ตอนที่ 109 ฉันควรตายหรือยัง

“เขาเป็นพ่อของผม”

แค่คำพูดเบาๆ เพียงหนึ่งประโยค แต่กลับมีผลการสั่นสะเทือนสูง

ผู้ชายวัยกลางคนหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง นำมาคาบเองหนึ่งมวน แล้วจึงส่งให้โจวเจ๋อกับนักพรตเฒ่าคนละหนึ่งมวน

นักพรตเฒ่ายืนนิ่งไม่ขยับ แต่โจวเจ๋อกลับรับบุหรี่มาจุดไฟอย่างใจเย็นมาก

“เป็นยังไง คิดดีแล้วหรือยัง” ผู้ชายวัยกลางคนพูดโน้มน้าวต่อ “วางใจได้ ผมไม่เอาเปรียบพวกคุณหรอก ผมสามารถให้พวกคุณดูใบรายการของผม ถึงตอนนั้นพวกคุณลงเวลาเดียวกันกับผมก็พอ”

“คุณเป็นลูกชายที่ดีมากนะครับ” โจวเจ๋อพ่นควันบุหรี่ออกมาแล้วพูด

ผู้ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วยิ้มหยัน “นี่คือธุรกิจ เล่นไม่เล่น พูดมาเลย”

เขาไม่โง่ แน่นอนว่าสามารถฟังออกถึงคำพูดถากถางแดกดันของโจวเจ๋อ

“ลง ทำไมไม่ลงล่ะ” โจวเจ๋อเอ่ย

“โอเค ห้าพัน ไม่แพงใช่ไหม พวกคุณลงมาหนึ่งแสนหยวนแล้ว ใบรายการสองใบ หนึ่งแสน เพิ่มอีกห้าพัน พวกคุณฟันกำไรเหนาะๆ แน่นอน”

พอพูดถึงเงิน ผู้ชายวัยกลางคนเริ่มตื่นเต้นขึ้นมา ลืมคำพูดเย้ยหยันแดกดันก่อนหน้านั้นของโจวเจ๋ออย่างสิ้นเชิง

“ถ้าหากพ่อของคุณทนต่อไปไม่ไหวล่ะ” โจวเจ๋อถาม

“จะเป็นไปได้ยังไง เขาเป็นพ่อของผม เขารู้ว่าผมก็ลงเงินเหมือนกัน วางใจได้ ผมจะคอยให้กำลังใจเขา ให้เขาอย่าเพิ่งตาย ถึงแม้ต้องตาย ก็ต้องถึงเวลาก่อนแล้วค่อยตาย”

ผู้ชายวัยกลางคนทำสีหน้าเหมือนกุมทุกอย่างไว้ในกำมือ เวลานี้ ราวกับว่าพ่อลูกสื่อใจถึงกันได้จริงๆ ความรักและผูกพันของพ่อลูกที่ลึกซึ้งลอยฟุ้งออกมา ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งและตื้นตันใจไปด้วย

“คนเราจะตายเมื่อไร เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน” โจวเจ๋อเอ่ยเตือน “แม้แต่ยมทูต ก็ยังไม่รู้”

ยมทูตจะปลิดชีวิตของคนเป็นตามอำเภอใจไม่ได้ แน่นอน ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่สิ่งที่ต้องแลกนั้นยิ่งใหญ่มาก หากไม่ระวัง ก็ไม่มีทางเอากลับคืนมาได้ตลอดไป

“เหอะๆ ถ้าเก่งจริงก็ให้ยมทูตมาเอาวิญญาณของพ่อผมไปตอนนี้เลย” ผู้ชายวัยกลางคนขากเสมหะอีกครั้ง จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ออกมา

“พวกคุณโอนเงินมาให้ผมเลย พอโอนเงินแล้วผมจะให้พวกคุณดูใบรายการของผมทันที”

“ข้าโอนเงินให้เจ้าก็โง่แล้ว!” นักพรตเฒ่ากำหมัดทุบไปที่ศีรษะของอีกฝ่ายโดยตรง

‘ปั่ก!’

ผู้ชายวัยกลางคนโดนทุบจนมึนแล้วล้มลงไปกองกับพื้น เขายืนขึ้นมาอยากจะโต้กลับ แต่นักพรตเฒ่ากลับถลึงตาใส่เขา

เขากลัวแล้ว

คุณไม่สามารถคาดหวังกับผู้ชายคนหนึ่งที่เอาชีวิตของพ่อมาเดิมพันเพื่อความร่ำรวยได้จริงๆ ว่าจะมีความฮึกเหิมและความหยิ่งในศักดิ์ศรีมากแค่ไหน

“คุณคอยดูเถอะ คุณต่อยคนใช่ไหม ผมจะแจ้งความ!” ผู้ชายวัยกลางคนรีบคลำหาโทรศัพท์ของตัวเองที่เพิ่งจะร่วงลงพื้นทันที

“แจ้งความเลย พวกเราจะรอ” โจวเจ๋อกล่าว

ผู้ชายวัยกลางคนหนังตากระตุก เขาไม่กล้าแจ้งความ ไม่กล้าจริงๆ แล้วจึงเก็บโทรศัพท์ทันที เขากวาดตามองนักพรตเฒ่าอย่างแรง จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้อง ปิดประตู แล้วล็อกกลอนจากด้านใน

นักพรตเฒ่าพ่นลมหายใจยาว หมุนตัวกลับมาด้วยความหดหู่ใจ ก่อนจะมองโจวเจ๋อพลางเอ่ยว่า

“เถ้าแก่ ขอโทษนะ ข้าวู่วามไปหน่อย”

“ไม่เป็นไร” โจวเจ๋อไม่ถือสา จากนั้นถามว่า “ทำไมจู่ๆ ถึงวู่วามขึ้นมา”

“ชาตินี้สิ่งที่ข้าเสียใจมากที่สุดก็คือ ก่อนที่พ่อจะตาย ข้าอยู่ข้างนอก ไม่ทันกลับมาดูหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย คำพูดของไอ้หมอนี่ ทำให้ข้าเกลียดจริงๆ สมกับเป็นเดรัจฉานของแท้ จิตสำนึกถูกสุนัขกินไปหมดแล้วหรือไง ถึงเอาชีวิตพ่อของตัวเองมาหาเงินแบบนี้”

โจวเจ๋อเขี่ยบุหรี่ในมือแต่ไม่พูดอะไร

“เถ้าแก่ เจ้าไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ” นักพรตเฒ่าเม้มปากแล้วถาม “สัตว์เดรัจฉานแบบนี้ ใครเห็นแล้วสบายตาบ้าง”

“ผมเป็นลูกกำพร้า”

“…” นักพรตเฒ่า

โจวเจ๋อยิ้ม ก่อนจะพ่นควันบุหรี่ออกมาแล้วเอ่ยว่า “จริงๆ แล้ว เรื่องประเภทนี้ ผมเจอที่โรงพยาบาลมาเยอะ ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ ถึงขนาดโกรธมาก คนป่วยเรื้อรังไร้ลูกกตัญญู แน่นอนว่าลูกที่อกตัญญูมีอยู่ไม่น้อย แต่คนส่วนใหญ่แท้จริงแล้วก็อยากจะรักษาคนในครอบครัวของตัวเอง ถึงแม้ประกันสุขภาพของประเทศและประกันสังคมในชุมชนจะยกระดับแล้ว แต่เงื่อนไขการรักษาก็ปรับเปลี่ยนทุกปี และถ้าหากป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายหรือโรคที่รุนแรง ก็เท่ากับโยนเงินใส่หลุมที่ไม่มีจุดสิ้นสุด”

โจวเจ๋อทิ้งบุหรี่ที่อยู่ในมือ แล้วทำท่า ‘บดขยี้’ ออกมา

“ชีวิตคนสำคัญมากกว่าเงิน” นักพรตเฒ่ายังคงยืนหยัดในความคิดของตัวเอง

“ชีวิตคนสำคัญกว่าเงินจริงๆ ‘ชีวิตไม่อาจประเมินค่า’ เป็นสิ่งที่ทุกคนได้ยินจนคุ้นชินแล้ว แต่มูลค่าของทุกสิ่ง อันที่จริงสามารถวัดได้ แต่ขึ้นอยู่กับมุมมองจากจุดยืนที่แตกต่างกัน อย่างเช่น เพื่อรักษาญาติผู้ใหญ่ที่ป่วยหนักของตัวเอง ต้องติดหนี้ยืมสิน จากครอบครัวธรรมดากลายเป็นครอบครัวที่ยากจนข้นแค้น แต่โรคของญาติผู้ใหญ่อาจจะยังรักษาไม่ทันหายดี ก็เสียชีวิตแล้ว จากนั้นชีวิตของครอบครัวนี้ การศึกษาและอนาคตของลูก ควรจะจัดการยังไง

ผมเคยเจอเรื่องแบบนี้ มีคนแก่คนหนึ่งแอบหนีออกมาจากโรงพยาบาล แต่ถูกพวกเราพบเข้า ลูกชายของเขาก็กตัญญูมาก ยอมทุ่มเงินรักษาเขา คุกเข่าขอร้องเขาให้กลับไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลต่อ แต่เขาไม่อยากเป็นตัวถ่วงของลูกชายตัวเอง บอกว่าถ้าไม่ให้เขากลับไปตายที่บ้าน อย่างนั้นเขาก็จะวิ่งไปบนถนนให้รถชนตาย ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อยากทำให้ลูกชายลำบากต้องจ่ายเงินให้โรงพยาบาล”

นักพรตเฒ่าได้ฟังดังนั้นจึงเม้มปาก

“นี่คือความจนใจของชีวิต ความจนใจแบบนี้ ข้ามผ่านประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะประเทศจีนหรือต่างประเทศ ผู้คนมักจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่จำเป็นต้องเลือกอย่างช่วยไม่ได้ และการเลือกเหล่านี้ บางครั้งก็ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ”

นักพรตเฒ่าหัวเราะอย่างขมขื่น “อย่างนั้นยังจะแจ้งความไหม”

“แจ้งสิ ทำไมจะไม่แจ้ง” โจวเจ๋อมองนักพรตเฒ่า “ชีวิตบางครั้งก็รู้สึกจนใจ แต่ชีวิตไม่ควรที่จะโดนดูหมิ่นแบบนี้ เมื่ออยู่ท่ามกลางความจนใจมันสามารถแห้งเหี่ยวโรยราได้ แต่ไม่สมควรถูกกวนอยู่ในถังบำบัดของเสียแบบนี้ เอาชีวิตคนมาเดิมพัน มองชีวิตคนอย่างเราๆ เป็นเหมือนการชนไก่ แข่งกัดจิ้งหรีด แข่งกัดสุนัข หาความสนุกความตื่นเต้นไปเรื่อยๆ คนพวกนี้สมควรลงนรก กลับไปผมจะเอาเงินกระดาษให้คุณเผาจำนวนหนึ่ง”

นักพรตเฒ่าได้ยินดังนั้น จึงถูมือไปมาแล้วทำเป็นเอ่ยอย่างกระบิดกระบวนว่า “เกรงใจจังเลย เถ้าแก่ ทำงานให้เจ้าเป็นสิ่งที่สมควรอยู่แล้ว เงินแค่หนึ่งเสนเอง ใช่ไหมล่ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย เห็นข้าเป็นคนขี้เหนียวขนาดนั้นเลยเหรอ”

ต่อจากนั้นนักพรตเฒ่าเหมือนจะกลัวโจวเจ๋อเปลี่ยนใจ จึงรีบพูดต่อทันที “เถ้าแก่ แต่ถ้าเจ้าอยากจะให้จริงๆ ข้าก็คงต้องรับไว้”

“คุณคิดมากไปแล้ว เผาเงินเพื่อสร้างบุญกุศลให้คุณเท่านั้น จากนั้นคุณก็ไปมอบตัวและเป็นพยานที่มีมลทินติดตัว เพราะคุณก็เข้าไปเล่นพนันด้วย แต่คาดว่าความดีความชั่วน่าจะหักล้างกันได้ บวกกับผลจากการเผาเงินกระดาษ ไม่น่าจะมีปัญหา”

“…” นักพรตเฒ่า

โจวเจ๋อถือไม้เท้าเดินไปข้างหน้า นักพรตเฒ่าได้แต่ก้มหน้าเดินตามหลัง พร้อมกับคิดในใจไม่หยุด

และในเวลานี้เอง จู่ๆ โจวเจ๋อก็หยุดเดินกะทันหัน

“เถ้าแก่ เหนื่อยเหรอ” นักพรตเฒ่าถาม

เถ้าแก่โหดเหี้ยมกับข้าสารพัด แต่ข้ากลับปฏิบัติต่อเถ้าแก่เหมือนรักแรก

กฎพื้นฐานสำหรับการรับใช้ผี นักพรตเฒ่ารู้ดี ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะทำให้คุณกลายเป็นผีไปด้วย

“ผิดปกติเล็กน้อย ตอนนี้กี่โมงแล้ว” โจวเจ๋อถาม

“บ่ายสี่โมงครึ่ง” นักพรตเฒ่าดูโทรศัพท์หนึ่งที

“ท้องฟ้ามืดขนาดนี้ได้ยังไง” โจวเจ๋อชี้นิ้วไปเหนือศีรษะ

“ฝนจะตกหรือเปล่า” นักพรตเฒ่าเดา

“แต่พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้ฝนไม่ตก” โจวเจ๋อกล่าว

“พยากรณ์อากาศบอกว่าวันพรุ่งนี้มีโอกาสแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่ฝนจะตก สถานีของพวกเขาน่าจะมีสิบคน จากนั้นก็ยกมือโหวต แปดคนรู้สึกว่าฝนจะตก ก็เลยมีโอกาสแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่ฝนจะตก”

“อย่างนั้น ทางนั้นล่ะ” โจวเจ๋อชี้ไปยังท้องฟ้าที่อยู่ไกลๆ

นักพรตเฒ่าทอดมองไปแล้วตกตะลึงเล็กน้อย ที่นั่นไม่มีก้อนเมฆ ดวงอาทิตย์ส่องแสงกำลังดี

ความแตกต่างที่ชัดเจนอย่างแปลกประหลาดแบบนี้ สามารถทำให้คนตกใจได้จริง ควรทราบว่าที่นี่ไม่ใช่มณฑลยูนนานหรือที่ราบสูง ที่นี่เป็นพื้นที่ราบลุ่มสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีเกียง ปรากฏการณ์ที่ฝั่งหนึ่งดวงอาทิตย์ส่องแสง ฝั่งหนึ่งฝนตกแบบนี้เห็นได้น้อยมาก

“ผิดปกติ” โจวเจ๋อพูด จากนั้นเขามองไปที่ประตูใหญ่ทางด้านขวา บนนั้นแขวนป้ายว่า ‘โรงพยาบาลซินรุ่ย’ ด้านในมีนาฬิกาขนาดใหญ่เรือนหนึ่ง

นั่นคือนาฬิกาเรือนใหญ่ที่มีไว้สำหรับตกแต่ง มีขนาดใหญ่มาก

โจวเจ๋อผลักประตูเดินเข้าไปข้างใน นักพรตเฒ่าจึงเดินตามหลังเขาไป

“เฮ้ย พวกคุณทำอะไร”

เวลานี้ยามรักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาลเดินเข้ามา

โรงพยาบาลแห่งนี้จริงๆ แล้วเล็กมาก คาดว่าไม่น่าจะมีใบอนุญาตอะไร แผนกต่างๆ รวมทั้งแผนกผู้ป่วยในล้วนอยู่ในตึกเล็กสามชั้น มียามรักษาความปลอดภัยเพียงคนเดียว ไม่ใช่คนแก่อะไร แต่ถึงแม้จะใส่ชุดยาม ทว่าเป็นผู้ชายที่มีหน้าตาดุดันมาก

“เข้ามาดูเฉยๆ” โจวเจ๋อตอบ

“มีอะไรน่าดู” ยามพูดตะคอก

“เฮ้ย สมองเจ้ามีปัญหาหรือเปล่า ประตูโรงพยาบาลเปิดอยู่ก็เข้ามาไม่ได้เหรอ” นักพรตเฒ่าตอกกลับโดยตรง

สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือเคยได้ยินไหม ข้าอาศัยบารมีผีมาอวดเบ่งใส่คนอื่น ให้เจ้าตกใจเล่น! แต่เดี๋ยวนะ ดูเหมือนจะมีตรงไหนแปลกๆ

“ที่นี่ไม่ใช่สถานที่รักษา ถ้าจะมาหาหมอไปหาที่อื่น แล้วก็ที่นี่เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ไม่อนุญาตให้เข้ามาดู ไปๆๆ…”

ยามรักษาความปลอดภัยไม่สนใจนักพรตเฒ่า เตรียมจะไล่คนออกไปท่าเดียว

โจวเจ๋อมองนาฬิกาที่วางอยู่ตรงห้องโถงของโรงพยาบาล แล้วเหม่อลอยอย่างเงียบๆ

นักพรตเฒ่าเดินเข้ามา เกิดการปะทะตัวกับยามรักษาความปลอดภัยโดยตรง

เถ้าแก่ของข้ากำลังทำเรื่องสำคัญอยู่…เอ่อ กำลังเหม่อ แต่เจ้าจะเข้าไปรบกวนไม่ได้!

“อยากจะต่อยใช่ไหม” ยามรักษาความปลอดภัยชี้นิ้วใส่นักพรตเฒ่า

“มาเลย แกลองเข้ามาสิ!” นักพรตเฒ่าข่มกลับเหมือนกัน

เรื่องชกต่อย นักพรตเฒ่าไม่เคยกลัว!

“คุณรู้ไหมว่าโรงพยาบาลแห่งนี้ทำอะไร” โจวเจ๋อเอ่ยพลางมองนาฬิกาเรือนใหญ่

“เกี่ยวอะไรกับคุณ ที่นี่เป็นที่เผาศพส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับคุณ ถ้ารู้ตัวแล้ว ก็รีบไสหัวไป เล่นพนันแพ้แล้ว อย่ามาหาเรื่องที่นี่ ไปหาเจ้ามือไป!”

ยามรักษาความปลอดภัยพูดฉอดๆ

โจวเจ๋อพยักหน้า

สงสัยเขาจะรู้อยู่แล้ว จากนั้นโจวเจ๋อจึงยื่นมือไปแตะไหล่ของนักพรตเฒ่า “ไปกันเถอะ”

“เถ้าแก่ วันนี้เจ้าทำไมขี้ขลาด…ขนาดนี้ ฮ่าๆ ไม่ต่อยแล้วๆ ทุกคนต้องปรองดองกัน ปรองดองกันจะเกิดทรัพย์”

นักพรตเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ จากนั้นก็เดินตามโจวเจ๋อออกไป

ยามรักษาความปลอดภัยเหลือบตามองทั้งสองคนที่เดินออกไป แล้วจึงทำจมูก ‘ฟึดฟัด’ หนึ่งที

โจวเจ๋อเดินมาถึงถนนนอกประตูแล้วจุดบุหรี่หนึ่งมวน

นักพรตเฒ่าดูเงียบหงอยเล็กน้อย

เขารู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าเถ้าแก่คนนี้ไม่ค่อยสู้เหมือนเถ้าแก่คนก่อน หากเป็นเถ้าแก่คนก่อน กับไอ้คนที่พูดว่า ‘เขาเป็นพ่อของผม’ ก่อนหน้านั้น คาดว่าเถ้าแก่คนก่อนน่าจะให้คนผมขาวส่งคนหัวดำแล้ว

แต่เถ้าแก่ที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ รักษากฎระเบียบเกินไป มีวินัยในตัวเองมากเกินไป

“เขาเป็นคนมีชีวิต ไม่เกี่ยวกับผม” โจวเจ๋ออธิบาย

“อืม” นักพรตเฒ่าขานรับหนึ่งทีอย่างไร้เรี่ยวแรง

“นักพรตเฒ่า ผมไม่ชอบที่นี่เป็นอย่างมาก” โจวเจ๋อกล่าว

“ข้าก็ไม่ชอบเหมือนกัน” นักพรตเฒ่าพูดเออออตาม

“กี่โมงแล้ว” โจวเจ๋อถาม

“สี่โมงสี่สิบสามนาที”

โจวเจ๋อคีบบุหรี่ในมือ พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “จะออกมาแล้ว”

ยามรักษาความปลอดภัยหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา “ฮัลโหล ห้องกล้องวงจรปิดใช่ไหม สองคนนั้นที่เพิ่งเข้ามาเมื่อกี้ถูกผมไล่ออกไปแล้ว ไม่เหมือนคนที่เข้ามาขโมยเงินแต่มาก่อกวน”

ตอนที่เขาพูดจบแล้ว วิทยุสื่อสารจู่ๆ ก็มีเสียงรบกวนอย่างหนัก

“ฮัลโหลๆ” ยามรักษาความปลอดภัยตบวิทยุสื่อสาร “วิทยุเฮงซวย”

‘ต่อง…ต่อง…’ นาฬิกาเรือนใหญ่ที่อยู่ข้างกายมีเสียงดังขึ้นมา

ยามรักษาความปลอดภัยหันไปมองตามสัญชาตญาณ จากนั้นขมวดคิ้ว เกาศีรษะ แล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้เล็กน้อย ‘แม่งเอ๊ย ยังไม่ถึงเวลาเลย แกทำบ้าอะไร’

สี่โมงสี่สิบสาม…สี่สิบสี่นาที

และในเวลานี้ ยามรักษาความปลอดภัยพลันได้ยินเสียงเสียดสีของล้อเฟืองดังมาจากนาฬิกาเรือนใหญ่ เสียงดังและน่ากลัวมาก ทั้งยังให้ความรู้สึกคล้ายมีน้ำกระเด็นออกมาจากเครื่องบด เหมือนมีเนื้อหมูชิ้นใหญ่กำลังถูกบดอยู่ในเครื่องบด

ยามรักษาความปลอดภัยงงมาก ถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเขาก็เห็นมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากนาฬิกาเรือนนั้น และมือนี้เหมือนจะผ่านการบดของฟันเฟืองมา เนื้อเละเต็มไปหมด ภาพนี้เป็นฝันร้ายสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคกลัวรูอย่างแน่นอน

อุณหภูมิโดยรอบลดลงทันที ทำให้คนเกิดภาพหลอนคิดว่าตัวเองตกอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง

ยามรักษาความปลอดภัยเริ่มตัวสั่นระริก เขาอยากจะวิ่ง เขาอยากจะตะโกน แต่ขาของเขาเหมือนถูกถ่วงด้วยตะกั่ว ขยับไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

แล้วมือนี้ก็จับคอของยามรักษาความปลอดภัยอย่างช้าๆ พลังงานที่น่ากลัวบางอย่างส่งผ่านมาตามแขน ลากยามรักษาความปลอดภัยให้เข้าใกล้นาฬิกา

ใบหน้าของยามรักษาความปลอดภัยถูกบีบให้ติดกับผนังด้านนอกของนาฬิกา จนใบหน้าของเขาเปลี่ยนรูป

แล้วเสียงสั่นฟังดูน่ากลัวก็ดังออกมาจากวิทยุสื่อสาร

“กี่โมง…แล้ว…ฉะ..ฉัน…ควร…ตาย…ควรตายแล้ว…หรือยัง”

…………………………………………………………………………