Ch.60 – ท้าทายจอมหักกระดูก

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.60 – ท้าทายจอมหักกระดูก

 

“เห? ไหนช่วยพูดอีกทีซิ อย่างแกน่ะหรอจะกินฉัน? ด้วยความสามารถแค่นี้เนี่ยนะ?”

 

ฉินเฟิงหวดไปอีกกำปั้น

 

เปรี้ยง!

 

ซัดเข้าไปอีกดอก!

 

เปรี้ยง! เปรี้ยง!!

 

ใบหน้าครึ่งซีกของไอ้มืดคลั่งถูกทุบตีจนบวมเป่ง

 

นอกเวที ผู้ชมชื่นชอบที่จะเห็นอะไรแบบนี้อยู่แล้ว ต่างพากันโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น

 

【ว้าว! เจ้าของหมายเลข 182 ให้รางวัลจิ้งจอกคลั่งเป็นเงิน 100,000 เหรียญ! มาดูสิ่งที่สุภาพสตรีท่านนี้ต้องการจะสื่อผ่านทางผมกัน … ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าของหมายเลข 182 ฝากบอกมาว่า ให้จิ้งจองคลั่งหยุดสู้เถอะ เดี๋ยวเธอจะรับหนุ่มหล่ออย่างเขาไปเลี้ยงดูเอง!】

 

พอได้รับรางวัล ความนิยมและเสียงเชียร์ฝั่งฉินเฟิงก็เริ่มดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ไอ้มืดคลั่งกลับเงียบกริบ

 

ใบหน้าของไอ้มืดคลั่งถูกทุบตีจนฟกช้ำ มันโคตรจะอับอาย แหกปากคำรามใส่ฉินเฟิง

 

“ไอ้หนู ตายซะเถอะ!”

 

ไอ้มืดคลั่งยกเท้าขึ้น กวาดเตะเข้าใส่ฉินเฟิง

 

ทว่านี่มิใช่การกวาดเตะธรรมดาๆ ปรากฏปลายดาบขนาดเล็กผุดออกมารองเท้าของเขา หากฉินเฟิงไม่หลบเลี่ยงการเตะนี้ ปลายดาบจะเฉือนทะลุหน้าอกและหน้าท้องของตน นั่นหมายถึงความตายอย่างแน่นอน

 

รองเท้าประลองของฉินเฟิงเองก็ได้รับมาจากคลับอินทรี แต่อีกฝ่ายไม่ได้ใส่ลูกเล่นกลไกเช่นนี้ไว้ให้ ในขณะที่รองเท้าของไอ้มืดคลั่งเป็นรูปแบบเดียวกัน แต่มีการดัดแปลงเพิ่มฟังก์ชั่นเข้าไปอย่างเห็นได้ชัด

 

ชัดเจนว่านี่คือการเล่นตุกติก!

 

อย่างไรก็ตาม ในเวทีมวยใต้ดินมันไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความละอายใดๆ จะโกงหรือไม่ การคว้าชัยชนะเท่านั้นที่จะสามารถทำให้มีชีวิตรอด ในขณะที่ฝั่งผู้พ่ายแพ้มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะถึงแก่ความตาย!

 

ฉินเฟิงหัวเราะหยัน เกร็งฝ่ามือราวกับกรงเล็บอินทรี ฉกเข้าใส่น่องที่หวดเข้ามาของไอ้มืดคลั่ง และบีบมันอย่างแรง

 

เป๊าะ!

 

ฉินเฟิงหุบมือ หักทำลายกระดูกน่องของไอ้มืดคลั่งโดยตรง!

 

ก่อนที่ไอ้มืดคลั่งจะมีเวลาได้กรีดร้อง ฉินเฟิงที่กำลังกุมน่องอีกฝ่ายอยู่ก็ดันทั้งขาของไอ้มืดยกสูงขึ้น เนื่องจากกระดูกได้หักลงไปแล้ว ทำให้มันสามารถโค้งงอได้อย่างไม่น่าเชื่อ ปลายดาบแหลมที่ซ่อนไว้ในรองเท้าม้วนตลบ มุ่งตรงเข้าใส่หน้าผากของไอ้มืดคลั่งโดยตรง

 

ปุ!

 

คมแหลมเจาะเข้าไปในกะโหลก ดวงตาของไอ้มืดคลั่งกลอกขึ้นบน พลังในการต่อสู้ดิ้นรนสลายไป

 

โครม!

 

ด้วยการจิ้มเพียงนิ้วเดียวเบาๆของฉินเฟิง ไอ้มืดคลั่งก็ร่วงลงกับพื้น

 

เลือดพุ่งทะลักออกมา ย้อมทั้งหน้าและดวงตาของไอ้มืดคลั่งจนเป็นสีแดงฉาน

 

ช่วงเวลานี้ ทั่วบริเวณดูจะไร้ซึ่งสรรพเสียงไปครู่หนึ่ง พวกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งหน้าจอขนาดใหญ่เปลี่ยนไป เป็นใบหน้าที่ตายไปแล้วของไอ้มืดคลั่ง พวกเขาจึงค่อยตอบสนอง

 

วินาทีต่อมา

 

เฮ!!!!!

 

-เสียงโห่ร้องราวกับฟ้าผ่าดังก้องไปทั่วบริเวณ

 

หากเป็นในการประลองอื่น รอบที่มีคนตายจะมีผู้ชมบางกลุ่มรู้สึกหวาดกลัว แต่ตอนนี้ ในการประลองเบื้องหน้า ทุกคนกลับรู้สึกได้เพียงความตื่นเต้นเท่านั้น!

 

กลิ่นอายแห่งความตายยิ่งทำให้พวกเขาส่งเสียงโห่ร้อง ขณะเดียวกัน ฉินเฟิงก็ยิ่งได้รับเงินรางวัลมากขึ้น

 

แก๊ง แก๊ง แก๊ง!

 

เสียงระฆังกังวาน ผู้ตัดสินประกาศชัยชนะของฉินเฟิง

 

เสียงของพิธีกรดังตามขึ้นมาติดๆ

 

【ขอแสดงความยินดีกับจิ้งจอกคลั่ง! ความแข็งแกร่งของเขาช่างน่าประทับใจ แต่เกรงว่าไอ้มืดคลั่งคงจะประมาทเกินไป เพราะในการต่อสู้ครั้งนี้ จิ้งจอกคลั่งเห็นได้ชัดว่าเก่งกาจในด้านความว่องไว เขาสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีอันดุดันของไอ้มืดคลั่ง และสวนกลับอย่างกระทันหัน จนสามารถคว้าชัยชนะเอาไว้ได้!】

 

คำพูดของพิธีกรหว่านล้อมให้เซลล์สมองของฝูงชนคิดไปอีกทางหนึ่ง ในความเป็นจริง ฉินเฟิงว่องไวมากนั่นก็ใช่ แต่พละกำลังเขาก็มิได้อ่อนแอเลย ไม่อย่างนั้นจะทำลายขาของไอ้มืดคลั่งได้ยังไง?

 

พิธีกรเสริมสั้นๆ จงใจกล่าวเน้นไปที่จุดอ่อน กลบจุดแข็งของฉินเฟิง เพื่อให้ผู้ชมตัดสินใจเดิมพันผิดพลาด ทางคลับอินทรีจะได้สามารถทำเงินได้มากกว่าเดิม

 

แล้วก็มีคนหลงกลจริงๆ หลายคนรู้สึกว่าพิธีกรพูดได้ถูกต้อง รูปร่างของฉินเฟิงเองก็ผอมเพรียว เลยมีความยืดหยุ่นปราดเปรียวเป็นธรรมดา ดังนั้นการที่เขาสามารถคว้าชัยชนะมาได้จึงไม่น่าแปลกใจ

 

“รู้อย่างงี้ฉันน่าจะพนันฝั่งจิ้งจอกคลั่ง”

 

“ไม่เอาน่า อย่าเพิ่งอารมณ์เสียไป พวกเรามาดูกันอีกที ว่าคราวนี้คู่ต่อสู้ของเขาจะแข็งแกร่งรึเปล่า!”

 

“ไม่หรอกมั้ง คู่ประลองรอบสองไม่น่าจะแข็งแกร่งเกินไป”

 

แล้วก็เป็นอย่างที่ผู้ชมคาดกันไว้ ข้อมูลการต่อสู้ของผู้ท้าประลองคนที่สอง ไม่ได้อ่อนแอหรือแข็งแกร่งไปกว่าไอ้มืดคลั่ง ฉินเฟิงสามารถโค่นอีกฝ่ายลงได้ แม้จะไม่สังหาร แต่กำลังภายในก็ถูกดูดซับมาโดยฉินเฟิง ซึ่งนั่นไม่แตกต่างจากการทำให้ศัตรูกลายเป็นคนพิการทั้งเป็น

 

ในรอบที่สาม และสี่ ฉินเฟิงก็สามารถเอาชนะมาได้ การต่อสู้ดำเนินไปไม่นาน แต่ละครั้งไม่เกินสิบนาที

 

ความนิยมของฉินเฟิงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เงินเดิมพันของเขาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้ อะไรๆมันก็ดูเหมือนว่าจะง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ

 

ฝูงชนต่างอดไม่ได้ที่จะมั่นใจในตัวเขา ดูเหมือนว่าฉินเฟิงจะสามารถชนะห้าครั้งรวดติดต่อกันได้แน่นอนแล้วในวันนี้

 

ณ พื้นที่หลังเวที ในส่วนของห้องทำงานที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ชายหนุ่มอายุราวๆ 27 – 28 ปีกำลังชิมไวน์เลิศรส และมีหญิงสาวที่แต่งกายเปิดเผยเนื้อหนังอยู่ในอ้อมแขน อีกฝ่ายกำลังป้อนองุ่นแบบปากต่อปากให้แก่เขาอย่างตั้งใจ

 

ชายหนุ่มคนนี้ คือผู้จัดการทั่วไปคนปัจจุบัน และยังเป็นผู้รับผิดชอบดูแลคลับอินทรี : เจียงเส้าหยาง

 

ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในเลเวล F7 ซึ่งสำหรับชุมชนทางตอนเหนือ อาจกล่าวได้ว่าเขาคือหนึ่งในตัวตนที่ทรงพลังที่สุดเช่นกัน

 

“เจ้าเด็กนี่ไม่เลวเลย ช่วยทำเงินให้มากทีเดียว เก็บมันไว้สักวันก็แล้วกัน พวกแกส่งคนแข็งแกร่งออกไปสักคนสิ ให้มันโค่นเจ้าเด็กนั่นลง แต่ย้ำว่าออมมือไว้อย่าให้ถึงตาย”

 

พิธีกรและผู้ตัดสินได้ยินคำพูดของเจียงเส้าหยางผ่านทางหูฟัง ก็ย่อมเห็นด้วยเป็นธรรมดา

 

อันที่จริง นี่ก็เป็นเรื่องที่สมควรทำเหมือนกัน เพราะการชนะติดต่อกันห้าครั้งรวด จะทำให้ผู้คนเสียความตื่นเต้นไป

 

ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกที่ราวกับว่า ‘เกือบ’จะสามารถปีนป่ายขึ้นมาจากจุดต่ำสุดได้ ก็เป็นสิ่งที่ผู้คนชอบที่จะรับชม

 

อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่จัดสรรนักสู้แข็งแกร่งลงไปประลอง นั่นก็เพราะพวกเขาไม่ต้องการสูญเสียเงินรางวัลจำนวนมากให้แก่ฉินเฟิง

 

อีกอย่าง นักสู้ที่ทรงพลังจะทำให้ผู้คนจำนวนมากอยากเดิมพันกับผู้ท้าชิง ในขณะที่บางคนก็ชื่นชอบที่จะเสี่ยงฝ่าดงระเบิด เลือกเดิมพันฝ่ายผู้รักษาสถิติชนะต่อเนื่อง

 

ซึ่งเสือทรราชก่อนหน้านี้เป็นตัวอย่างที่ดี

 

แต่ในจังหวะนั้นเอง ฉินเฟิงกลับยกมือขึ้น ส่งสัญญาณไปทางผู้ตัดสินว่าเขามีอะไรบางอย่างจะพูด

 

“ว่าไง คุณต้องการอะไร?” ผู้ตัดสินมีหน้าที่รับผิดชอบในการสื่อสารกับนักสู้อยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถาม

 

“ฉันต้องการท้าประลอง! ขอเลือกท้าทายจอมหักกระดูกที่เพิ่งขึ้นมาบนเวทีก่อนหน้านี้!” ฉินเฟิงกล่าว

 

ผู้ตัดสินชะงักไป แต่ก็พยักหน้าในเวลาต่อมา “ฉันเข้าใจแล้ว แต่ว่าเรื่องนี้จะอนุมัติหรือไม่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของเบื้องบน”

 

“ตกลง!”

 

ฉินเฟิงรับคำ เขาเดินกลับไปนั่งลงพักผ่อน แต่ที่จริงมันก็ไม่มีอะไรที่ต้องพัก

 

ชนะมาได้ 4 คน นักสู้ทั้งสี่ยังเป็นแค่เลเวลไม่เกิน G4 ขณะที่จอมหักกระดูก มีเลเวลอยู่เกือบ G6!

 

ฝ่ายตรงข้ามมีกำลังภายในที่ดี ดังนั้นเขาเลยตัดสินใจเลือกที่จะเป็นเป้าหมายในการดูดกลืน!

 

 

ในพื้นที่หลังเวที เจียงเส้าหยางที่แต่เดิมกำลังยิ้มกริ่ม สีหน้ากลายเป็นเย็นชาลง

 

เพราะเขาไม่ชอบอะไรที่มันอยู่นอกเหนือการควบคุม เขาไม่ชอบให้คนที่ต่ำกว่ามาตัดสินใจเองโดยพลการ!

 

เห็นได้ชัดว่าคำขอของฉินเฟิง ไปกระตุกเส้นประสาทของเจียงเส้าหยาง กระตุ้นคนที่เหนือยิ่งกว่า!

 

“ในเมื่อมันไม่อยากจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว ก็จัดให้ตามที่มันต้องการ แต่อย่าลืมเพิ่มอัตราต่อรองของมัน เพื่อสร้างแรงดลใจให้ผู้ชมเดิมพัน!”

 

….

 

ห้านาทีต่อมา เสียงของพิธีกรก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

【ว้าวววว! ผมเพิ่งได้รับข้อความมา ว่าจิ้งจอกคลั่งได้ร้องขอให้นักสู้คนสุดท้ายที่ท้าทายเขาเป็นจอมหักกระดูก นี่มันเป็นข่าวที่คาดไม่ถึงจริงๆ ผมไม่รู้หรอกนะว่าอะไรทำให้จิ้งจอกคลั่งมั่นใจที่จะเลือกสู้กับดารานักฆ่าคนนี้ หรือว่าเขาไม่ทันได้เห็นกันว่านักสู้เสือทรราชในการประลองก่อนหน้า ก็เพิ่งถูกหักกระดูกทั้งตัวไปโดยจอมหักกระดูก?】

 

ผู้ชมรอบเวทีประลองระเบิดเสียงหัวเราะออกมา หลายคนเย้ยหยันและเริ่มสาปแช่งฉินเฟิง

 

“มันคลั่งสมชื่อจริงๆ ดันเลือกที่จะท้าทายจอมหักกระดูก!”

 

“ให้ตายเถอะ ไม่ต้องสงสัยเลย ฉันโคตรมั่นใจ แบบนี้จอมหักกระดูกต้องชนะอย่างแน่นอน!”

 

“ไอ้นี่คงสมองพิการไปแล้ว”

 

“คอยดูเถอะ ฉันอยากจะเห็นสภาพเจ้าเด็กนี่ถูกหักกระดูก และม้วนทั้งตัวเป็นลูกบอลกลมๆ”

 

ฝูงชนส่งเสียงโห่ร้อง แต่ไม่มีใครเลยที่จะมองฉินเฟิงในแง่ดี

 

【เอาเถอะ นี่อาจเป็นเพราะจิ้งจอกคลั่งต้องการจะล้างแค้นให้กับเสือทรราชก็ได้? มันใช่การต่อสู้เพื่อแก้แค้นหรือไม่? เรามาดูอัตราเดิมพันระหว่างนักสู้ทั้งสองกันเถอะ!】

 

บนหน้าจอขนาดใหญ่ อัตราต่อรองระหว่างทั้งสองปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

อัตราต่อรองของฉินเฟิงนั้นสูงมาก มันคือ 1 : 8

 

ในขณะที่อีกฝ่าย กลับเป็นแค่ 5 : 6 เท่านั้น

 

คล้ายกับบ่งบอกชัดเจนถึงผลลัพธ์ของการต่อสู้

 

อย่างไรก็ตาม พิธีกรก็พยายามคุยโม้เรื่องของฉินเฟิง โดยคาดหวังว่าอาจจะมีผู้ชมจำนวนหนึ่งเลือกจะกระโจนลงมาเหยียบกับระเบิด

 

สำหรับพวกที่เลือกเดิมพันฝั่งข้างจอมหักกระดูก พวกเขาไม่มีทางได้กำไรกลับไปมากนัก นี่คือการกระตุ้นทางจิตวิทยา บีบบังคับทางอ้อมให้นักเดิมพันไม่เลือกหนทางนี้