บทที่ 299
บทที่ 299

อู่กวงและพี่น้องฉางกวงรุมโจมตีเมืองสีไป่ทั้งวัน ทำให้เกิงฉวนต้องนำชาวเมืองที่เป็นทหารเกณฑ์ขึ้นประจำการบนกำแพง ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่ถังหยินคาดเอาไว้

และเมื่อเขาไปถึงค่ายทางใต้ ชายหนุ่มก็จัดแจงเปลี่ยนชุดเป็นคนธรรมดาแล้วคลุมเอาไว้ด้วยเกราะปราณ

เมื่ออยู่ไม่ห่างจากกำแพงเมือง ถังหยินกับหลีเทียนก็หยุดลงแล้วมองขึ้นไปบนนั้น

หลีเทียนมีสายตาที่ดีมาก เขาสามารถมองเห็นทหารศัตรูที่อยู่บนกำแพงได้ดีกว่าใคร แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถระบุได้ว่าทหารคนไหนเป็นแม่ทัพ ในตอนนี้จึงต้องพึ่งพาถังหยินที่มีดวงตามองเห็นตอนกลางคืนที่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นใคร

หลังจากมองอยู่นานสองนาน เขาก็หันไปกระซิบบอก “หลีเทียน เจ้าเห็นธงนั่นไหม ?”

“ธงไหน ?” มีธงเปิงมากมายบนกำแพง ดังนั้นหลีเทียนจึงไม่รู้ว่าอันไหนคือที่ถังหยินระบุ

“ทางขวามือของเรา ที่ใหญ่และหนาที่สุด”

หลีเทียนมองไปตามที่ระบุไว้แล้วพยักหน้าให้ “ข้าเห็นแล้ว”

“มีคนที่ใส่หมวกแม่ทัพอยู่ น่าจะใช่เป้าหมายของเรา”

หลีเทียนมองอยู่นานจนกระทั่งเห็นตามที่บอก แต่ทว่าเขาก็ยังไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายใช้เป้าหมายหรือไม่ “ข้าเห็นแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่”

“ไม่เป็นไร ในระยะนี้เจ้าฆ่ามันได้ไหม ?”

“ไม่มีปัญหานายท่าน แต่ว่ามันไกลเกินไปหน่อย ข้าว่านายท่านน่าจะเข้าไปในเมืองไม่ทันแน่”

ถังหยินยิ้มให้ “ไม่ต้องกังวลไป ข้ามีหนทางของข้า”

หลีเทียนพยักหน้าให้ ก่อนดึงคันธนูออกมาแล้วง้างมันพร้อมกับศร 3 ดอกในมือ ส่วนสายตาของเขาก็เล็งมองไปยังเป้าหมายตามที่ถังหยินระบุเอาไว้

ชายหนุ่มสูดลมหายใจแล้วตะโกนออกไป “ยิงได้ !”

พูดจบหลีเทียนก็พลันปล่อยมือส่งลูกธนูออกไปสังหารแม่ทัพนั่น พร้อมกันนั้นถังหยินก็ได้ใช้วิชาสับเปลี่ยนเงาที่รวดเร็วยิ่งกว่าลูกธนูเข้าไปใกล้กำแพงในชั่วพริบตา

เมื่อเขาเข้าใกล้กำแพงได้ แม่ทัพเปิงที่ใช้เนตรทิพย์ก็มองเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้น แต่ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะทันได้พูดออกมา ลูกศรทั้งสามดอกนั่นก็ได้พุ่งเข้ามาเสียก่อน !

แม่ทัพเปิงที่อยู่บนกำแพงยังไม่ทันได้ใส่เกราะปราณ ดังนั้นเขาจึงโดนลูกธนูยิงเข้าที่กลางหน้าผาก ลำคอ และหน้าอกจนตายไปเสียก่อน

แม่ทัพเปิงอ้าปากกว้าง แล้วร่างก็ค่อย ๆ ล้มลงไป และเมื่อเขาล้มลงไปแล้ว ถังหยินก็ปีนขึ้นไปบนกำแพงได้สำเร็จพอดี

การเคลื่อนไหวนี้รวดเร็วมากจนคนธรรมดามองไม่ทัน

พวกทหารเปิงที่อยู่รอบ ๆ เห็นเพียงว่าแม่ทัพของตนตายลงไป เลยรีบลั่นระฆังเตือนภัยไปทั่วเมือง ก่อนพวกพลธนูจะรีบวิ่งออกมาประจำการที่กำแพงเมือง

หลีเทียนอยู่ไกลจากระยะธนูของอีกฝ่าย และเมื่อเห็นว่าเจ้านายของตนเข้าเมืองได้สำเร็จแล้ว ก็ต้องถอนหายใจพร้อม ๆ กับหลบหนีออกจากพื้นที่ไป

ส่วนถังหยินที่เข้ามาในเมืองได้สำเร็จ เขาก็ยังคงไม่ประมาท รีบใช้วิชาสับเปลี่ยนเงาเคลื่อนไหวไปตลอดทางจนไปหลบอยู่ที่ด้านหลังกระโจมที่พักของพวกทหารเพื่อพักหายใจ

การใช้วิชานี้ติดต่อกันนาน ๆ มันดูดกินพลังของเขามากทีเดียว ขนาดถังหยินที่เก่งกาจแบบนี้ยังเหนื่อย งั้นแล้วก็ไม่ต้องพูดถึงเจียงโมกับพวกหน่วยลับของเขาเลย

เหงื่อเริ่มออกใต้เสื้อเกราะของชายหนุ่มจนเปียกโชก เขาซ่อนตัวอยู่ในเงามืดแล้วดักฟังเสียงจากด้านนอก ก่อนที่จะได้ยินเสียงม้าวิ่งกันขวักไขว่ เพราะพวกเปิงกำลังปั่นป่วนเนื่องจากแม่ทัพของเขาตายไปแล้ว ทำให้การป้องกันทางใต้แน่นหนาขึ้นไปอีก

ทั้งหมดต้องขอบคุณความรวดเร็วของถังหยิน ไม่งั้นเขาคงจะเข้าเมืองไม่ได้แน่

พวกทหารเปิงทางใต้ตะโกนดังก้อง ก่อนจะพากันเข้ามาเสริมกำลังตลอดเวลา ทว่าเมื่อไม่พบเห็นความผิดปกติอะไร พวกเขาก็เริ่มสงบใจลงบ้าง แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังไม่วางใจ จึงเป็นแม่ทัพนายหนึ่งที่เข้ามาสำรวจพร้อมใช้วิชาเนตรทิพย์สองดูลาดเลาอีกครั้ง

ถังหยินลักลอบเข้าเมืองได้สำเร็จ โดยที่พวกทหารเปิงไม่รู้ว่าเลยมีคนอื่นที่ไม่ใช่พวกเขาเข้ามาอยู่ในเมืองแล้ว !!!

หลังจากพวกทหารยามลดการระวังตัวลง ถังหยินก็พลันยื่นหน้าออกมาดูรอบนอก ตำแหน่งของเขาคือค่ายที่อยู่ติดกำแพง มีกระโจมมากมายบริเวณนี้ น่าจะมีทหารประมาณ 2 หมื่นนายประจำการอยู่ และถ้ามองไกลออกไปอีกหน่อย ชายหนุ่มก็ได้พบเข้ากับบ้านหลายหลังที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก

ถังหยินที่กำลังสำรวจโดยรอบ อยู่ ๆ เขาก็ได้ยินเข้ากับพวกทหารที่กำลังพูดออกมาอย่างไม่พอใจ

“แม่งเอ้ย ! นี่มันกลางดึกนะเว้ย พวกเทียนหยวนยังไม่ให้เราพักผ่อนอีกงั้นหรือ ?!”

“ข้าว่าทางใต้นี่แหละสงบที่สุดแล้ว ถ้าหากไปอยู่กำแพงด้านอื่น ป่านนี้พวกเราคงตายกันไปนานแล้ว”

“ดูเหมือนพวกเทียนหยวนจะรีบกันมาก ถึงขนาดโจมตีตอนกลางคืนเลย !”

“นายท่านของพวกเราหลักแหลมจริง ๆ ที่เลือกเอาคนแข็งแกร่งมาช่วยป้องกันเมืองสีไป่ของเราได้ !”

“นั่นไม่เรียกฉลาดเจ้างั่ง ทางเดียวที่เราจะรอดก็คือยอมแพ้ตั้งแต่แรกแล้ว พวกเราพาชาวบ้านมาเสริมแล้วได้อะไรกัน ? พอถึงเวลาทำศึกจริงก็ตายกันเร็วกว่าพวกเราเสียอีก ถ้าหากท่านเจ้าเมืองไม่โง่ ป่านนี้พวกเราก็นอนสบายกันไปแล้ว”

“ชู่วว… อย่าพูดแบบนั้นสิ เจ้าอยากตายหรือไง ?”

“ก็รู้กันแค่นี้แหละ ! นอนกันได้แล้ว !”

ถังหยินเริ่มครุ่นคิดตามบทสนทนานี้ เพราะมาตอนนี้เขาก็ได้รู้แล้วว่าพวกทหารไม่ได้เข้าข้างเกิงฉวนสักเท่าไหร่

ชายหนุ่มย้ายที่ซ่อนมาอยู่ด้านหลังโรงนอนทหาร ก่อนจะหลับตาลงรอให้พวกทหารนอนกันก่อน

ไม่นานนักก็มีเสียงกรนดังออกมา

เมื่อถังหยินได้ยินเสียงกรนดังออกมาจากโรงนอน เขาก็พลันลืมตาขึ้นแล้วออกตัววิ่งเข้าไปข้างในนั้น !

ข้างในอาคารไม่มีแสงไฟ มีแต่กลิ่นเหม็นอับและความมืด ถังหยินมองไปรอบ ๆ ก็เห็นเพียงทหารสิบนายนอนหลับอยู่บนเสื่อ

ไฟของเขาลุกติดขึ้นที่มืออย่างฉับพลัน ก่อนที่มือนั่นจะยื่นไปจับหัวของพวกทหาร

พรึ่บ !

เพียงพริบตาไฟสีดำก็เผาพวกทหารหมดสิ้น จนพวกเขาไม่ทันแม้แต่จะได้ส่งเสียงออกมา

หลังจากดูดกินพลังงานแล้ว ถังหยินก็หลับตาแล้วมองเข้าไปในความทรงจำของพวกทหารเพื่อเก็บข้อมูล

เพียงพริบตาเขาก็ได้ข้อมูลมาว่ายูจุนไม่สามารถกล่อมเกิงฉวนให้ยอมแพ้ได้ ทำให้ถึงแม้ยูจุนจะไม่ใช่ฝ่ายตน แต่ถังหยินก็คิดอยากจะลองเสี่ยงดูสักครั้ง ว่าแล้วชายหนุ่มก็พลันพุ่งตัวออกจากโรงนอนเข้าไปในเมือง

…ในเมืองนั้นได้รับการคุ้มกันอย่างหนาแน่น มีทหารจำนวนมากเดินกันเต็มถนนไปหมด

และเมื่อถังหยินเข้ามาข้างในได้สำเร็จ เขาก็เห็นเข้ากับบ้านที่มีสวนอยู่ จึงไม่รอช้า รีบเข้าไปแล้วใช้กระท่อมไม้ที่อยู่ในบริเวณเดียวกันเป็นที่หลับนอน !