ตอนที่ 515

Elixir Supplier

515 เมืองที่เจริญรุ่งเรือง กรงขังขนาดใหญ่

 

วันนี้ ลูกสาวของซงรุ่ยปิงมีความสุขอย่างมาก

 

เรื่องนี้ทำให้เธอมีความสุขและกังวลไปพร้อมกัน ใครก็ตามที่มีตา ก็จะสามารถเห็นท่าทีที่ลูกสาวของเธอมีต่อหวังเย้าได้อย่างชัดเจน เธอทั้งดีใจและเขินอาย เห็นได้ชัดว่ามันคือความหลงใหล

 

แต่เธอจะทำอะไรได้ล่ะ?

 

ซงรุ่ยปิงเคยรับมือกับเรื่องราวซับซ้อนมาแล้วหลายรูปแบบ แต่เรื่องนี้เธอไม่สามารถทำอะไรได้เลย

 

หิมะตกลงมาตลอดหนึ่งวันเต็ม วันต่อมา เมืองเล็กๆในหุบเขาก็ดูราวกับถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเงิน อากาศด้านนอกเย็นเฉียบ ถนนลื่นเพราะหิมะและทำให้การจราจรติดขัด การที่จะออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกจึงเป็นไปได้ยาก

 

ซูเสี่ยวซวีที่อยู่ภายในโรงแรมกำลังนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง และมองดูหิมะที่เกาะอยู่ทั่วทุกบริเวณ “ฉันออกไปข้างนอกไม่ได้!” ริมฝีปากสีแดงของเธอโอดครวญออกมา เธอดูไม่พอใจอย่างมาก

 

“แม่ดูพยากรณ์อากาศของวันนี้แล้วนะ เขาบอกว่าอุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นในระหว่างวัน แล้วอีกไม่นานหิมะก็จะหยุดตก” ซงรุ่ยปิงยิ้มและปลอบลูกสาวของเธอ

 

“หนูก็ขอให้เป็นแบบนั้นจริงๆนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

บนเนินเขาทางทิศตะวันตก หวังเย้ามองดูหุบเขาที่อยู่ด้านล่าง ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ต้นสนยังคงตั้งตรงอย่างโดดเดี่ยวและไร้หนทางรอดชีวิต ใบที่เรียวแหลมราวกับเข็มของมันเหี่ยวแห้ง เขาไม่สามารถช่วยต้นสนต้นนี้ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะรดน้ำมันด้วยน้ำแร่โบราณทุกวันก็ตามที ที่นี่จะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน เขาเดินไปยังหุบเขาอีกแห่งหนึ่งและผลลัพธ์ที่เห็นก็ไม่ต่างกัน ต้นสนแห้งเหี่ยวไร้ชีวิตชีวา

 

“ดูเหมือนว่า ทั้งสองที่นี้จะไม่เหมาะกับการอะไรจริงๆ” หวังเย้าพูด

 

ถึงแม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นและเป็นฤดูที่ไม่เหมาะสำหรับการเพาะปลูก แต่เมื่อมีน้ำแร่โบราณปัญหาทุกอย่างก็จะหมดไป หากถูกปลูกเอาไว้ในสถานที่อื่น ต้นสนทั้งสองต้นนี้อาจจะสามารถรอดตายได้

 

หลังจากที่ลงมาจากเขาแล้ว หวังเย้าก็เดินไปที่บ้านของซุนหยุนเชิง บริเวณลานบ้าน หลินซือเทากับอาหาวกำลังออกกำลังกายกันอยู่ เมื่อเห็นหวังเย้าเดินมา พวกเขาก็ยิ้มให้และทักทายเขา

 

“พวกคุณอาการดีขึ้นมากเลยนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“โชคดีน่ะครับ” หลินซือเทาพูด

 

พวกเขานั้นมีพื้นฐานร่างกายที่ดีและยังมีความสามารถในด้านการต่อสู้อยู่แล้ว ซึ่งมันทำให้การไหลเวียนของโลหิตและพลังฉีของพวกเขาแข็งแรงกว่าคนทั่วไป และมันยังให้พวกเขาฟื้นตัวได้เร็วกว่าคนปกติทั่วไปอีกด้วย ทั้งยังมีตัวยาที่ทำขึ้นมาจากสมุนไพรสูตรพิเศษของหวังเย้าช่วยด้วย สมุนไพรที่ใช้ถูกปลูกขึ้นในบริเวณที่มีเมฆหนาแน่นตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน

 

“เซียนเชิง เชิญเข้ามานั่งข้างในก่อนสิครับ” ซุนหยุนเชิงที่ได้ยินเสียงพูดคุยของพวกเขา ได้เดินออกมาจากตัวบ้านและเชิญหวังเย้าเข้าไปด้านใน เขาชงน้ำชาด้วยชาดำชั้นดี การได้ดื่มชาดำในวันที่อากาศหนาวแบบนี้ สามารถช่วยไล่ความเย็นและอุ่นท้องได้เป็นอย่างดี

 

“ผลวิเคราะห์ดินจะออกมาเมื่อไหร่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

“ผลออกมาแล้วครับ เดี๋ยวทางแล็ปจะส่งผลมาให้ตอนบ่ายของวันนี้เลย” ซุนหยุนเชิงพูด เขาใส่ใจกับเรื่องนี้มาก “แล้วผมจะเอาไปให้คุณนะครับ”

 

“ดีครับ” หวังเย้าพูด

 

หลังจากที่อยู่คุยกันได้สักพัก หวังเย้าก็ขอตัวกลับ

 

“เขามาทำไมเหรอครับ?” หลินซือเทาเดินเข้ามาในบ้าน

 

“ก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอกครับ เขาแค่มาถามเรื่องดินที่ฝากเอาไว้เท่านั้นเอง” ซุนหยุนเชิงพูด

 

เขาหยิบมือถือขึ้นมาและกดโทรออก

 

“ผลวิเคราะห์ตัวอย่างดินจะต้องถูกส่งมาให้เร็วที่สุด!” มันเป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก ที่หวังเยาจะมาขอร้องให้เขาช่วยแบบนี้ เขาจึงต้องทำให้งานในครั้งนี้เสร็จเรียบร้อยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

 

ภายในคลินิกเงียบสงัด ช่วงเช้าไม่มีคนไข้มาที่นี่เลย

 

เมื่อเลยเวลาสิบโมงเช้าไป พระอาทิตย์ก็เริ่มส่องแสงเจิดจ้า หิมะที่เกาะอยู่ตามที่ต่างๆก็เริ่มละลาย หวังเย้าอยู่แต่ในคลินิกและกลับไปที่บ้านในตอนเที่ยง เมื่อเขามาถึงที่บ้าน เขาก็พบว่า พ่อของเขายังคงไม่วางมือไปจากชุดน้ำชาชุดใหม่ที่เพิ่งได้มา

 

“อืม” หวังเย้าจดจำเรื่องนี้เอาไว้ในใจ

 

ดูเหมือนว่า พ่อของเขาจะชอบของประเภทนี้ ในความเป็นจริงนั้น หวังเฟิงฮวาคิดแค่ว่า ชุดน้ำชาชุดนี้งดงามมากจนเขาอดที่จะยกขึ้นมาดูใกล้ๆไม่ได้ก็เท่านั้น

 

หลังจากที่ทานอาหารกลางวันเสร็จไปได้ไม่นาน ซุนหยุนเชิงก็มาหาหวังเย้าที่บ้าน “เซียนเชิง ผลตรวจมาถึงแล้วครับ”

 

มันเป็นเพียงกระดาษแค่ไม่กี่แผ่น ซึ่งมีรายละเอียดต่างๆที่วิเคราะห์ๆได้จากตัวอย่างดิน เช่น ค่าpHของดิน, และประเภทของอนุภาคต่างๆภายในดิน ผลสรุปที่ได้ก็คือ ดินชนิดนี้ไม่เหมาะสำหรับการเพาะปลูก

 

“สารอินทรีย์ที่ไม่รู้จักเหรอ?” เมื่อเห็นประโยคนี้ หวังเย้าก็รู้สึกงุนงง

 

“ครับ ผมได้นำส่วนหนึ่งของตัวอย่างดินส่งไปให้แล็ปที่ปักกิ่งตรวจดูแล้ว อีกไม่นานก็คงจะได้ผลมาครับ” ซุนหยุนเชิงพูด

 

“โอเค ขอบคุณนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“ยินดีครับ” ซุนหยุนเชิงพูด

 

หวังเย้าและซุนหยุนเชิงเดินออกไปจากบ้านพร้อมกัน และเดินตรงไปยังเนินเขาทางทิศตะวันตก

 

“เซียนเชิง ผมขอไปดูที่นั่นด้วยคนได้ไหมครับ?” ซุนหยุนเชิงถามด้วยความลังเล

 

“ได้สิ” หวังเย้าพูด

 

ทั้งสองจึงพากันลงไปที่หุบเขา

 

“รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร้บ้างไหม?” หวังเย้าถาม

 

“ผิดปกติเหรอครับ?” ซุนหยุนเชิงรู้สึกงุนงง “ก็ไม่นี่ครับ”

 

หรือคนธรรมดาจะไม่สามารถรับรู้ได้?

 

“งั้นรอผมอยู่ตรงนี้ก่อนนะ” หวังเย้าเดินตรงเข้าไปในหุบเขาและดึงต้นสนที่กำลังจะตายขึ้นมา มันถูกดึงขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย เพราะรากของมันเริ่มเน่าและกลายเป็นสีดำหมดแล้ว

 

สาเหตุที่ทำให้รากเน่านั้นอาจจะเกิดจากการรดน้ำมากเกินไป หรือในดินมีอากาศน้อย แต่ทั้งสองสาเหตุนี้กลับไม่ใช่สาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นที่นี่ ดินนั้นร่วนซุยดี และเขาก็ไม่ได้รดน้ำมากจนเกินไปด้วย

 

เมื่อรากเน่า พืชก็ไม่สามารถเจริญเติบโตได้อีกต่อไป หวังเย้านำต้นสนทิ้งไปในหุบเขา

 

“เซียนเชิง ที่นี่มีอะไรผิดปกติเหรอครับ?” ซุนหยุนเชิงถามด้วยความสงสัย

 

“ตอนนี้คุณยังมองอะไรไม่เห็น แต่พอถึงฤดูใบไม้ผลิและหิมะละลายไปจนหมดแล้วเมื่อไหร่ คุณก็จะพบว่า ที่นี่ไม่มีหญ้าขึ้นเลยสักต้น” หวังเย้าพูด

 

“แม้แต่หญ้าก็ไม่ขึ้นเหรอครับ? ปัญหาอยู่ที่ดินอย่างนั้นเหรอครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม

 

“ถูกต้อง” หวังเย้าพูด

 

มันคงจะไม่เป็นอะไร หากมีพื้นที่แบบนี้แค่แห่งเดียว แต่ที่เนินเขาทางทิศตะวันตกกลับมีอยู่ด้วยกันถึงห้าที่ พวกเขาจะขยายพื้นที่ออกไปอีกหรือไม่? ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงๆ ทั่วทั้งเนินเขาทิศตะวันตกก็จะกลายเป็นภูเขาหัวโล้นไปในทันที ซึ่งมันทำให้หวังเย้ารู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก

 

“ผมสามารถเชิญผู้เชี่ยวชาญมาดูให้ได้นะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด

 

“ดีครับ” หวังเย้าพูด เรื่องแบบนี้ก็ควรจะให้ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงมาจัดการจะดีที่สุด

 

“พอกลับไปแล้ว ผมจะรีบติดต่อพวกเขาทันทีครับ” ซุนหยุนเชิงพูด

 

“คงจะต้องทำให้คุณยุ่งยากซะแล้วนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“ไม่เลยครับ” ซุนหยุนเชิงพูด

 

 

ปักกิ่ง…

 

“เฉินเหล่า อาการพ่อของผมเป็นยังไงบ้าง?” หวูถงชิ่งถาม

 

“ความสามารถของฉันถึงขีดจำกัดแล้ว ฉันคงจะทำได้เท่านี้ พูดตามตรง สถานการณ์แบบนี้มองไปในแง่ดีไม่ได้เลย แล้วอาการของเขาก็แย่ลงเรื่อยๆ” เฉินเหล่าพูด

 

“เฮ้อ!” หวูถงชิ่งถอนหายใจออกมา

 

ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ตระกูลต้องเผชิญก็คือสุขภาพที่แย่ลงของพ่อของพวกเขา โดยปกติแล้ว คนอายุ 70 ที่มีสถานะไม่ธรรมดาแบบเขาไม่ควรจะมีปัญหาสุขภาพอะไรมาก แต่นี่คือสถานการณ์พิเศษ และอาการป่วยที่เขาเป็นอยู่ก็ยังร้ายแรงกว่าที่คิด

 

สถานการณ์ในตอนนี้คล้ายกับตระกูลกั๋ว ชายชราเป็นเหมือนไม้ใหญ่ของบ้าน คอยป้องกันลมฝนให้กับคนในตระกูล เมื่อชายชรามีชีวิต ด้วยตำแหน่งของเขาแล้ว ทำให้ผู้คนจำนวนมากยังต้องไว้หน้าเขาหลายส่วน เพื่อที่จะทำให้การทำงานหลายๆอย่างราบรื่นขึ้น ตระกูลกั๋วก็คือตัวอย่างที่นี่ของเรื่องนี้ ครั้งหนึ่งพวกเขาเปรียบดั่งแสงตะวันเจิดจ้าในยามกลางวัน แต่ตอนนี้มันกลับกลายจากแย่เป็นเลวร้ายลงกว่าเดิม มันไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาให้ดีเหมือนดังเดิมได้

 

“ผมจะไปที่เหลียนชานอีกรอบ” หวูถงชิ่งพูด

 

“ถงชิ่ง สำหรับฉันแล้ว หวูเหล่าดีกับฉันมาก” เฉินเหล่าพูด “ถ้าเป็นคนอื่นฉันก็คงจะไม่พูด แต่ฉันจะบอกกับเธอ เขาเป็นหมอที่เก่งมากจริงๆ ฉันได้เห็นความสามารถของเขามากับตาของตัวเอง เขามียาที่วิเศษ และผลลัพธ์ของตัวยาก็ยอดเยี่ยมมาก ในตอนนั้น เสี่ยวซวีของตระกูลซูป่วยหนักมากและเกือบจะตายไปแล้ว อาการของเธอหนักกว่าหวูเหล่ามาก แต่เธอก็ยังรอดมาได้ด้วยยาแค่เม็ดเดียวเท่านั้น”

 

“มันคือยาอะไรเหรอครับ?” หวูถงชิ่งรีบถามในทันที

 

“ฉันไม่รู้” เฉินเหล่าพูด เขาเคยเห็นยาเม็ดนั้นแค่ครั้งเดียว และในครั้งนั้น มันก็ทำให้เขาได้เห็นความมหัศจรรย์ช่วงเวลาก่อนตายของคนคนหนึ่ง หลังจากที่ซูเสี่ยวซวีได้กินยาเม็ดนั้นเข้าไป การเต้นของชีพจรของเธอก็เปลี่ยนไป มันไม่ผิดเลยถ้าหากจะเรียกยาเม็ดนั้นว่า “ยาเทพ”

 

“ถ้าเธอคิดจะไปหาเขาจริงๆ เธอก็ต้องระมัดระวังท่าทีของตัวเองให้ดี และอย่าทำให้เขาไม่พอใจ ยาเม็ดนั้นมันเป็นสิ่งล้ำค่ามากจริงๆ” เฉินเหล่าพูด

 

“ผมเข้าใจครับ” หวูถงชิ่งพูด “เฮ้อ คนเก่งๆแบบนั้นดันไปอยู่ที่หมู่บ้านในหุบเขาซะได้ ผมไม่เข้าใจเลยว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ ถ้าเขามาอาศัยอยู่ในเมืองละก็ เขาจะต้องกลายเป็นที่นับหน้าถือตาของตระกูลใหญ่ๆได้อย่างแน่นอน”

 

“โอ้” หลังจากที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ เฉินเหล่าก็ยิ้มออกมา “ปักกิ่งอาจจะเป็นเมืองที่เจริญในสายตาของเธอ แต่ในสายตาของเขา มันอาจจะเป็นกรงที่ขังเขาเอาไว้แทนก็เป็นได้ เมื่อได้เข้ามาอยู่ข้างในแล้ว ก็ยากที่จะหากทางออกไปได้”

 

 

ดวงตะวันซ่อนตัวอยู่หลังก้อนเมฆ ทำให้ท้องฟ้าดูอึกครึม สายลมยังคงพัดโชยส่งเสียงหวีดหวิว

 

หวังเย้านั่งอยู่ภายในคลินิกเพียงลำพัง และอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ ในเวลา  10 วันที่เหลือ เขายังต้องการคนไข้ที่ป่วยด้วยโรคที่รักษาได้ยากอีกสามราย

 

เว่ยห่าย, ลู่เสียน, ซุนหยุนเชิง, แม่ของหยางห่ายฉวน, อาหาวที่ถูกพิษ…เขาไม่ได้นับละเอียดมากนัก แต่จำนวนของคนทั้งหมดก็ได้เกินครึ่งแล้ว การหาคนไข้อีก 3 รายในเวลาแค่ 10 วันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

 

ลู่เสี่ยวเหมย, ซูเสี่ยวซวี, ชายชรา…เขาคิดได้แค่สามคนนี้เท่านั้น พวกเขาล้วนเป็นคนที่ป่วยด้วยโรคที่รักษาได้ยาก หลังได้รับการรักษาจากหวังเย้าแล้ว ร่างกายของพวกเขาก็เริ่มฟื้นตัวขึ้น

 

“ลองสู้ดูสักตั้งก็แล้วกัน” เขาพูดพึมพำกับตัวเอง

 

เช้าวันต่อมา หวังเย้าตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ หลังจากที่ฝึกฝนร่างกายอยู่บนยอดเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินลงไปจากเนินเขาและแขวนป้ายเอาไว้ด้านหน้าคลินิก วันนี้เขาจะออกไปข้างนอก