บทที่ 298
บทที่ 298

กองทัพเทียนหยวนเข้าโจมตีเมืองสีไป่อยู่นาน 3 วันก็ยังไม่มีความคืบหน้าใด ทั้งยังสูญเสียมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับทางกองทัพเปิงที่เสียไปไม่น้อยเช่นกัน เพราะกองทัพเทียนหยวนโจมตีเข้าตอนเช้าและส่งทหารไปป่วนตอนกลางคืน ทำให้ฝ่ายป้องกันเหนื่อยล้าและสู้รบแทบไม่ไหวแล้ว

ในเวลานี้ยูจุนเดินเข้ามาหาเกิงฉวนด้วยความคิดที่จะออกไปยอมแพ้ต่อศัตรู เพราะหากฝืนสู้ต่อก็มีแต่จะทำให้ทหารทั้งเมืองรวมไปถึงประชาชนต้องล้มตาย

ทว่าเกิงฉวนที่ได้ยินแบบนี้ก็พลันปะทุความโกรธออกมา จนสั่งให้นำตัวยูจุนไปโบย 30 ครั้งพร้อมทั้งลดตำแหน่งคนผู้นี้ลงไปยังขั้นต่ำสุด และถ้าหากอีกฝ่ายยังพูดเช่นนี้อยู่อีก งั้นแล้วก็เตรียมถูกตัดหัวได้เลย !

ชูเยว่ดีใจมากเมื่อทราบเรื่อง ก่อนที่เขาจะรีบเข้าไปแนะนำผู้เป็นนายให้เพิ่มกำลังพลต่อไปเพื่อต้านทานศัตรู ด้วยการเอาชาวเมืองมาเป็นกำลังช่วยป้องกันเมือง

เกิงฉวนรับคำแล้วออกคำสั่งให้ทหารองครักษ์จับตัวชาวบ้านอายุ 13 ขึ้นไปให้มาเป็นทหาร จนทำให้พวกชาวเมืองไม่กล้าออกมาเดินตามท้องถนนอีกต่อไป เพื่อหลบเลี่ยงสายตาพวกทางการ

ถ้าหากฟ้าจะถล่ม ต่อให้ทำเช่นไรก็คงห้ามไม่ได้ …คำนี้เหมาะสำหรับเมืองสีไป่ในตอนนี้มาก ด้วยต่อให้พวกเขาเสริมความแข็งแกร่งให้กับกำแพงเมืองมากแค่ไหน แต่ในอนาคตเขาก็ไม่รอดแน่

บนกำแพงเมือง มีแต่เหล่าทหารหน้าใหม่ในชุดเกราะขาด ๆ สีแดงและไม่มีอาวุธประจำตัวยืนอยู่

เย็นวันนั้นถังหยินและคนอื่นขึ้นไปบนหอคอยแล้วมองกำแพงสีไป่ ก่อนที่ชิวเจิ้นจะขมวดคิ้วแล้วถามออกมา “ดูเหมือนว่าเกิงฉวนจะเกณฑ์ชาวเมืองมาเป็นทหารอีกแล้ว”

ถังหยินรู้อยู่แล้ว แต่ทว่าข้อมูลนี้ไม่สำคัญแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่เขาต้องการก็คือทางออกของสถานการณ์นี้มากกว่า !

ซงหยวนลูบคางกลอกตาไปมา “การพาชาวเมืองมาร่วมทำศึกด้วยแบบนี้มันเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือพวกเขาจะมีคนไปตายแทนมากขึ้น แต่ข้อเสียคือพวกชาวเมืองสู้ใครไม่ได้เลย”

จางจี้เสนอความเห็นบ้าง “ตอนนี้เกิงฉวนเหมือนสุนัขจนตรอก เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาเมืองเอาไว้”

ซงหยวนพยักหน้า “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เดาได้เลยว่าพวกชาวเมืองต้องไม่เต็มใจที่จะทำศึก และเกิงฉวนก็ไม่สามารถเอาชนะใจคนไม่ได้”

เกิงฉวนปกครองหลีฮู่ด้วยความโหดร้ายไม่ต่างจากซ่งเทียน ใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยจะต้องถูกประหารทันที และด้วยพฤติกรรมของเจ้าเมืองแบบนี้ มันก็ทำให้ทุกคนต้องขยาด

จางจี้มองซงหยวนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

ซงหยวนกล่าวต่อ “มี 2 จุดใหญ่ ๆ ที่กองทัพเราจะใช้งานได้ หนึ่งคือส่งคนเข้าไปปลุกปั่นให้ชาวเมืองก่อกบฏ สองคือกล่อมให้ชาวเมืองเปิดประตูต้อนรับทัพของเราเข้าไป”

จางจี้ถอนหายใจ การพูดมันง่ายกว่ากระทำอยู่แล้ว ตอนนี้ศัตรูไม่ประมาทเลย และต่อให้ใช้หน่วยลับก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้อีก “จากสถานการณ์ตอนนี้ ถ้าเราอยากจะเข้าเมือง คงต้องสวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้าแล้วล่ะ”

เมื่อทุกคนเงียบไป ถังหยินที่ยืนครุ่นคิดอยู่นานก็พูดออกมา “ถ้าข้าเข้าไปก็คงมีโอกาสสินะ ?”

กุนซือทุกคนหันมามองพร้อมกันทันที “ซงหยวนพูดถูก พวกชาวบ้านไม่ได้สมัครใจจะปกป้องเมืองสีไป่และต้องถูกบังคับให้ทำแน่นอน ถ้าหากเรายังโจมตีต่อไป มันก็จะยิ่งทำให้กองทัพของเราสูญเสียไปเปล่า ๆ”

“นายท่าน อย่าบอกนะว่า… ?” ชิวเจิ้นเข้าใจนิสัยของเจ้านายตัวเองดี ด้วยเขารู้ว่าถังหยินจะต้องลงมือเองอีกแน่

“ใช่แล้ว ถ้าหากข้าเข้าไป ยังไงโอกาสสำเร็จก็ย่อมมีมากกว่า” ถังหยินพยักหน้าให้

“แล้วท่านจะเข้าไปทำอะไรข้างในนั้น ?”

“เรื่องนี้แหละที่เราต้องปรึกษากัน”

พวกเขาเดินกลับไปยังกระโจมหลักแล้วเรียกแม่ทัพทุกคนเข้ามา ก่อนที่ถังหยินจะพูดออกมา “ข้าจะเข้าไปในเมืองด้วยตัวเอง”

พวกแม่ทัพตะลึงที่ได้ยินแบบนั้น พวกเขามองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ ก่อนเป็นมูฉิงที่เอ่ยถาม “นายท่านหมายถึง ?”

ถังหยินอธิบายเรื่องราวทั้งหมดออกไป แล้วจึงเสริมว่า “เมื่อข้าเข้าไปแล้ว ข้าก็จะปลอมตัวเป็นชาวเมืองในนั้น เพื่อปลุกปั่นให้พวกเขาก่อกบฏแล้วเปิดประตูให้พวกเราเข้าไปในเมือง”

“หา ?” ทุกคนตะลึงอีกครั้ง ก่อนเป็นมูฉิงที่รีบถามออกมา “ท่านจะพาคนไปด้วยเท่าไหร่ ?”

“ข้าคนเดียวก็พอแล้ว”

“มันอันตรายเกินไป นายท่านคิดใหม่เถอะ !” อย่าว่าแต่มูฉิงเลย ชิวเจิ้นเองก็คัดค้านเช่นกัน

“หากข้าไปคนเดียว โอกาสจะถูกจับได้ย่อมมีน้อยกว่ามาก !” ถังหยินหัวเราะออกมา

ชิวเจิ้นถอนหายใจ “ต่อให้ท่านจะเข้าไปก็ห้ามไปตัวคนเดียว อย่างน้อยก็ให้เจียงโมเข้าไปด้วยเถิด” เขามองไปทางเจียงโม

เจ้าตัวรีบตอบทันควัน “ถูกต้องนายท่าน พวกแม่ทัพเปิงนั้นสามารถใช้เนตรทิพย์ตรวจจับท่านได้นะ ดังนั้นได้โปรดพิจารณาใหม่เถอะ”

ถังหยินส่ายหัว “มันก็แค่แม่ทัพธรรมดา ถ้าหากมีหลีเทียนคอยช่วยเหลือ ข้าก็ไม่กลัวอะไรแล้ว”

หลีเทียนหน้าถอดสีเมื่อโดนเรียกชื่อ “นายท่านจะให้ข้าทำอะไรหรือ ?”

“ยิงพวกทหารด้านบนกำแพงให้ร่วงลงมา !”

หลีเทียนกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะพยักหน้าให้ เขามั่นใจฝีมือธนูของตัวเองมาก ชนิดที่ว่าหากศัตรูไม่รู้ถึงการมาของตน เขาก็เชื่อเต็มร้อยว่าตัวเองจะสามารถเด็ดหัวศัตรูได้หลายคนพร้อมกัน

ถังหยินหัวเราะออกมา “เจ้าจัดการแค่พวกแม่ทัพก็พอ เพียงแค่นี้ก็ซื้อเวลาให้ข้าลอบเข้าไปในเมืองได้เยอะแล้ว”

หลีเทียนก้มหัวให้ไม่ได้พูดอะไร

เจียงโมพูดต่อ “ข้าจะตามนายท่านไปด้วย”

ถังหยินโบกมือ “การต่อสู้เมื่อครั้งที่แล้วทำให้พวกมันระวังตัวแจมากกว่าเดิม และถ้ามีเจ้าไปด้วย ข้าก็เกรงว่าจะถูกจับใดตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไป ดังนั้นเจียงโม เจ้าจงอยู่ที่นี่เสียเถอะ”

เมื่อเห็นผู้เป็นนายตัวเองยืนยันเช่นนี้ ทุกคนก็ยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะห้ามปราม ทว่าพวกเขาก็ต้องหยุดลง เมื่อถังหยินเลิกคิ้วขึ้นแล้วพูด “ข้าตัดสินใจแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีก ตอนที่ข้าไม่อยู่ข้าให้ชิวเจิ้นเป็นคนดูแลแทน ข้าจะเข้าไปในคืนนี้แล้วให้ อู่กวง หยวนอู่ หยวนเปียว นำกำลัง 3 พันนายเข้าโจมตีทั้งสามทิศของเมืองเช่นเดิม”

ถังหยินเป็นคนที่รวดเร็วในการตัดสินใจเสมอ เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และพวกแม่ทัพทุกคนก็ได้แต่มองหน้ากันแล้วก้มหัวยอมรับชายหนุ่มอย่างจำใจ “ขอรับนายท่าน”

พวกเขาแยกย้ายกลับ ก่อนจะไปจัดการตามแผนของถังหยินเพื่อเริ่มการก่อกวนในทันที

ค่ำนั้น พวกทหารสีไป่เริ่มคุ้นชินกับการกระทำนี้แล้ว แต่ทว่าในครั้งนี้มันแตกต่างออกไป ด้วยพวกเทียนหยวนทำการเข้าโจมตีตอนกลางคืนอย่างดุดัน ทำให้พวกเปิงต้องนำชาวเมืองออกมาต้านกองทัพศัตรูเอาไว้บนกำแพงของตน

ระหว่างที่กำลังต่อสู้กัน ถังหยิน หลีเทียน และเจียงโมที่ค่ายทางใต้ก็ได้เดินเข้าไปยังจุดที่กำหนดเอาไว้ ก่อนที่เขาจะบอกให้หน่วยลับกระจายกำลังเอาไว้รอบ ๆ เพื่อคอยรอข่าวจากตัวถังหยินที่อยู่ในเมือง