“ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆนะ ใครกันที่เอาความคิดประหลาดยัดใส่สมองครอบครัวนี้ ฉันว่าครอบครัวหม่าอย่างกับไม่ใช่มนุษย์ เหมือนมาจากต่างดาวมากกว่า” สุ่ยเซียนไม่เข้าใจจิตใจของคนพวกนี้เลยจริงๆ
“ที่พวกเขามีความคิดแบบนี้ก็เพราะมีลูกชายยังไงล่ะ ไม่ต้องสนว่าลูกชายจะเก่งหรือไม่เก่ง ในสายตาของพวกเขาผู้หญิงมีไว้ให้เอาเปรียบ เพราะว่าลูกของพวกเขาเป็นผู้ชาย ผู้หญิงที่ลดตัวมาแต่งมักจะได้เจอกับเหตุการณ์แบบนี้สูง ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าหลังคลอดที่ฉันเจอมาส่วนใหญ่เจอกับครอบครัวแบบนี้ ในขณะที่ผู้หญิงเหล่านี้คิดว่าตัวเองยอมลดตัวลงมาแต่งด้วยก็เพราะความรัก ครอบครัวฝ่ายชายควรจะให้เกียรติ แต่สิ่งที่เจอกลับเป็น คนชั้นต่ำสมน้ำหน้าครอบครัวฝ่ายชายคิดแต่ว่าลูกชายตัวเองเก่งที่หลอกผู้หญิงรวยๆมาแต่งงานได้ ที่บอกว่าคู่ครองควรสมฐานะกันใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล นี่เป็นความขัดแย้งทางความคิดของคนที่โตมาในสภาพแวดล้อมไม่เหมือนกัน ถ้าไม่มีจิตใจดั่งแม่พระที่จะอดทนได้ก็อย่าไปท้าทายกับอะไรแบบนี้เลยดีกว่า”
หลิวเหมยถูกเสี่ยวเชี่ยนกับสุ่ยเซียนล้างสมองแบบสุดๆแล้ว
“แล้วก็เธอ นางสาวทังสุ่ยเซียน เธออย่าคิดว่าฉันพูดกับหลิวเหมยเรื่องพวกนี้แล้วเธอจะรอดตัวนะ ถึงท่าทีของอาเหม็ดกับหม่าลุ่ยจะแสดงออกมากันคนละแบบ ภูมิหลังของครอบครัวเขาดีกว่าหม่าลุ่ย แต่ฉันพนันได้เลยว่าช่วงแรกที่เขาเข้าหาเธอต้องมีความคิดแบบเดียวกันแน่ๆ”
ผู้หญิงที่ทั้งรวยทั้งไร้เดียงสาคิดว่าตัวเองเจอรักแท้แล้ว ผู้ชายแผนสูงที่คิดว่าตัวเองเจอเครื่องกดเงินที่ทั้งโง่ทั้งหลอกง่าย
ตอนนี้หลิวเหมยเริ่มมีความคิดอยากจะถอย แต่สิ่งที่เธอกลุ้มก็คือ บ้านนั้นมากันถึงที่นี่แล้ว ถ้าบอกเลิกคงไม่เหมาะหรือเปล่า ไหนจะคำทำนายของอาจารย์…
แต่พี่สะใภ้พูดมีเหตุผลทุกอย่าง
อาจารย์บอกว่าถ้าเธอไม่แต่งงานจะซวยทั้งครอบครัว พี่สะใภ้บอกว่าแต่งกับคนเลวก็จะทำให้พ่อแม่เธอเหนื่อยใจไปด้วย มีเหตุผลทั้งคู่เลย
เสี่ยวเชี่ยนเห็นหลิวเหมยคิดหนัก จึงพูดเสริมขึ้น
“สุ่ยเซียน เอาชาดอกเก๊กฮวยที่อยู่ในขวดเก็บความร้อนของพวกเรามาหน่อย อากาศแห้ง เอามาให้ทุกคนกินดับกระหาย”
ประโยคนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคำพูดก่อนหน้า แต่พอเสี่ยวเชี่ยนพูดขึ้นมา หลิวเหมยก็นึกถึงคำพูดเมื่อก่อนของเสี่ยวเชี่ยนทันที
“ตอนรักกัน ผู้หญิงก็คิดถึงแต่ความรักอันแสนหวานของตัวเอง แต่มีใครบ้างที่จะนึกถึงความรู้สึกของพ่อแม่ ก็เหมือนกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าหลังคลอดคนนั้น พ่อแม่เขาจะเสียใจแค่ไหนนะ…แต่งงานกับผู้ชายฟีนิกซ์ก็เท่ากับหาเหาใส่ครอบครัวตัวเอง พ่อแม่เลี้ยงให้โตมาเพื่อที่จะถูกครอบครัวที่ไม่เอาไหนของสามีคิดบัญชีเหรอ คิดบัญชีเสร็จยังโดนด่าว่าโง่เองอีก ต้องยอมเอาเงินไปประเคนให้ เธอจะเชื่อคำทำนายที่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อ้างอิงหรือเชื่อจิตแพทย์ที่มากประสบการณ์อย่างพี่ล่ะ”
หลิวเหมยสีหน้าเปลี่ยน
“คุณโหดกว่า” อวี๋หมิงหลางยกนิ้วโป้งให้เสี่ยวเชี่ยน เขาคิดจะใช้กำลังกับหลิวเหมยยังขู่ให้กลัวไม่ได้ แต่พอเมียเขาพูดถึงชาเก๊กฮวยขึ้นมาหลิวเหมยก็สีหน้าเปลี่ยน ดูท่าก่อนหน้านี้เมียเขาจะทำงานมาค่อนข้างหนัก
“ไร้สาระ ฉันให้คำปรึกษาเคสหย่าร้างแทบจะเป็นหนึ่งในห้าของเคสที่ฉันต้องเจอเลยด้วยซ้ำ” เสี่ยวเชี่ยนพูดอย่างภูมิใจ
ปัญหาจิตเวชที่ผู้หญิงส่วนใหญ่เข้ามาขอรับคำปรึกษาล้วนมาจากการคาดหวังที่สูงเกินไปต่อคนรัก สุดท้ายไม่เพียงแต่จะสูญเสียหัวใจของสามียังสูญเสียความเป็นตัวเองอีกด้วย สำหรับความรักและชีวิตคู่ของคนบางคนแล้ว การหย่าหรือการเลิกเป็นทางช่วยเพียงทางเดียว
เลือกจับแยกคู่เป็นงานที่ประธานเชี่ยนเชี่ยวชาญ
อวี๋หมิงหลางมาคิดดูถึงได้พบว่าเมียของเขาได้ทำการสะบั้นความรักฉาบฉวยที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงสองคนนี้อย่างเนียนๆ หรือเป็นผู้ช่วยในการตัดสัมพันธ์ของความรักที่กำลังจะเกิดก็ว่าได้
หากคิดจะจับคู่รักแยกกันห้ามบอกพวกเขาว่าเป็นเพราะไม่เหมาะสมกัน เพราะมีตัวอย่างให้เห็นมากมายแล้วว่า ยิ่งแยกยิ่งติดหนึบมากกว่าเดิม การคัดค้านของผู้ใหญ่อาจกลายเป็นทำให้คู่รักได้เจอเป้าหมายร่วมกัน แล้วนับประสาอะไรกับเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในวัยต่อต้านอยากจะจับแยกให้ขาดห้ามเข้าไปจุ้นจ้าน ให้พูดในเชิงอ้อมให้พวกเขาได้กระโจนเข้าหาเอง พอได้สัมผัสกับรสชาตินั้นเดี๋ยวก็เลิกกันไปเอง
ขณะที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังจิบชาโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น
“ฟู่กุ้ยมีอะไรเหรอ”
พอได้ยินชื่อฟู่กุ้ยหลิวเหมยก็มองไปที่เสี่ยวเชี่ยนโดยอัตโนมัติ
“เชี่ยนเอ๋อ มีงานเลยจะโทรมาถามว่ารับไหม ที่เมืองเธอ เป็นงานของราชการน่ะ”
“จะกว้างขวางเกินไปแล้วนะ ทำไมลามมาถึงเมืองนี้ได้”
“ที่ศูนย์เรากำลังวางแผนไปเปิดศูนย์ย่อยที่นั่น เพื่อนร่วมงานที่เมืองนั้นเสนอมา นี่เป็นเคสที่เกี่ยวเนื่องกับด้านจิตวิทยาค่อนข้างเยอะ พวกเราแผนกประสาทไปคงไม่ค่อยเหมาะ”
“ว่ามาสิงานอะไร”
“โรงพยาบาลกลางของที่นั่นวางแผนจะเริ่มโครงการบำบัดจิตใจ ซึ่งก็เป็นโอกาสที่ทางการให้เป็นศูนย์ทดลองก่อน เพื่อเยียวยาจิตใจผู้ป่วยที่เป็นโรคที่รักษาไม่หายหรือได้รับบาดเจ็บร้ายแรง อยากให้จิตแพทย์ให้คำแนะนำกับพวกเขาอย่างถูกต้อง เพื่อเป็นการยืดอายุขัยของพวกเขาให้นานขึ้น พิสูจน์ให้เห็นว่าเรื่องสภาพจิตใจส่งผลต่อร่างกาย”
อย่างเช่นคนที่เป็นโรคมะเร็งหรือเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ยามที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัสจิตใจก็จะได้รับผลกระทบอย่างมาก ถ้าบำบัดจิตใจให้ดีขึ้นผู้ป่วยก็จะยิ่งมีความมั่นใจ ใช้ชีวิตอยู่ได้นานอีกหน่อย
เสี่ยวเชี่ยนพอได้ยินว่าเป็นงานราชการก็คิดเลยว่าไม่มีเงินให้แน่นอน โครงการทดลองแบบนี้ พอเบื้องบนอนุมัติเงินก็จะกินกันเป็นทอดๆ เหลือถึงมือหมอไม่เท่าไร แต่สำหรับจิตแพทย์ทั่วไปแล้วนี่เป็นโอกาสดีที่จะได้ฝึกงาน
ประธานเชี่ยนไม่เคยเดือดร้อนเรื่องเงิน เดิมเธอไม่คิดจะรับ แต่พอได้ยินชื่อโรงพยาบาลเธอก็เลิ่กคิ้วขึ้น
เธอจำได้ว่า…พ่อเย่เสียวอวี่ที่ถูกหมากัดไข่ดูเหมือนจะรักษาตัวที่โรงพยาบาลนั้นไม่ใช่เหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็…
“ช่วงนี้ฉันยุ่งนิดหน่อย แต่ฉันแนะนำลูกศิษย์ไปให้ได้ เขามีใบอนุญาตระดับสามแล้ว”
“มีใบอนุญาตงั้นก็ได้—ว่าแต่เธอมีลูกศิษย์ตั้งแต่เมื่อไร”
“ก็ตั้งแต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัย เขาเป็นรูมเมทฉัน ฉันถูกชะตาก็เลยรับไว้ แต่ปรากฏว่าดันกลายมาเป็นพี่สะใภ้รองได้…ตอนนี้เขาเหมาะกับงานนี้ที่สุด ฉันก็อยากฝึกเขาด้วย”
ถูกต้อง เสี่ยวเชี่ยนคิดจะแนะนำต้าอีให้
“งั้นก็ได้ พรุ่งนี้เที่ยงพี่จะไปถึงที่นั่นแล้วค่อยว่ากัน จริงสิเชี่ยนเอ๋อ เธอดื่มชาดอกเก๊กฮวยหรือเปล่า”
เสี่ยวเชี่ยนเหลือบมองแก้วของหลิวเหมย หรือนี่จะเป็นพรหมลิขิต
“ดื่มสิ”
“งั้นเดี๋ยวพี่แบ่งไปให้ เพื่อนเก่าพ่อพี่เพิ่งกลับมาจากแหล่งผลิต เอามาให้เยอะเลย”
“เอามาเยอะหน่อย ฉันจะแบ่งให้หลิวเหมย”
“…ใครนะ” พอได้ยินชื่อนี้หัวใจของฟู่กุ้ยก็เริ่มเต้นแรง นึกถึงสัมผัสนุ่มๆโดยอัตโนมัติ รวมถึงกลิ่นหอมๆของสบู่กลิ่นมะนาว
ถึงเขาเองก็เปลี่ยนไปใช้สบู่กลิ่นนั้นเหมือนกัน แต่ทำไมเขาใช้เองมันไม่ให้ความรู้สึกนุ่มๆ…หอมๆแบบนั้นเลยนะ
“หลิวเหมยไง ช่วงนี้เขามีเรื่องนิดหน่อย เลยอยากเอามาดับร้อนให้เขา”
“เขาเกิดเรื่องอะไรขึ้น” ฟู่กุ้ยถามต่อ
หลิวเหมยร้อนใจรีบสะกิดเสี่ยวเชี่ยน พี่สะใภ้ห้ามพูดส่งเดชนะ ฉันไม่เป็นไร
“เขาน่ะเหรอ—” เสี่ยวเชี่ยนเว้นวรรค “ไม่บอกดีกว่า เดี๋ยวมาเจอก็รู้เองแหละ”
หึหึ แบบนี้เรียกว่า ฝากไว้ให้คิด
การฝากไว้ให้คิดของเสี่ยวเชี่ยนประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก พอวางสายเลี่ยวฟู่กุ้ยก็ร้อนใจเหมือนมีไฟแผดเผา
ดอกเก๊กฮวยดับร้อน เกิดอะไรขึ้นกับหลิวเหมยกันแน่