ตอนที่ 110 สู้ไม่ไหว

‘ติ๊ก…ติ๊ก…ติ๊ก…’ เสียงเข็มนาฬิกากำลังเดิน น้อยคนมากที่จะสนใจความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเหล่านี้ ผู้คนมักจะพูดว่าต้องทะนุถนอมเวลา ร้องปาวๆ ว่าเวลาเป็นเงินเป็นทอง แต่คนที่ทำได้จริงนั้นกลับมีน้อยนิด

ทว่ามีหลายคนที่เคยสัมผัสประสบการณ์เช่นนี้ ทันใดนั้น คุณเงียบลง ได้ยินเสียงนาฬิกาดัง ‘ติ๊ก’ คุณสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเวลากำลังผ่านไปอย่างเงียบๆ และสิ่งที่กำลังผ่านไปพร้อมกับเวลายังมีชีวิตของคุณอีกด้วย

ความเงียบถึงขั้นน่ากลัวแบบนี้ เป็นความเงียบที่ทำให้คนขนลุกได้ ท่ามกลางความมืดมิด ราวกับบัญชีมรณะที่ได้เขียนความเป็นความตายของทุกคนเอาไว้นั้นมีอยู่จริง

ผู้คนที่มีชีวิตอยู่ เพียงแค่ต้องผ่านขั้นตอนนี้ให้เสร็จสิ้น

มีชีวิตตามบันทึกของบัญชีมรณะ และตายตามบันทึกของบัญชีมรณะ

นี่คือสุดยอดความน่ากลัวที่ซ่อนอยู่ในเวลาเหล่านี้

ภายในห้องใต้ดินของโรงพยาบาลที่ไม่มีใบอนุญาต พื้นที่ไม่ใหญ่มาก แต่ถูกกั้นเป็นห้องเล็กๆ ในแต่ละห้องมีเตียงอยู่หนึ่งเตียง

มีคนกำลังนอนอยู่บนเตียง มีบางคนที่เคยนอนอยู่บนเตียง และมีบางคนที่กำลังจะเข้ามานอนบนเตียงเป็นรายถัดไป

ที่นี่ไม่ใช่นรก แต่กลับเต็มไปด้วยลมหายใจของยมทูตแห่งความตาย

บริเวณรอบๆ มีหมอและพยาบาลบางส่วนเดินไปมาไม่หยุด แต่พวกเขาที่อยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้ ไม่ใช่เทพบุตรเสื้อกาวน์กับนางฟ้าชุดขาวที่ช่วยชีวิตคนด้วยการรักษาอาการเจ็บป่วยอย่างที่ทุกคนรู้และเข้าใจ

พวกเขาแค่คอยตรวจสอบและคอยบันทึกเฉยๆ บันทึกข้อมูลของทุกคนลงไป จากนั้นอัปโหลดขึ้นไปบนเว็บไซต์ในขณะเดียวกัน

ก็เหมือนกับการเล่นพนันบอล อัตราต่อรองมีการเปลี่ยนแปลงไม่หยุด หากผู้เล่นหลักของทีมเกิดบาดเจ็บกะทันหัน โค้ชหลักโดนเปลี่ยนกะทันหัน ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้งในและนอกสนาม ล้วนมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราต่อรอง

ที่นี่ก็เช่นกัน ข้อมูลสัญญาณชีพของทุกคนจะทำให้นักพนันที่นั่งอยู่หน้าจออ่านด้วยความตื่นเต้น

เวลาอ่านแฟ้มประวัติผู้ป่วยของพ่อแม่ตัวเอง พวกเขาอาจจะไม่ตั้งใจเหมือนในขณะนี้เสียด้วยซ้ำ

พวกเขาดูกล้องวงจรปิดแบบเรียลไทม์ ดูข้อมูลแต่ละบรรทัดแต่ละประโยคเพื่อค้นหาการตัดสินของตัวเอง แล้วโยนเบี้ยในมือตัวเองออกไป

นี่คือเกมพนันชีวิต สิ่งที่พวกนักพนันได้จากในนี้ ไม่ได้มีแค่กำไรจากการจ่ายเงินคืนเท่านั้น แต่ยังมีความสุขของการที่ได้ควบคุมชีวิต

และความรู้สึกที่มีสุขเหล่านี้ ถูกสร้างขึ้นมาจากการเหยียบย่ำชีวิตของมนุษย์ด้วยกันเอง

ผู้หญิงคนหนึ่งที่เดิมทีนอนอยู่บนเตียงไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงดิ้นรนลุกนั่งขึ้นมา และในเวลานี้ก็เป็นเวลาที่หมอกับพยาบาลกำลังเปลี่ยนเวร ส่วนเจ้าหน้าที่ในห้องกล้องวงจรปิดก็อาจจะอู้งานพอดี จึงไม่ได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติของผู้หญิงคนนี้

ผู้หญิงถอดสายน้ำเกลือของตัวเองออก เธอดิ้นรนอยากจะลงจากเตียง แต่เธอกลับกลิ้งลงไปบนพื้นทั้งตัว

เธอยังดูสาวมากกว่าคนที่อยู่บนเตียงอื่น ดูแล้วน่าจะอายุสามสี่สิบปี แต่ร่างกายเห็นได้ชัดว่าบวมเป็นอย่างมาก และขาท่อนล่าง ก็หนาไม่เป็นรูป บวมจนเกือบจะเป็นก้อนเดียวกัน

เธอลุกไม่ขึ้น ทุกวันต่อให้เธอกินอาหารก็ถูกกำหนดปริมาณ ไม่เคยมียอดเกินใดๆ ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อความเป็นธรรม

ความยุติธรรมที่ทุกคนเรียกร้อง ในด้านนี้ได้ถูกนำไปกระทำและทำสำเร็จอย่างถึงที่สุด

เธอกำลังคลาน เธอพยายามคลาน เธอคลานไปถึงหน้าประตู แต่ประตูถูกปิดไว้ เธอจึงใช้แรงผลักประตูแล้วคลานออกไปข้างนอกต่อ เธอดูเหมือนผีซาดาโกะที่คลานออกมาจากในทีวี ชุดสีขาว ผมเผ้ารุงรัง แต่เธอยังมีชีวิตอยู่

แน่นอนว่ามีชีวิตอยู่ได้ไม่นานแล้ว แสงเทียนแห่งชีวิตในตัวเธอเริ่มริบหรี่ กำลังจะร่วงโรย

เธอโชคดีมาก คลานออกมาจากห้องผู้ป่วยแคบๆ คลานไปตามทางเดิน คลานมาจนถึงหน้าประตูออฟฟิศ ตลอดทางไม่มีคนเดินผ่านมาเลย จึงไม่มีใครเห็นเธอ

มือของเธอวางอยู่บนประตูออฟฟิศ เธออยากจะขอให้หมอที่อยู่ข้างในโทรศัพท์ให้เธอ

ในห้องผู้ป่วยของเธอมีนาฬิกาดิจิทัล บนนั้นระบุวันที่และเวลา

วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบห้าขวบของลูกชาย เธออยากจะเตือนสามีของตัวเองให้จัดเลี้ยงวันเกิดให้ลูกชายด้วย

พอนึกถึงลูกชาย มุมปากของเธอจึงยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ลูกชายเป็นสิ่งที่ผูกพันกับเธออย่างลึกซึ้ง อุ้มท้องมาสิบเดือน ขอแค่เป็นคุณแม่ที่ปกติเล็กน้อย มีคนไหนบ้างจะไม่รักลูกของตัวเอง

เธอป่วยเป็นโรคนี้ รักษาไม่หาย และฐานะที่บ้านก็ไม่ดีอยู่แล้ว แถมสามียังติดการพนัน ไม่มีงานทำ ก่อนหน้านั้นต้องอาศัยเธอทำงานนอกบ้านเพื่อมาจุนเจือครอบครัว ตอนนี้ตัวเธอกลับเป็นโรคที่การแพทย์ในปัจจุบันไม่สามารถรักษาได้

เธอจึงทำใจไม่ได้ไม่อยากนำเงินอันน้อยนิดของครอบครัวมาทุ่มไปกับการรักษาโรคของตัวเอง ลูกชายของเธอยังต้องเข้าโรงเรียนอนุบาล ยังต้องเรียนหนังสือ ตอนนี้และต่อไปล้วนต้องใช้เงิน

สามีคุกเข่าต่อหน้าเธอ ขอให้เธอมาที่นี่

เธอรู้ว่าที่นี่เป็นสถานที่แบบไหน เธอรู้ว่าในห้องผู้ป่วยติดตั้งกล้องสองตัวเอาไว้ทำอะไร เธอจึงตกปากรับคำ

นอนตายอยู่ที่บ้านก็ตายเหมือนกัน นอนตายอยู่ที่นี่ก็ตายเหมือนกัน เธอรู้ว่าตัวเองกลายเป็นเบี้ยไปแล้ว แต่อย่างน้อยการเป็นเบี้ยเช่นนี้ ทางแพลตฟอร์มจะส่งเงินก้อนใหญ่ให้ที่บ้าน

ที่บ้านต้องการใช้เงิน ลูกของเธอกำลังโตและต้องการเงิน

สามีคุกเข่ารับรองต่อหน้าเธอว่าจะกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี เปลี่ยนเป็นคนใหม่ จะเป็นพ่อที่ดี เลี้ยงดูลูกชายให้เติบใหญ่

เธอรู้ว่าตัวเองใกล้จะตายแล้ว เธอจึงจ้องมองนาฬิกาตลอดเวลา เธออยากทนฝืน ทนฝืนเพื่อเตือนสามีของตัวเองให้จัดเลี้ยงวันเกิดให้ลูกชายด้วย เธอจึงฝืนทนมาจนถึงวันนี้ เธอนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยของที่นี่ ไม่ได้รับการรักษาใดๆ แม้กระทั่งยาแก้ปวดก็กินไม่ได้ต้องทนทรมานกับโรคทุกวี่วัน แต่กลับยังฮึดสู้ไม่ยอมตายก็ด้วยสาเหตุนี้

เธอผลักประตู แต่ประตูไม่ขยับ เธอเหนื่อยมากแล้ว ร่างกายหมดแรง

แต่กลับมีเสียงทะเลาะกันดังมาจากข้างในออฟฟิศ

เสียงทะเลาะของทั้งสองฝ่ายเป็นเสียงที่คุ้นเคยมาก คนหนึ่งเป็นหมอประจำตัวที่มาตรวจอาการเธอวันละสามเวลา อีกคนหนึ่งเป็นสามีของเธอเอง

เธอยิ้มแล้ว เพราะสามีอยู่ที่นี่ อย่างนั้นเรื่องที่ต้องจัดเลี้ยงวันเกิดให้ลูกชาย เธอสามารถบอกต่อหน้าเขาได้เลย

เธอยังอยากให้สามีช่วยไปบอกลูกชายสองสามประโยค ในฐานะคนเป็นแม่ เธอจะอยู่บนสวรรค์คอยดูเขาเติบใหญ่อยู่เสมอ

“ทำไมเธอยังไม่ตาย! ทำไมถึงไม่ตาย!” สามีพูดตวาด

“ผมจะไปรู้ได้ยังไง ภรรยาของคุณไม่ตาย ก็มาโทษพวกเรา” นี่เป็นเสียงของหมอ

“แต่ผมลงเงินไปสองแสนว่าเธอจะตายสัปดาห์ที่แล้ว ผมคิดว่าเธอไม่น่าจะมีชีวิตรอดเกินสัปดาห์ที่แล้ว”

“พลังชีวิตของภรรยาคุณน่าตกใจมาก นับว่าเป็นปาฏิหาริย์สำหรับหมอก็ว่าได้ หยุดยานานขนาดนี้ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปคงทนไม่ไหวแล้ว”

“เป็นเพราะคุณ คุณเป็นคนบอกผม บอกผมว่าเธอจะตายสัปดาห์ที่แล้ว ผมถึงกล้าวางเงินสองแสน สองแสนเลยนะ!”

“คุณปล่อยนะ คุณปล่อยผมเดี๋ยวนี้! สมองของคุณมีปัญหาเหรอ ผมไม่ใช่พญายม ใครจะอยู่ใครจะตายผมควบคุมไม่ได้”

“คุณควบคุมไม่ได้แต่ยังเผยข้อมูลให้ผม แถมยังหักเปอร์เซ็นต์จากผมอีกด้วย คุณตั้งใจจะทำร้ายผม! คุณรู้ไหมเงินสองแสนนี้เป็นเงินที่ภรรยาของผมแลกมาด้วยชีวิต!”

“ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้อีกผมจะเรียกยามแล้ว”

“คุณช่วยผมหน่อย ผมจะลงอีกหนึ่งแสน แล้วคุณก็ทำให้เธอตายสัปดาห์นี้ ได้ไหม แอบฉีดยาให้เธอหนึ่งเข็มเพื่อให้เธอตายสัปดาห์นี้ แบบนี้ผมก็จะได้ต้นทุนคืน แถมยังทำกำไรได้อีกด้วย!”

“ลงอีกหนึ่งแสน คุณไปเอาเงินมาจากไหนอีกหนึ่งแสนหยวน”

“ผมขายลูกชายของผมไปแล้ว หนึ่งแสนหยวน! รอให้ผมได้ต้นทุนกลับมาก่อน ผมจะไปไถ่ตัวลูกชายของผมกลับมา หมอ คุณช่วยผมหน่อยนะ แอบทำให้เธอตายเถอะ ไม่อย่างนั้นผมก็จะไม่มีเหลือทั้งภรรยาและเสียลูกชายไป!”

“เหอะๆ คนอย่างคุณไม่มีใครเหมือนอีกแล้ว ขอโทษนะครับ ที่นี่มีกฎ มีกล้องวงจรปิด ผมจะไม่ทำเรื่องแบบนี้”

“อย่างนั้นผมจะต้องทำยังไง ต้องทำยังไง อ้อใช่หมอ คุณให้ผมเจอหน้าเธอ ให้ผมเจอหน้าเธอสักครั้ง เธออยู่ห้องผู้ป่วยห้องไหน ผมจะไปหาเธอ ผมจะสั่งให้เธอตาย ให้ตายสัปดาห์นี้ เธอจะเข้าใจแน่! ถ้าเธอไม่ตายก็ไถ่ชีวิตลูกชายกลับมาไม่ได้ ที่บ้านไม่เหลือเงินแล้ว เธอชอบผมมาก และรักลูกชายของเธอเป็นอย่างยิ่ง ขอแค่คุณให้ผมได้เจอหน้าเธอสักครั้ง เธอจะต้องยอมตายเพื่อลูกชายแน่นอน หมอ ผมขอร้องหมอ หมอ ผมขอร้องคุณหมอละนะ”

“มันไม่เข้ากับเงื่อนไข พวกเราไม่ใช่คนเถื่อนด้านนอก พวกเราทำถูกต้องตามกฎ และเพราะถูกต้องตามกฎ ถึงมีลูกค้าลงเงินกับพวกเราเยอะที่สุด”

“อันนี้ให้คุณ ให้คุณ ตอนที่คุณไปตรวจช่วยพูดแทนผมด้วย จากนั้นคุณก็ลงเดิมพันด้วย เชื่อผม เธอจะต้องตาย เธอยอมตายแน่นอน”

เสียงของผู้ชายทั้งสองคนยังคงดังต่อไป ส่วนผู้หญิงที่อยู่นอกประตู ไม่มีลมหายใจแล้ว แต่ดวงตาของเธอกลับเบิกโต บนประตูที่ปิดสนิท ยังทิ้งรอยข่วนเอาไว้ ซึ่งเป็นรอยข่วนที่มาจากเล็บ

ด้านนอกโรงพยาบาล โจวเจ๋อกับนักพรตเฒ่ายืนอยู่ตรงนั้น

“นักพรตเฒ่า คุณยังมียันต์กระดาษอยู่ไหม”

“หมดแล้ว สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ หมดไปนานแล้ว ครั้งที่แล้วเล่นโชว์ในร้านหนังสือก็ใช้สองใบสุดท้ายไปแล้ว”

นักพรตเฒ่าพูดอย่างจริงใจ “ถ้าหากข้ายังมีอีก จะต้องให้เถ้าแก่แน่นอน”

“อ้อ” โจวเจ๋อขานรับหนึ่งที

นักพรตเฒ่าถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นจึงยื่นมือไปลูบโดยไม่รู้สึกตัว

วินาทีต่อมารู้สึกร้อนกะทันหัน ร้อนจนนักพรตเฒ่ากระโดดขึ้นมา รีบยื่นมือเข้าไปหยิบยันต์กระดาษสีแดงใบสุดท้ายออกมา

“โอ๊ยๆๆ…แสบๆๆๆ…ร้อนจริงๆ” แล้วพูดทันทีว่า “ฮ่าๆๆๆ เถ้าแก่เจ้าคิดว่าแปลกไม่แปลก ที่ข้ายังเหลืออีกหนึ่งใบใบสุดท้ายแล้ว ใบสุดท้ายแล้วจริงๆ”

“ผมไม่ได้อยากได้” โจวเจ๋อพูด

“อะไรนะ”

“เดิมทีอยากจะเตือนคุณ อีกสักพักจะมีผีดุที่กลับมาในเจ็ดวันแรกหลังจากตาย แรงอาฆาตอาจจะรุนแรง ถ้าหากคุณยังมียันต์กระดาษซ่อนอยู่ อาจจะเจ็บมาก”

นักพรตเฒ่าใบหน้าบิดเบี้ยวเหมือนรูตูด “เถ้าแก่ ทำไมไม่พูดตั้งแต่แรก”

“คุณบอกว่าคุณไม่มี ผมก็เชื่อเลย”

“…” นักพรตเฒ่า

เมื่อความร้อนระบายออกไปแล้ว นักพรตเฒ่าจึงมองโรงพยาบาลที่อยู่ตรงหน้า ข้างในดูเหมือนจะมืดลงเยอะมากถึงแม้นักพรตเฒ่าจะไม่มีวิชาอาคม แต่ยังสัมผัสได้ว่ามีเรื่องเกิดขึ้นที่โรงพยาบาลแห่งนี้

“นักพรตเฒ่า คุณคิดว่ายังไง” โจวเจ๋อถาม

นักพรตเฒ่าตกตะลึงเล็กน้อย อะไรคือข้าคิดอย่างไร เจ้าเป็นผีหรือว่าข้าเป็นผี เจ้าเป็นยมทูตหรือว่าข้าเป็นยมทูตข้างในมีผีอาละวาด เจ้ามาถามว่าข้าคิดอย่างไร

ถามอะไรไร้สาระ! แต่นักพรตเฒ่ายังตอบด้วยความจริงจังทันที “เถ้าแก่ ในนี้ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่!”

“เหอะๆ”

นักพรตเฒ่ารู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน

ผ่านไปสักพักหนึ่ง เขาเห็นว่าโจวเจ๋อไม่คิดที่จะเข้าไป จึงเอ่ยว่า “เถ้าแก่ คนเลวพวกนี้ ต้องเป็นคนเลวแน่นอน ไม่ควรค่าต่อการช่วยเหลือ”

นักพรตเฒ่าเป็นห่วงว่าโจวเจ๋อจะเข้าไปจับผีโดยตรง เขารู้จักนิสัยของโจวเจ๋อ เป็นคนรักษากฎระเบียบมาก ซึ่งแตกต่างจากเถ้าแก่คนก่อนของตัวเองอย่างสิ้นเชิง

“พวกเราเข้าไปแล้ว แต่ถูกยามข้างในไล่ออกมา” โจวเจ๋อพูด

“หืม”

“ผีร้ายตัวนี้ที่กลับมาในเจ็ดวันแรก มีแรงอาฆาตสูง ดังนั้นจึงผิดปกติเป็นอย่างมาก และที่นี่ ทุกๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่งจะมีคนคอยจ้องนาฬิกาตาเขม็งตลอดเวลาแล้วก็ตายไป ความแค้นที่เกิดขึ้นแต่ละชั้น ซ้อนทับกันไม่หยุด สุดท้ายจึงตกมาอยู่ที่ผีตนนี้ ดังนั้นตอนที่เธอกลับมาในเจ็ดวันแรก จึงมีพลังเยอะมาก กระทั่งมีพลังทำร้ายคนทั่วไปได้”

“ดุขนาดนั้นเชียว” นักพรตเฒ่าเดาะปาก ทำไมถึงรู้สึกตื่นเต้นนิดๆ นะ

จัดการคนเลวพวกนี้ให้ตายไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานจะดีที่สุด สมน้ำหน้า!

“จริงๆ แล้วเธอไม่ควรเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ในชั่วพริบตา” โจวเจ๋อพูดอีก

“แล้วเป็นเพราะอะไร” นักพรตเฒ่ามองไปรอบๆ “หรือว่าแถวนี้จะมีคนลึกลับคอยผลักดันอยู่”

โจวเจ๋อพยักหน้า

นักพรตเฒ่าขึงตาโต พูดเสียงทุ้มหนัก “หาเจอไหม เถ้าแก่”

โจวเจ๋อส่ายหน้า

“อย่างนั้นจะทำยังไง ถ้าหากไอ้หมอนั่นคิดไม่ซื่อล่ะ” นักพรตเฒ่าร้อนใจอยู่บ้าง

“คนนั้นน่าจะตัดพันธนาการของนาฬิกากับผู้หญิงคนนั้น เท่ากับเปิดกรงที่ขังผีผู้หญิงไว้ ซึ่งก็คือการปล่อยผีร้ายออกจากกรง ถ้าหากไม่ใช่เพราะยามคนนั้นขวางผมไว้ ผมคงจะห้ามเรื่องนี้ได้ เฮ้อ”

“อย่าสิ…” นักพรตเฒ่าพูดแค่ครึ่งเดียว ก็หัวเราะอย่างเขินอาย “เถ้าแก่ ถ้าอย่างนั้น ข้าจะเข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า”

เถ้าแก่จะไปจับผีทำผลงาน นักพรตเฒ่าได้แต่เลือกเดินตามเท่านั้น

“ไม่ไปแล้ว ยามดุมากเกินไปและก็แข็งแรงมาก พวกเราสองคน คนหนึ่งแก่ อีกคนพิการ สู้ไม่ไหว”

“ข้าสู้ไหว…” นักพรตเฒ่าเดิมทีคิดอยากเสนอตัวช่วย เพราะยามรักษาความปลอดภัยคนนั้น ถึงแม้หน้าตาจะดุดัน แต่นักพรตเฒ่าเชื่อว่าสามารถรับมือได้ และไอ้หมอนั่นก็ไม่รู้ว่าถูกผีด้านในทำให้กลายสภาพเป็นแบบไหนแล้ว

ทว่าในหัวของนักพรตเฒ่าพลันมีภาพหนึ่งแวบเข้ามา เถ้าแก่เพิ่งจะพูดว่ามีคนตัดพันธนาการของนาฬิกากับผีผู้หญิง เพื่อให้ผีร้ายออกมาจากกรง นักพรตเฒ่าจึงนึกถึงตอนที่ตัวเองประมือกับยามรักษาความปลอดภัยคนนั้น เถ้าแก่ที่ยืนอยู่ตรงหน้านาฬิกาด้านหลังตัวเอง ดูเหมือนจะใช้เล็บของเขาดีดนาฬิกาเรือนนั้น

ใช่แล้ว ตัวเองจำไม่ผิด!

“เถ้าแก่ ข้าสู้เขาไม่ไหว แก่แล้ว ไม่มีประโยชน์”

นักพรตเฒ่าทำเป็นทรุดตัวลงไป แล้วกะพริบตาให้โจวเจ๋อ

โจวเจ๋อไม่ปริปากพูด วางมือไว้ที่ริมฝีปาก แล้วเป่าเล็บของตัวเองเบาๆ…

…………………………………………………………………………