ภาคที่ 3 ตอนที่ 7 กับดักของลั่วไหวหนาน

มรรคาสู่สวรรค์

ผู้อาวุโสของสำนักเสวียนอินผิวปาก กลางฝ่ามือมีหัวกะโหลกสีดำพุ่งออกไปหาระฆังสัมฤทธิ์ใบเล็กใบนั้น

เสียงตู้มดังสนั่น!

คลื่นอากาศอันรุนแรงกระจายตัวออกไปรอบด้านราวคลื่นยักษ์!

หมอกสีดำภายในหุบเขาถูกพัดสลายไป แสงแดดส่องลงมายังพื้นดินอีกครั้ง

หัวกะโหลกสีดำแตกละเอียด ก่อนจะร่วงตกลงมาราวสายฝน ต้นหญ้าที่สัมผัสถูกมันเหี่ยวแห้งไปทันที

ระฆังสัมฤทธิ์บินกลับมาตรงหน้าศิษย์สำนักเป่ยซีคนนั้น

“ลั่วไหวหนาน!”

ผู้อาวุโสของสำนักเสวียนอินตะโกนออกมาด้วยความตกใจและความโกรธ

ใครจะไปคิดถึงว่าลั่วไหวหนานซึ่งเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักจงโจวจะปลอมเป็นศิษย์ของสำนักเป่ยซี มาแฝงตัวอยู่ในกลุ่มนี้

วันนี้คือกับดักหรือนี่!

ผู้อาวุโสของสำนักเสวียนอินเห็นหัวกะโหลกอันเป็นอาวุธประจำกายของตัวเองถูกทำลาย จึงมิกล้ารั้งรอ แขนเสื้อสองข้างสะบัดทีหนึ่ง แปลงกายเป็นหมอกสีดำพุ่งออกไปยังนอกหุบเขา

เขาคิดว่าต่อให้ลั่วไหวหนานจะมีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่สภาวะก็แค่เทียบเท่ากับตนเท่านั้น ตัวเองได้รับบาดเจ็บสาหัส อาการบาดเจ็บของลั่วไหวหนานก็ไม่มีทางเบาแน่ ด้วยสถานะของอีกฝ่าย จะเสี่ยงไล่ตามตนเองได้อย่างไร?

แต่ใครจะไปคิดถึงว่าระฆังสัมฤทธิ์ใบนั้นได้เปลี่ยนกลายเป็นลำแสงไล่ตามหมอกดำสายนั้นไป

ลั่วไหวหนานคิดจะจัดการเขาให้ได้ โดยมิได้สนใจอาการบาดเจ็บของตนเองเลย!

เสียงตูมดังขึ้นนอกหุบเขา หน้าผาจำนวนนับไม่ถ้วนถูกคลื่นอากาศกระแทกจนฝุ่นควันฟุ้งกระจาย

ทันใดนั้นมีเสียงร้องโหยหวนเสียงหนึ่งดังขึ้นมา หมอกดำสายนั้นถูกแสงแดดแผดเผาจนสลายไป

ลำแสงนั้นเปลี่ยนกลับเป็นระฆังสัมฤทธิ์ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ มันสั่นสะเทือนเล็กน้อย พลางส่งเสียงหวึ่งๆ ออกมา ขอบระฆังมีรอยสนิมที่เกิดจากกัดกร่อนของไอพลังชั่วร้ายปรากฏขึ้นมาชัดเจน

ลั่วไหวหนานลอยกลับมาบนพื้น สีหน้าขาวซีดเป็นอย่างยิ่ง บนร่างกายเต็มไปด้วยโลหิต เห็นได้ชัดว่าบาดเจ็บสาหัส

เหล่าศิษย์ของสำนักเสวียนอินมองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ จึงตกใจเป็นอย่างมาก ไหนเลยจะกล้ารั้งอยู่ ต่างแปลงกายกลายเป็นนกและสัตว์หนีไป

ลั่วไหวหนานห้ามศิษย์สำนักเป่ยซีที่จะเข้ามาดูอาการบาดเจ็บของเขา พลางกล่าวเสียงเบาว่า “กำจัดมารชั่วให้สิ้น!”

ศิษย์สำนักเป่ยซีรับคำ ขี่อาวุธวิเศษเปิดฉากไล่ตามสังหาร

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ทุกคนกลับมายังหุบเขา

ครั้งนี้มีศิษย์ของสำนักเสวียนอินถูกฆ่าไปเจ็ดคน โดยเฉพาะการที่ผู้อาวุโสคนนั้นถูกฆ่าตาย นับเป็นผลงานที่สำคัญอย่างมากของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต

ศิษย์ของสำนักเป่ยซีมองลั่วไหวหนาน รู้สึกว่าสูงใหญ่เป็นอย่างมาก ในใจเกิดความรู้สึกเคารพเลื่อมใส

ลั่วไหวหนานมองดูทุ่งกว้างที่อยู่นอกหุบเขา กล่าวว่า “เสียดายซูจึเย่มิได้ลงมือด้วยตัวเอง ข่าวที่ได้รับแจ้งมาไม่ค่อยตรงเท่าไร”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ศิษย์ของสำนักเป่ยซียิ่งรู้สึกตกตะลึง ในเวลานี้พวกเขาถึงได้รู้ว่าที่แท้เป้าหมายของลั่วไหวหนานมิใช่ผู้อาวุโสของสำนักเสวียนอินผู้นั้น หากแต่เป็นนายน้อยของสำนักเสวียนอิน!

นายน้อยของสำนักเสวียนอินมีนามว่าซูจึเย่ มีชื่อเสียงอย่างมากในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต พรสวรรค์สูงส่ง ว่ากันว่าพรสวรรค์ยอดเยี่ยมเสียยิ่งกว่าลั่วไหวหนาน

ศิษย์สำนักเป่ยซีครุ่นคิดในใจ ดูเหมือนข่าวลือที่ว่านั้นจะเป็นความจริงสินะ

ในข่าวลือนั้น เมื่อสามปีก่อนลั่วไหวหนานได้พบเจอประสบการณ์บางอย่างที่ทำให้ตื่นรู้บนที่ราบหิมะในการประลองวิถีพรต

มิเช่นนั้นแล้วเหตุใดตอนที่เขาพูดถึงซูจึเย่ เขาถึงได้สงบนิ่งถึงเพียงนี้ มั่นใจถึงเพียงนี้?

อาจารย์อาหลิวมองดูใบหน้าที่ขาวซีดของลั่วไหวหนาน ก่อนจะคิดถึงข่าวลืออีกข่าวหนึ่งขึ้นมา พลางกล่าวอย่างไม่สบายใจ “ศิษย์พี่ลั่ว จากนี่กลับไปยังเขาอวิ๋นเมิ่งค่อนข้างไกล ด้านหน้านั้นก็เป็นเมืองกุ้ยอวิ๋นแล้ว ถ้ายังไงไปพักที่นั่นสักคืนหนึ่ง? คืนนี้ที่หอเจินชี่มีงานประมูล สำนักบำเพ็ญพรตจำนวนมากจะมารวมตัวกัน ต่อให้ท่านไม่อยากสนใจพวกเขา แต่ว่า…”

คำพูดของเขายังมิทันกล่าวจบ แต่ลั่วไหวหนานก็เข้าใจความหมายของเขา กล่าวว่า “แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน แต่ว่าข้าไม่เจอคนนอกพวกนั้นนะ”

ศิษย์สำนักเป่ยซีได้ยินเช่นนี้พลันโล่งใจ ในใจครุ่นคิดว่าแบบนี้ดีที่สุดแล้ว มิเช่นนั้นหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา พวกเขาจะรับผิดชอบอย่างไรไหว?

……

……

ในเมืองกุ้ยอวิ๋นมีเรือนพักหลังเล็กหลังหนึ่ง

ประตูด้านนอกถูกปิดอย่างแน่นหนา

เหล่าศิษย์สำนักเป่ยซีกระจายตัวอยู่รอบเรือนพัก คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวในเวลายามเย็นอย่างระมัดระวัง พลางพูดคุยกันเสียงเบาๆ

“ได้ยินว่าปู้เหล่าหลินตั้งรางวัลให้แก่คนที่กำจัดอาจารย์อาลั่วได้ รางวัลที่ให้คืออาวุธวิเศษชั้นสวรรค์ ไม่รู้ว่าข่าวลือนี้เป็นจริงหรือเปล่า”

“ตอนนี้ดูแล้วคงจะเป็นเรื่องจริง ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของอาจารย์อาลั่ว เขาจะยอมฟังคำขอของอาจารย์อาหลิว มารักษาอาการบาดเจ็บที่นี่ได้อย่างไร?”

“ถูกพวกพรรคมารมองเป็นศัตรูคนสำคัญ ป่าวประกาศว่าจะสังหาร แต่อาจารย์อาลั่วกลับไม่กริ่งเกรงเลยแม้แต่น้อย ยังคงตระเวนออกไปกำจัดปีศาจ ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ”

ภายในเรือนเงียบสงัด

สายลมพัดผ่านดอกไม้และต้นไม้ แสงอาทิตย์ยามเย็นที่ตกกระทบลงมายังหมู่ไม้ยิ่งทำให้ดูมีชีวิตชีวา

ด้านล่างกำแพงมีบ่อน้ำ คล้ายมีเสียงน้ำ

ลั่วไหวหนานค่อยๆ ลืมตา เสร็จสิ้นการปรับลมปราณ

ใบหน้าเขายังค่อนข้างซีด ธงทมิฬของผู้อาวุโสสำนักเสวียนอินผู้นั้นร้ายกาจจริงๆ อาการบาดเจ็บยากจะหายดีได้ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ

ตามหลักแล้ว ผู้อาวุโสสำนักเสวียนอินมิใช่ซูจึเย่ ต่อให้สังหารไปก็ไม่มีความหมายอะไรมากนัก เขาไม่จำเป็นต้องเสี่ยงไล่ตามไปจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ แต่เขายังคงทำเช่นนี้ เพราะก็เหมือนกับที่เขากล่าวกับศิษย์ของสำนักเป่ยซีเอาไว้ กำจัดมารชั่วให้สิ้น ในเมื่อจะทำตัวเป็นเซียน ไหนเลยจะมัวคิดมากมายขนาดนั้นได้

เขาลุกขึ้นเดินไปริมหน้าต่าง มองไปทางบ่อน้ำบ่อนั้น แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องลงมาบนใบหน้า

เมื่อเทียบกับเมื่อสามปีก่อนแล้ว บนใบหน้าเขาดูคล้ายผ่านโลกมามากกว่าแต่ก่อน สายตาเองก็มีความรู้สึกเหนื่อยล้าเพิ่มขึ้นมา

อาศัยตราประทับหมื่นลี้หนีออกมาจากที่ราบหิมะ กลับมายังเขาอวิ๋นเมิ่ง ในวันเวลาหลังจากนั้น เขาบำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบาก ตระเวนไปทั่วไม่หยุด เหนื่อยล้าจริงๆ

ทั้งร่างกายและจิตใจล้วนแต่เหนื่อยล้า

ในการบำเพ็ญเพียรที่ยากลำบากและยุ่งวุ่นวายนี้ก็มีข้อดีเหมือนกัน มันสามารถทำให้เขาคิดถึงเรื่องเหล่านั้นได้น้อยลง

สิ่งที่เขาได้รับมาจากตอนที่อยู่ในท้องหนอนหิมะก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเข้ากับวิชาด้วยการฝึกอันยากลำบากนี้ ทำให้สภาวะของเขาพัฒนาขึ้นไปอีก

ตอนนี้เขามีความมั่นใจว่าสามารถเอาชนะนายน้อยของสำนักเสวียนอินได้ ถึงแม้เป้าหมายของกับดักที่เขาวางเอาไว้ในวันนี้จะไม่ใช่อีกฝ่ายก็ตาม แล้วก็แน่นอนว่ามิใช่ผู้อาวุโสแห่งสำนักเสวียนอินผู้นั้นด้วย

อาทิตย์อัสดงลงอย่างแช่มช้า ค่อยๆ ถูกกำแพงบดบังเอาไว้ ต้นไม้แปรเปลี่ยนเป็นภาพสีดำที่วาดด้วยน้ำหมึก เสียงน้ำในบ่อน้ำค่อยๆ เงียบหายไป

เขาเดินออกมาจากริมหน้าต่าง มายังหน้าโต๊ะ

บนโต๊ะมีคันฉ่องอยู่บานหนึ่ง

เขามองดูใบหน้าตัวเองในคันฉ่องอย่างเงียบๆ

ใบหน้านั้นค่อนข้างขาวซีด แล้วก็ดูแปลกหน้า

ในดวงตาของเขามีความรู้สึกเจ็บปวดและเสียใจ

หากรู้แต่แรกว่าศิษย์น้องนำเอาตราประทับหมื่นลี้ติดตัวไปสองอัน ตนเองไหนเลยจะทำเช่นนั้น?

ที่แท้อาจารย์กลัวอาจารย์หญิงจะไม่เห็นด้วย เลยแอบเอาตราประทับหมื่นลี้ชิ้นนั้นมอบให้ศิษย์น้อง ให้นางนำมันให้เขาในเวลาคับขัน

หมอกอันหนาวเย็นน่ากลัวขนาดนั้น ศิษย์น้องได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากตนเอง จึงรีบเดินทางมาหาตัวเองอย่างยากลำบาก

นี่เรียกว่าบุญคุณดุจดั่งขุนเขา

แล้วตัวเองทำอะไรลงไป?

เหตุใดตนเองถึงกลายเป็นคนที่ชั่วช้าและไร้ยางอายเช่นนี้

ถ้าหากรู้เรื่องทั้งหมดแต่แรก…บนโลกนี้ก็คงไม่มีคำว่าถ้าหาก

ลั่วไหวหนานครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้ อารมณ์กล่าวโทษตัวเองและความเสียใจที่เจ็บปวดปรากฏขึ้นมาไม่หยุด สีหน้ายิ่งดูขาวซีด

ด้านนอกหน้าต่างคล้ายมีเสียงลม ในเสียงลมมีเสียงพูดคุย

เขาได้สติขึ้นมา รู้ว่าศิษย์สำนักเป่ยซีกำลังพูดคุยถึงตน จึงรู้สึกซาบซึ้ง พร้อมทั้งยิ้มเล็กน้อย

เขาย่อมต้องทราบถึงข่าวลือนั้น

ปู้เหล่าหลินต้องการสังหารเขา

นี่เป็นเรื่องจริง

แล้วก็เป็นเรื่องเท็จ

ยิ่งไปกว่านั้นหากนักฆ่าของปู้เหล่าหลินจะมาฆ่าเขาจริงๆ คนที่มาจะต้องเป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจอย่างแน่นอน อาศัยเพียงศิษย์สำนักเป่ยซีเหล่านี้จะไปต้านทานได้อย่างไร?

ยังคงเป็นคำพูดประโยคนั้น ไม่มีคำว่าถ้าหาก

ที่เขาปรากฏตัวขึ้นที่นี่นั้นมิใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นความตั้งใจ

เขาจำเป็นต้องออกมาจากเขาอวิ๋นเมิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมิอาจออกมาอย่างปุบปับได้ด้วย เช่นนั้นก็จำเป็นต้องวางแผนให้เขามีเหตุต้องออกมาจากสำนัก นั่นก็คือกับดักของสำนักเป่ยซีอันนั้น

มีแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ปู้เหล่าหลินถึงจะมีโอกาสสังหารเขาได้

ประตูห้องเปิดออกอย่างไร้ซุ่มเสียง คนในชุดสีดำผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายเปียกโชก คล้ายภูตผีที่ปีนขึ้นมาจากบ่อน้ำ

………………………………………