“อาจารย์คะ ถ้าหนูไม่อยากแต่งงาน หนูขึ้นคานได้ไหมคะ” แค่นึกถึงหม่าลุ่ยหลิวเหมยก็ปวดหัว
“ไม่ได้ เธอขึ้นคานก็จะไม่มีใครมาช่วยแบ่งเบาหายนะของครอบครัวเธอ รีบไปจัดการดาวเมเกรสให้อยู่หมัด จำไว้”
พอวางสายหลิวเหมยก็คิดหนัก อาจารย์ก็พูดแรงเกินไป ถ้าไม่แต่งงานครอบครัวจะหายนะเลยเหรอ…
ถ้าแค่ตัวเองซวยยังไม่เท่าไร ยังไงซะเธอก็ไม่ได้คิดว่าการแต่งงานจะมีดีอะไร เป็นโสดก็ไม่ได้แย่ แต่ทั้งครอบครัวต้องซวย แบบนั้นก็พูดยากแล้ว
พอจัดการเรื่องสุ่ยเซียนเสร็จ อวี๋หมิงหลางก็เรียกหลิวเหมยมา ผู้ชายที่แสนพิลึกของหลิวเหมยพูดอะไรไว้เขาได้ยินเต็มสองรูหู ในฐานะที่เป็นครอบครัวเดียวกันเขาก็ย่อมต้องถาม
“คนพวกนั้นเป็นยังไงพี่อ่านออกหมดแล้ว เธอล่ะอ่านพวกเขาออกหรือยัง เมื่อกี้พี่บอกเขาว่าย่าป่วยขอยืมเงินหน่อย เขาบอกเธอใช่ไหมว่าให้ช่วยออกเงินนิดเดียว เรื่องบ้านสำคัญกว่า”
เสี่ยวเชี่ยนมองอวี๋หมิงหลาง เสี่ยวเฉียงของฉันสุดยอดเลย แผนนี้แจ่มสุดๆ
“หา พี่พูดเรื่องย่าไปเหรอ” ในที่สุดหลิวเหมยก็เข้าใจแล้ว มิน่าหม่าลุ่ยถึงได้พูดจาแปลกๆ
แบบนี้มาคิดดู นิสัยเขาแย่มากเลยนะ พอเกิดเรื่องก็เลี่ยง หลิวเหมยยิ่งไม่โอเคกับเขาหนักกว่าเดิม
“ตอนนี้เธอเห็นธาตุแท้ของเขาหรือยังล่ะ”
“นิดนึง…” อวี๋หมิงหลางไม่ค่อยพอใจคำตอบของหลิวเหมยเท่าไร จึงพยักหน้าอย่างฝืนๆ
“พรุ่งนี้ไปบอกพวกเขาว่ามาทางไหนกลับไปทางนั้น ถ้าเธอเกรงใจไม่กล้าพูด พี่ไปพูดให้ได้”
จะได้ถือโอกาสต่อยหม่าลุ่ยสักหมัด อวี๋หมิงหลางทนมานานแล้ว หมัดของเขาสุดกระหาย
“แต่ว่า…ฉันก็ยังอยากแต่งงานกับหม่าลุ่ย”
หลิวเหมยยังพูดไม่ทันจบก็รู้สึกได้ว่าเหมือนมีแรงบางอย่างพุ่งเข้ามา เธอรีบหลบอย่างรวดเร็ว หลบแข้งของอวี๋หมิงหลางได้อย่างหวุดหวิด
“พี่ ฉันเป็นผู้หญิงนะ พี่จะทำร้ายผู้หญิงไม่ได้”
“แล้วตอนที่สมองมีแต่น้ำเคยคิดไหมว่าตัวเองเป็นผู้หญิง มานี่เลยนะ พี่จะเตะให้น้ำในสมองของเธอกระฉอกออก ห้ามไปหลบหลังพี่สะใภ้”
หลิวเหมยไม่ออกหรอก หลบอยู่หลังเสี่ยวเชี่ยน จับชายเสื้อของเสี่ยวเชี่ยนแน่น
พี่สะใภ้คือยันต์คุ้มกันเกราะเหล็กของเธอ~
“ออกมา พี่ไม่เอาถึงตายหรอกน่า” อวี๋หมิงหลางเห็นท่าทางของหลิวเหมยแล้วก็อยากเข้าไปถีบ
“พี่สะใภ้ช่วยด้วย”
“ดูทำเข้า อายุตั้งเท่าไรแล้ว ทำไมยังใช้วิธีแบบเด็กๆแก้ปัญหาอีก หลบไป ฉันเอง”
เสี่ยวเชี่ยนดันตัวอวี๋หมิงหลางออก อวี๋หมิงหลางกำหมัดใส่หลิวเหมยที่ทำหน้าล้อเลียนเขา
มีพี่สะใภ้อยู่ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกพี่ชายซัดจนน่วม แบร่
เสี่ยวเชี่ยนยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วลากหลิวเหมยมานั่ง
“มีอะไรก็คุยกันดีๆ ใช่ไหมเหมยจื่อ”
“ใช่ค่ะใช่ มีอะไรก็คุยกันดีๆ พี่ชอบเอาแต่ใช้กำลัง พี่สะใภ้ไม่รู้อะไร พี่หลางป่าเถื่อนตั้งแต่เด็กๆแล้ว”
“ถ้าไปถูกใครรังแกก็อย่าร้องไห้มาหาพี่แล้วกัน ครอบครัวนั้นมีคนปกติด้วยเหรอ ผู้ชายไม่ได้เรื่องเหมือนหมา คนแก่ก็เจ้าเล่ห์อย่างกับลิง ส่วนน้องสาวก็ปากร้ายไร้ศีลธรรม เธอแต่งไปคิดจะไปเป็นที่ระบายอารมณ์ของคนพวกนั้นเหรอ”
เสี่ยวเชี่ยนห้ามอวี๋หมิงหลาง “นายจะเครียดอะไรขนาดนั้น ครอบครัวนั้นไม่ใช่พวกนักเลงซะหน่อย นายพูดซะน่ารังเกียจ”
อวี๋หมิงหลางมองเสี่ยวเชี่ยนแบบไม่อยากเชื่อสายตา นี่เธอหักหลังเขาเหรอ
“ใช่ไหมล่ะ น่ากลัวขนาดนั้นที่ไหนกัน แต่งกับใครก็เหมือนกัน จะบ้านไหนก็หนีไม่พ้นเรื่องแบบนี้ ปีนี้ฉันจะต้องแต่งงานให้ได้” พอหลิวเหมยนึกถึงคนในครอบครัว เสียงอาจารย์ก็ลอยมา
“เอาเป็นว่า แต่งกับครอบครัวหม่าก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี เหมยจื่อเป็นทักษะป้องกันตัว มีความอดทนสูง พอแต่งไปแล้วขอแค่…” เสี่ยวเชี่ยนเริ่มล้างสมองขั้นต่อไป
“ยอมรับความไม่เท่าเทียมในครอบครัวนั้นได้ก็พอแล้ว อย่างเช่น เรื่องทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว บ้านนั้นยึดหลักการชายหญิงเท่าเทียมกัน เธอต้องหาเงินให้ได้พอๆกับลูกชายเขา ไม่อย่างนั้นมันก็เป็นความผิดของเธอ เพราะตอนนี้เป็นสังคมยุคใหม่ที่ชายหญิงเท่าเทียมกัน แต่เรื่องแบ่งเบางานบ้าน เธอก็ต้องยอมรับความคิดแบบโบราณ เธอต้องเป็นคนทำงานบ้านทั้งหมดคนเดียว ราชวงศ์ชิงยังไม่ล่มสลายในสายตาของพวกเขา เธอยังอยู่ในยุคที่ต้องมัดเท้า…”
พอได้ยินเสี่ยวเชี่ยนพูดแบบนี้อวี๋หมิงหลางก็สบายใจแล้ว
หลิวเหมยกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ทักษะการพูดของพี่สะใภ้เฉียบกว่าแข้งของพี่ชายเธอมากนัก หากเปรียบเทียบพี่ชายเธอเป็นสายอาวุธในเกมอินเตอร์เน็ต พี่สะใภ้เธอก็คงเป็นสายเวทมนตร์ พูดได้ตรงทุกจุด
สุ่ยเซียนก็พูดเสริมด้วย
“ฉันก็มองออกเหมือนกัน ถ้าพูดเรื่องหาเงินครอบครัวนี้จะบอกว่าชายหญิงเท่าเทียมกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องงานบ้านก็จะเริ่มพูดถึงความคิดคนสมัยก่อน ครอบครัวนี้เอาแต่ประโยชน์เข้าตัวเอง เธอทนเรื่องพวกนี้ได้เหรอ”
ผู้หญิงที่ทนเรื่องแบบนี้ได้จิตใจต้องเข้มแข็งขนาดไหนกันนะ
“จากประสบการณ์แพทย์คลินิกหลายปีของพี่ รวมถึงจากการสังเกตครอบครัวนี้ พี่พบว่าครอบครัวนี้มีความคิดที่เข้าข้างลูกชายอย่างหนัก เธอต้องมั่นใจว่าลูกคนแรกของเธอจะเป็นผู้ชาย ถ้าไม่ใช่พวกเขาก็จะให้มีคนที่สอง คนที่สาม…”
ท้องไปเรื่อยๆ ก็เหมือนกับความคิดที่ว่าผู้หญิงเป็นเครื่องมือผลิตลูกชาย หากไม่มีลูกชาย ต่อไปไม่ว่าหลิวเหมยจะประสบความสำเร็จแค่ไหน ทำประโยชน์ให้ครอบครัวอย่างไร ก็ยังคงกลายเป็นคนไร้ค่าในสายตาครอบครัวนี้อยู่ดี
หลิวเหมยได้ฟังแล้วก็ขนลุกไปทั้งตัว
เสี่ยวเชี่ยนยิ้มอ่อนโยนมากกว่าเดิม “นอกจากนี้แล้ว เธอยังต้องทนเวลาที่ทะเลาะกันพ่อแม่สามีชี้หน้าด่าเธอ ออกไปจากบ้านลูกชายฉันเดี๋ยวนี้นะ”
สุ่ยเซียนทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว “บ้านไม่ใช่หลิวเหมยซื้อเหรอ”
อวี๋หมิงหลางเริ่มวอร์มมือแล้ว ตอนนี้เขาอยากจะไปอัดไอ้หมอนั่น
“คนพวกนี้เป็นโรคเลือกที่จะลืมน่ะ จำได้แค่เฉพาะตอนเห็นชื่อลูกชายเป็นเจ้าของบ้าน แต่กลับลืมว่าฝ่ายหญิงเป็นคนออกเงิน”
“ครอบครัวbasket…อะไรที่ทำให้พวกเขากล้าคิดได้ขนาดนี้เนี่ย” ผู้หญิงเรียบร้อยอย่างสุ่ยเซียนอดไม่ได้ที่จะพูดจาหยาบคาย
ถ้าอวี๋หมิงหลางอัดหลิวเหมย มากสุดเธอก็แค่เจ็บทางร่างกาย ไม่แน่พอเจ็บตัวเสร็จแล้วอาจยิ่งตัดสินใจอยากแต่งงานกับผู้ชายเลวๆ
เสี่ยวเชี่ยนใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลเป็นพิเศษคุยกับหลิวเหมย แต่กลับทำให้หลิวเหมยได้คิดอะไรมากขึ้น
ตอนนี้เธอควรทำยังไงดี สับสนไปหมดแล้ว
“หลิวเหมย เธอกังวลเรื่องคำทำนายของอาจารย์ที่ว่าถ้าไม่แต่งงานจะซวยยกครัวใช่ไหม” เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าตอนนี้หลิวเหมยค้างคาใจอยู่แค่เรื่องนี้แล้ว
“ใช่ค่ะ พี่สะใภ้เข้าใจฉัน—พี่ จะไปไหนน่ะ”
“จะไปเอาเรื่องอาจารย์เธอ เหตุผลเพราะเขาเผยแพร่เรื่องงมงาย”
“อย่าก่อเรื่องวุ่นวาย อาจารย์ของหลิวเหมยน่ะช้าเร็วฉันจะไปขอเจอตัวอยู่แล้ว” ประธานเชี่ยนเองก็ทนมานาน อยากจะไปจัดหนักให้ป้ามหาภัยคนนั้นนานแล้ว
“หลิวเหมยถ้าเธอเชื่อพี่นะ ก็ไม่ต้องไปฟังอาจารย์ จะหมอดูก็ดี จิตแพทย์ก็ช่าง ไม่มีทางพูดเรื่องที่แม่นได้100%หรอก อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน ถ้าเธอแต่งงานกับหม่าลุ่ย ครอบครัวเธอถึงจะซวยอย่างแท้จริง ลองนึกถึงเรื่องคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอดที่พี่เล่าให้ฟังสิ ถ้าเธอแต่งกับหม่าลุ่ยแล้วโดดตึกตาย ครอบครัวเธอจะรู้สึกยังไง”
การต่อสู้ยกแรกของหมอดูโบราณVSดอกเตอร์จิตวิทยาได้ทิ้งความสับสนให้หลิวเหมยอย่างหนัก