514 ขอแค่เธอมีความสุขก็พอ
“การกินเนื้อหมาในหน้าหนาวดีต่อร่างกายมากนะ ขนาดพระเจ้าก็ยังไม่สามารถต้านทานรสชาติของมันได้ แล้วเขาก็กินฮอทพอทเนื้อหมาด้วย” หวังเย้าพูดด้วยความมั่นใจ
“นั่นเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ พระสงฆ์ไม่ได้รับอนุญาตให้กินเนื้อไม่ใช่เหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม ถึงแม้ว่าเธอจะรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตามที
“เธอก็ลองถามพวกเขาดูสิ” หวังเย้าพูด
“โยม ตอนนี้พวกโยมกำลังอยู่ภายในวัด โปรดสำรวมวาจาด้วย” พระสงฆ์หันหน้ากลับมาพูดกับพวกเขา
“พระท่านไม่พอใจแล้ว” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้มซุกซน
“ท่านกินเนื้อหมาไป อร่อยไหมครับ?” หวังเย้าถามด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาของพระสงฆ์เต็มไปด้วยความโกรธ
ซูเสี่ยวซวีหัวเราะออกมา ตอนนี้เธออารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่กัน?” พระสงฆ์ที่ดูมีอายุมากกว่าและอ้วนกว่ารูปหนึ่งเดินเข้ามาหา
“เซียนเชิง เขาก็กินเนื้อหมาด้วยรึเปล่าคะ?” ซูเสี่ยวซวีมองหน้าหวังเย้าและถามขึ้นมา
ซงรุ่ยปิงและเฉินหยิงยืนอยู่ข้างๆ และมองดูพวกเขากลั่นแหล้งพระสงฆ์เหล่านั้น
“อืม เขากิน” หลังจากสังเกตดูพระสงฆ์อีกรูปแล้ว เขาก็พูดออกมา
“ท่านคะ เนื้อหมาอร่อยไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีพูดกับพระอีกรูป
“หมา…” พระสงฆ์ร่างท้วมมองดูซูเสี่ยวซวี เขารู้สึกสงสัยขึ้นมาว่า ทำไมหญิงสาวที่งดงามราวกับนางฟ้าสวรรค์ถึงได้พูดออกมาโดยไม่คิดแบบนี้
“อามุตาพุทธ โยมคงล้อเล่นแล้ว ที่นี่คือวัด จะมีเนื้อหมาได้ยังไงกัน?” พระสงฆ์ร่างท้วมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ทำให้เขาดูสูงส่งขึ้นมาทันที
“ฉันคิดว่าพระจะไม่โกหกซะอีก” ซูเสี่ยวซวีพูด
“อาตมาพูดความจริง” พระสงฆ์พูด
“เราเลิกพูดเรื่องเนื้อหมากันดีกว่า ไปเดินดูรอบๆกันเถอะ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม การพูดกับพระสงฆ์ทั้งสองเกี่ยวกับเรื่องเนื้อหมาต่อไปไม่ได้ทำให้เกิดประโยนช์อะไรขึ้นมา
“โอเคค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
พระสงฆ์ทั้งสองจึงเดินจากไป
หวังเย้าและอีกสามคนได้เดินเข้าไปภายในโบสถ์ รูปปั้นของม่าจ้อโป๋(เทวีแห่งท้องทะเล)ตั้งอยู่เพื่อให้ผู้คนเข้ามาสักการะ ในเมื่อพวกเขาได้เข้ามาด้านในนี้แล้ว พวกเขาจึงทำการสักการะรูปปั้น
พวกเขาคุกเข่าลงตรงหน้ารูปปั้นและคำนับ หวังเย้ามองสังเกตดูรูปปั้นที่ดูมีเมตตาอย่างละเอียด องค์เทวีท่านรู้รึเปล่านะ ว่าพระสงฆ์ของท่านดื่มเหล้าและกินเนื้อหมาด้วย? หวังเย้าคิดอยู่ภายในใจ จากนั้นเขาก็พนมมือและก้มศีรษะลงตรงหน้ารูปปั้น
“เราเดินไปดูเนินเขาที่อยู่ข้างหลังกันไหม?” หวังเย้าเสนอ
บนเนินเขามีรูปปั้นของพระพุทธเจ้าตั้งเด่นอยู่ ถึงแม้ว่าที่นี่จะไม่ได้มีประวัติยาวนาน แต่ตัวรูปปั้นกลับมีความขลังแฝงอยู่ หวังเย้าคิดว่ามันจะต้องเป็นรูปปั้นที่ถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์สักคนหนึ่งอย่างแน่นอน
“หิมะตกแล้ว” ซูเสี่ยวซวีพูดอย่างยินดี
เกล็ดหิมะลอยปลิวอยู่ในอากาศ
“มีตึกหนึ่งอยู่บนเนินเขานั่นด้วยใช่ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีชี้ไปที่ยอดเขา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพวกเขามากนัก และเธอก็สามารถมองเห็นมุมหนึ่งของตัวตึกได้
“ใช่ แต่มันเพิ่งจะถูกสร้างขึ้นได้ไม่นานนี้เอง เธออยากจะไปดูไหม?” หวังเย้าถาม
“อยากค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
ทางเดินเป็นขั้นบันไดหลายขั้น ทั้งยังไกลและชันด้วย
“คุณเหนื่อยไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ไม่หรอก” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
ซูเสี่ยวซวีไม่ได้หนักมากนัก ถึงเขาจะแบกวัวขึ้นมาทั้งตัว เขาก็ไม่ได้รู้สึกหนักอะไรมาก
ขั้นบันไดเหล่านั้นไม่ได้ไกลสำหรับหวังเย้าเลย ไม่นานพวกเขาก็เดินขึ้นมาถึงยอดเขา มันเป็นเนินเขาเล็กๆที่มีพื้นดินขรุขระ และด้านบนนี้ก็ยังมีบ้านหลังเล็กๆตั้งอยู่หลังหนึ่ง ตัวบ้านนั้นดูใหม่และน่าอยู่
“มีแค่นี้เหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
เมื่อได้มาเห็นแล้ว เธอก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ไม่นาน เธอก็พบว่าเมื่อมายืนอยู่บนยอดเขาแบบนี้แล้ว มันทำให้เธอได้เห็นภาพวิวทิวทัศน์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ซึ่งเป็นภาพที่น่ามองอย่างมาก
“ที่นี่ไม่เหมือนกับที่ปักกิ่งเลย” ซงรุ่ยปิงพูด
เธอไม่ค่อยได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยือนสถานที่เล็กๆแบบเหลียนชานนัก เธอมองดูรอบๆ ทั้งหมดที่เธอเห็นก็มีแค่ภูเขาลูกเล็กๆตั้งอยู่โดยรอบ แต่ที่ปักกิ่ง เธอสามารถมองเห็นได้แค่ตึกรามบ้านช่องเท่านั้น เนินเขาเหล่านี้อาจไม่ได้ดูยิ่งใหญ่เมื่อเทียบกับตึกสูง และเหลียนชานก็ไม่ใช่เมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์เหมือนอย่างที่ปักกิ่ง แต่มันกลับมีความพิเศษในตัวมันเอง
มันคล้ายกับคนที่ได้กินอาหารที่บ้าน หลังจากที่กินข้าวข้างนอกบ่อยเกินไป
ระหว่างทางกลับ หวังเย้าเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งกำลังแอบเดินไปด้านหลังเขา พร้อมกับถือห่อบางอย่างเอาไว้ในมือ
“เขากำลังอะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถามด้วยความสงสัย
“ทำลายหลักฐานน่ะสิ” หวังเย้าตอบ
“หลักฐานอะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“หลักฐานที่ว่าพวกเขากินเนื้อหมาน่ะสิ” หวังเย้าพูด เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นเนื้อจากห่อของในมือของพระสงฆ์รูปนั้น “พระพวกนี้ไม่รู้จักยับยั้งกิเลสของตัวเองซะเลย”
พระสงฆ์เหล่านี้อาศัยอยู่บนเขาโดยที่ไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมหรือคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ไม่ได้มีผลอะไรต่อพวกเขาเลย พวกเขาควรได้รับโทษ
“พระสงฆ์ที่อยู่บนนี้ไม่มีใครทำตามกฎเลยสักคน” หวังเย้าพูด
เขานึกภาพของพระสงฆ์เหล่านั้นที่กินฮอทพอทเนื้อสุนัข, ดื่มของมึนเมา, และดูหนังโป๋ พวกเขาคงจะมีความสุขกันมาก
ซงรุ่ยปิงไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น
ใบหน้าของซูเสี่ยวซวีแกงก่ำเพราะความเย็น แต่เธอก็อยู่ในอารมณ์ที่ดีอย่างมาก เธอไม่ได้รู้สึกมีความสุขมากขนาดนี้มานานมากแล้ว
เธอชอบภูเขา นั่นคือสิ่งที่เธอรู้สึกในเวลานี้
เมื่อพวกเขาเดินลงจากเขา ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว
“คุณผู้หญิงคะ ดิฉันจะไปจัดเตรียมที่พักให้คุณผู้หญิงและคุณหนูนะคะ” เฉินหยิงพูด
“อืม” ซงรุ่ยปิงพูด “หมอหวังคะ ขอบคุณที่พาพวกเขาไปเที่ยวนะคะ”
หวังเย้าใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายกับพวกเธอทั้งสามคน
“ด้วยความยินดีครับ” เขาพูด เขาไม่คิดอยู่แล้วว่าจะมีคนไข้มารักษากับเขาในวันนี้อากาศหนาวแบบนี้ แล้วช่วงที่คนเป็นหวัดกันมากๆก็ผ่านไปแล้วด้วย “ได้เดินเที่ยวบ้างก็ดีครับ”
“พรุ่งนี้คุณยุ่งไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถามเสียงเบา
“น่าจะไม่ยุ่งนะครับ” หวังเย้าตอบ
“ดีค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
ระหว่างทางกลับไปที่ห่ายชิว ซูเสี่ยวซวีเอาแต่ยิ้มไปตลอดทาง ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“วันนี้มีความสุขมากไหมจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ดีจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าลูกสาวของเธอมีความสุขมาก ซูเสี่ยวซวีไม่ได้มีความสุขแบบนี้มานานมากแล้ว ซงรุ่ยปิงคิดกับตัวเองว่า เธอควรจะพาลูกสาวของเธอออกมาแบบนี้ตั้งนานแล้ว
“พรุ่งนี้ คุณช่วยพาพวกเราไปเที่ยวที่อื่นจะได้ไหมคะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ได้สิครับ” หวังเย้าพูด
ก่อนที่จะบอกลากัน เฉินหยิงก็ได้นำของขวัญไปวางไว้ในรถของหวังเย้า
“เราเอาของฝากมาจากปักกิ่งด้วย มันเป็นแค่ของกินท้องถิ่นเท่านั้น ช่วยรับไว้ด้วยนะคะ” เฉินหยิงพูดพร้อมกับนำของฝากไปวางไว้ภายในรถของหวังเย้า
“ขอบคุณนะครับ” หวังเย้าพูด
“หวังว่าคุณจะชอบนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ไหนๆพวกคุณก็มาเป็นแขกของผมแล้ว ผมขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวเย็นทุกคนนะครับ” หวังเย้าพูด
“เอ่อ…” เฉินหยิงไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้เองได้ เธอจึงหันหน้าไปมองซงรุ่ยปิง
“ไม่ดีกว่าค่ะ ขอบคุณนะคะ เราหากินเองดีกว่า” ซงรุ่ยปิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ได้ครับ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะครับ” หวังเย้าพูด
เมื่อเขากลับไปถึงที่บ้านก็เป็นเวลาบ่ายแก่แล้ว และแม่ของเขาก็เตรียมอาหารเย็นพร้อมแล้วด้วย
“ทำไมถึงได้เอาของมาเยอะแยะมากมายแบบนี้ล่ะ?” เมื่อหวังเย้ากลับมาถึงที่บ้านและนำของฝากห่อใหญ่กลับมาด้วย จางซิวหยิงก็ได้ถามเขา “ลูกไปซื้อของมาเหรอจ๊ะ?”
“เปล่าหรอกครับ ผมบอกแม่ไปแล้วนี่ครับว่าผมไปข้างนอกกับเพื่อนน่ะ” หวังเย้าพูด
“แม่เห็นมีคนอยู่สองสามคนอยู่ที่คลินิกของลูก พอเห็นว่าลูกไม่อยู่พวกเขาก็เลยกลับไปกันหมด” จางซิวหยิงพูด
“ครับ ผมแขวนป้ายบอกเอาไว้ก่อนแล้ว” หวังเย้าพูด เวลาที่เขาไม่อยู่ เขาก็มักจะแขวนป้ายเอาไว้ที่หน้าประตู เพื่อให้คนที่มาหาเขาไม่ต้องมาเสียเวลารอ
“เพื่อนของลูกมาจากปักกิ่งเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม
“ครับ เป็นคนไข้ที่ปักกิ่งที่ผมเคยเล่าให้ฟังไงครับ” หวังเย้าพูด
“เด็กผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอ?” จางซิวหยิงถาม
“ใช่ครับ” หวังเย้าพูด
“แล้วเธอแข็งแรงพอที่จะเดินทางได้แล้วเหรอ?” จางซิวหยิงถาม เธอยังจำเด็กสาวที่ลูกชายของเธอพูดถึงได้ดี เธอรู้ว่าเด็กสาวต้องทรมานกับโรคร้ายมานาน และไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอเลย
“ครับ แต่เธอก็ยังเดินไม่ได้ ตอนนี้เธอยังต้องใช่รถเข็นอยู่ครับ” หวังเย้าพูด
“แล้วอากาศหนาวขนาดนี้ ลูกพาพวกเขาไปที่ไหนกันมาเหรอ?” จางซิวหยิงถาม
“เขาจิ่วเหลียนครับ” หวังเย้าพูด
“ลูกพาพวกเขาขึ้นไปบนนั้นกันเหรอ?” จางซิวหยิงรู้สึกประหลาดใจ
“ใช่ครับ” หวังเย้าพูด
“เรากินข้าวกันก่อนดีไหม” หวังเฟิงฮวาที่สูบบุหรี่อยู่พูดขึ้นมา
“เอาสิ กินข้าวกันเถอะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
ในตอนที่หวังเย้ากำลังทานอาหารเย็นอยู่นั้น จางซิวหยิงก็สำรวจดูของต่างๆที่หวังเย้าเอากลับมา
“นี่มันอะไรน่ะ?” จางซิวหยิงถาม หลังจากที่เจอชุดน้ำชาอยู่ในกองอาหารด้วย “ชุดน้ำชาจิ่งไท่หลาน?”
“เป็นของดีของปักกิ่งน่ะครับ” หวังเย้าพูด
“ขอฉันดูหน่อยสิ” หวังเฟิงฮวาหยิบชุดน้ำชาขึ้นมาดู ถ้วยน้ำชาแต่ละใบมีลวดลายที่แตกต่างกันออกไป พวกเขาล้วนงดงาม หวังเฟิงฮวาดูจะชอบชุดน้ำชาชุดนี้มาก
“พ่อชอบไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“อืม พวกมันสวยมาก” หวังเฟิงฮวาพูดด้วยรอยยิ้ม “มันน่าเสียดายถ้าจะเอาพวกเขามาใส่ชา”
“ชุดน้ำชามีไว้สำหรับใช้ดื่มชาอยู่แล้ว” หวังเย้าพูด
หลังจากที่อยู่คุยกับพ่อแม่ของเขาได้สักพัก เขาก็กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน
ในขณะเดียวกัน ซงรุ่ยปิง ซูเสี่ยวซวี และเฉินหยิงก็ได้เข้าพักที่โรงแรมที่ดีที่สุดในตัวเมืองเหลียนชาน
“คุณผู้หญิงคะ คุณหนูซูหลับไปแล้วค่ะ” เฉินหยิงพูด
“ดีแล้วล่ะ การเดินทางมาที่นี่ไม่ใช่ใกล้ๆ แล้วเธอก็เที่ยวตลอดทั้งบ่าย เธอคงจะเหนื่อยมากแล้ว” ซงรุ่ยปิงพูด
ซูเสี่ยวซวีนั้นเหนื่อยมาก เมื่อมาถึงที่โรงแรม เธอก็อาบน้ำและทานอาหารง่ายๆ จากนั้น เธอก็เข้านอนในทันที
“พรุ่งนี้ เรามีแผนจะทำอะไรบ้างคะคุณผู้หญิง?” เฉินหยิงถาม
“เราจะไปหาหมอหวังอีกรอบ แล้วก็กลับปักกิ่งกันวันมะรืน” ซงรุ่ยปิงพูด
“รับทราบค่ะ”
หลังจากที่เฉินหยิงออกไปแล้ว ซงรุ่ยปิงก็เดินไปนั่งที่ข้างหน้าต่าง เธอมองดูตัวเมืองที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ เธอไม่เคยมาที่เมืองนี้มาก่อน ถ้าหากไม่ใช่เพราะลูกสาวของเธอ เธอก็อาจจะไม่ได้มาเหยียบที่นี่ตลอดทั้งชีวิตของเธอ