยือกเย็น ดูคล้ายใจเย็น แต่ความจริงกลับค่อนข้างร้อนใจ

ที่นี่อยู่ห่างจากสำนักเป่ยซีไม่ไกล หากอีกฝ่ายมีคนมาช่วยจะทำอย่างไร ที่สำคัญก็คือหากเขาอวิ๋นเมิ่งรู้ตัวเข้า เช่นนั้นมันจะยุ่งยากเอาได้

ทันใดนั้นในข่ายพลังพลันเกิดช่องว่างขึ้นมา สายตาของผู้อาวุโสของสำนักเสวียนอินเย็นยะเยือกขึ้นทันที เขาแปลงกายเป็นหมอกดำฝ่าแสงแวววาวของข่ายพลังเข้าไปหาศิษย์สำนักเป่ยซี

หมอกดำรวมตัว เขาปรากฏตัวขึ้น มือถือธงทมิฬฟาดใส่อาจารย์อาแซ่หลิวผู้นั้น

อาจารย์อาแซ่หลิวไหนเลยจะกล้ารับอาวุธมารระดับนี้ตรงๆ เขาใช้อาวุธวิเศษในการช่วยให้ตัวเองหลบไปด้านหลัง มิได้สนใจเลยว่าศิษย์ที่ตั้งข่ายพลังอยู่นั้นจะเผยตัวออกมา

สิ่งที่ผู้อาวุโสสำนักเสวียนอินต้องการก็คือผลลัพธ์เช่นนี้ เขายิ้มเยาะ ธงที่แฝงเอาไว้ด้วยไอพลังชั่วร้ายห่อหุ้มศิษย์สำนักเป่ยซีที่อยู่ใกล้สุดเข้าไป

ธงทมิฬของเขาแฝงเอาไว้ด้วยพลังของอสูรดินและอสูรเลือด ผู้บำเพ็ญพรตธรรมดาหากไม่มีอาวุธวิเศษคอยคุ้มกันร่างกาย เมื่อสัมผัสเข้าไปก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว

ศิษย์สำนักเป่ยซีผู้นั้นหน้าตาธรรมดา ไอพลังที่แผ่ออกมาก็ธรรมดา ดูท่าแล้วจะต้องตายอย่างแน่นอน เขาคล้ายตกใจจนเลอะเลือน ยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ไหวติง

ผู้อาวุโสของสำนักเสวียนอินพลันรู้ถึงได้ถึงความผิดปกติ

ระฆังสัมฤทธิ์ใบหนึ่งพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

……………………………….