บทที่ 289 ไฟ (5)

ครืน…!

ประกายสีดำสายหนึ่งวาดผ่านท้องฟ้า

ซั่งหยางจินฉื่อกระโดดลงมาอย่างทุลักทุเล ทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา

เขาเลือดอาบทั้งตัว หนามแหลมคมกริบหลายแท่งเสียบอยู่บนหลัง ทั้งหมดเป็นเหมือนกับข้อปล้องของหนอน นี่เป็นอาการบาดเจ็บที่เขาได้รับมาจากการสู้ตายกับร่างแยกวิญญาณมารสองตน

ข้างล่างเป็นจิตรกรตระกูลซั่งหยางกลุ่มเล็กๆ ที่กำลังรวมกลุ่มกันต้านทานการกลุ้มรุมของทัพมาร

จิตรกรแต่ละคนกำลังเข่นฆ่ากับมารที่สภาพพิลึกเหมือนกับโคลนโดยมีเยื่อดำที่เหมือนกับกระดองเต่าอยู่บนตัว

สัตว์ประหลาดโคลนตัวหนึ่งสูงเจ็ดแปดหมี่ ตอนโบกมือโบกเท้าเหมือนกับฟาดเสาหินต้นไม้ยักษ์ไปเปะปะ เยื่อดำที่อ่อนแอหน่อยเกิดรอยแตกในพริบตา เมื่อเยื่อดำพังทลาย ยอดฝีมือระดับพันธนาการก็ถูกทำร้ายล้มกองกับพื้นตลอดเวลา

พิษของเยื่อดำกระจายออกมาตามเศษชิ้นส่วน พอเศษชิ้นส่วนเสียบเข้าไปในตัวมาร ก็มีควันพิษหลายสายผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งสร้างความเสียหายไม่น้อยให้แก่มาร สองฝ่ายต่างก็ได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่อาจทำอะไรมากกว่านี้

ซั่งหยางจินฉื่อทิ้งตัวลงมาบนพื้นอย่างแผ่วพลิ้ว จากนั้นก็มีสัตว์ประหลาดโคลนที่ตัวขนาดเล็กตัวหนึ่งไล่ล่าตามมาด้านหลัง เห็นดวงตาข้างเดียวขนาดยักษ์ที่ดุดันชั่วร้ายข้างหนึ่งอยู่ในโคลนนั้น

ซู่…แสงสีแดงรวมตัวกันในดวงตา กำลังจะยิงออกมา

ตูม! แสงสีทองกะพริบ ดวงตาพลันระเบิด โคลนแข็งตัวอย่างรวดเร็ว หยุดนิ่งอยู่กับที่เหมือนกับรูปแกะสลักน้ำแข็ง

ซั่งหยางจินฉื่อมองคนจากตระกูลซั่งหยางที่อยู่ไกลออกไป โบกมือครั้งหนึ่ง แสงสีทองหลายสายพุ่งออกไป แล้วทำให้สัตว์ประหลาดโคลนที่อยู่รอบๆ แข็งตัวทันที

ทุกคนพากันโล่งอก โห่ร้องอย่างยินดี

“ท่านคือ!?” อัจฉริยะตระกูลซั่งหยางคนหนึ่งรีบเข้ามากล่าวอย่างนอบน้อม

ปกติแล้วซั่งหยางจินฉื่อจะกักตน ศิษย์ทั่วไปไม่รู้จักเขาก็ถือว่าปกติ เขาหยิบป้ายคำสั่งลวดลายสีเขียวสลับแดงแผ่นหนึ่งออกมาโบกด้านหน้าอีกฝ่าย

“ที่แท้ก็เป็นท่านทูตระดับสูง!” อัจฉริยะผู้นั้นสีหน้าเปลี่ยนแปลง รีบก้มหน้ากล่าวอย่างเคารพ

“ซั่งหยางเฟยเล่า ข้าจำได้ว่านางอยู่แถวนี้ น่าจะมาถึงก่อนข้าจึงจะถูก” ซั่งหยางจินฉื่อถามเสียงทุ้ม

อา…

อัจฉริยะหลายคนที่เข้าใกล้พอได้ยินคำพูดนี้ของเขาก็เข้าใจในทันทีว่า ท่านนี้จะต้องเป็นระดับสูงของตระกูล

“ใต้เท้าเฟย…ตอนนี้ไม่มีข่าวคราว ก่อนหน้านี้ทิ้งคำพูดไว้ว่าจะไปฆ่าทัพมารกองหนึ่ง จนถึงตอนนี้ยังไม่กลับมาเลยขอรับ…” คนของตระกูลซั่งหยางคนหนึ่งตอบเสียงขรึม

“ซั่งหยางเฟยหายตัวไปหรือ” ซั่งหยางจินฉื่อตื่นตระหนก ซั่งหยางเฟย อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตระกูลซั่งหยาง ผู้เข้มแข็งระดับสุดยอดที่ในอนาคตมีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะรับตำแหน่งประมุขตระกูลหรือตำแหน่งผู้ถืออาวุธถึงกับ…

เขากวาดตามองรอบๆ ที่นี่คือชานเมืองที่อยู่ห่างจากเมืองพันนาวาหลายสิบลี้ แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ ก็เห็นควันดำลอยกระจัดกระจาย เหมือนเป็นควันหมาป่า

“ซั่งหยางเฟยหายตัวไปหรือนี่…” ซั่งหยางจินฉื่อรู้จักนาง แม้คนรุ่นหลังผู้นี้จะเป็นแค่คนหนุ่มสาวที่โดดเด่น แต่ว่าทักษะ ความสามารถ และพลังล้วนล้ำเลิศน่าตกตะลึง สามารถวางหมากงัดข้อกับผู้เข้มแข็งในรุ่นอาวุโสได้

บุคคลร้ายกาจแบบนี้จะตายง่ายๆ แบบนี้หรือ เขาไม่เชื่อ!

“คนในตระกูลที่เหลือเล่า” ซั่งหยางจิ่นฉื่อถามอย่างจริงจัง

“เรียนใต้เท้า คนในตระกูลที่เหลือ…หลังจากกลุ่มจิตรกรถูกตีแตก ใต้เท้าตุลาการตกสู่วงล้อม ก็ถูกจับตัวไปเกือบหมด…มีแต่อาณาเขตใจกลางที่ยังเหลือคนในตระกูลกับคนจากสำนักไม่กี่คนรวมตัวกัน…”

“ช่างเถอะ รวบรวมคนทุกคน พวกเรากลับก่อน!” ซั่งหยางจินฉื่อตัดสินใจทันที มองจากมุมมองที่เขายืนอยู่ เมืองพันนาวามีควันลอยคลุ้ง ควันทั้งหมดวนเวียนรวมตัวกัน กลายเป็นมารควันร่างมนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วน บินล้อมเมืองพลางส่งเสียงคำราม

ขนาดเขาลงมือสนับสนุนโดยร่วมมือกับผู้ถืออาวุธมือรองจากตระกูลหวงและตระกูลเหลย ยังถูกขัดขวางกลางทาง แม้จะฝืนฆ่าร่างแยกวิญญาณมารทิ้งได้ แต่ว่าเขากับอีกสองคนก็ได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่เหลือแรงต่อสู้อีก การสนับสนุนในครั้งนี้จะต้องล้มเหลวอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งอย่าว่าแต่มุ่งหน้าไปช่วยเหลือพวกตุลาการด้านในเมืองพันนาวา

ไกลออกไป เขาเห็นเงามารควันพิษนับไม่ถ้วนกำลังหมุนวนรอบหอคอยสีดำ

หอคอยนั้นก่อตัวขึ้นด้วยความเร็วที่เชื่องช้าสุดขีด บนยอดหอคอยเป็นดวงตาสีเลือดทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนที่ใหญ่โตมโหฬาร

“หอคอยแสงมาร…เร็วขนาดนี้เชียว!?” สีหน้าของซั่งหยางจินฉื่อย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ

“ถอย!” เขาโบกมือกล่าวเสียงเย็น รับอำนาจบัญชาการมา

ซั่งหยางจิ่วหลี่ใช้ดาบผ่ามารตรงหน้าออกเป็นสองส่วน เยื่อดำสีเข้มบนตัว มีเงาของงูหลายตัวเลื้อยอยู่ นั่นเป็นสัญลักษณ์ภายนอกที่แสดงถึงระดับอสรพิษ

อัจฉริยะในตระกูลกำลังเข่นฆ่ามารที่มีร่างเป็นมนุษย์หัวเป็นกระทิงกลุ่มใหญ่อยู่ด้านหลังนาง แตกต่างจากสภาพอนาถในสถานที่อื่น

หัวกะทิของตระกูลซั่งหยางที่อยู่ที่นี่มีพลังน่ากลัว แค่ปะทะกันไม่กี่ครั้ง ก็เข่นฆ่าทัพมารหลายร้อยตัวที่เพิ่งเจอไปได้หมด

หลังมารตนสุดท้ายล้มลงกับพื้น เขตถนนก็วังเวงเป็นเวลาสั้นๆ ทัพมารทั้งหมดถูกกวาดล้างไปชั่วคราว

ผู้เข้มแข็งที่เป็นหัวกะทิหลายสิบคนรวมตัวกัน กลับมายังข้างกายซั่งหยางจิ่วหลี่

“พี่ใหญ่ ตอนนี้ควรทำอย่างไร” ชายกำยำคนหนึ่งในนี้ถามเสียงทุ้ม

“ยังมีศิษย์น้องไม่น้อยตกสู่วงล้อม ในเมืองทำอะไรไม่ได้แล้ว แต่พวกที่อยู่ตรงเขตชายขอบยังช่วยได้ พวกเราลองไปช่วยเหลือดู พยายามรวบรวมพลังของทุกคนให้มากที่สุด” ซั่งหยางจิ่วหลี่เก็บดาบโค้งในมือเข้าฝัก กวาดตามองรอบๆ และมองหอคอยสีดำขนาดยักษ์ที่ค่อยๆ ลอยขึ้นหอนั้นด้วยสายตาเย็นชา

“ต้องเร่งมือแล้ว เคออวี่คำนวณเส้นทาง ช่วยเหลือขุนพลหลักสี่คนก่อน! ระหว่างทางช่วยศิษย์น้องได้เท่าไหร่ก็ช่วยเท่านั้น!”

“ขอรับ!”

“คนที่เหลือคุ้มครองปีกสองข้าง พวกเราลุย!” ซั่งหยางจิ่วหลี่หันไปเห็นมารหนอนหนามแหลมที่กรูออกมาจากมุมโค้งของถนนไกลออกไป

มารชนิดนี้แต่ละตัวอย่างน้อยก็สูงสามหมี่ ยาวสิบหมี่ เป็นอาวุธสงครามอย่างแท้จริง สามารถกัดเยื่อดำจนแหลก และฉีกทึ้งคู่ต่อสู้ทุกคนที่อยู่ต่ำกว่าระดับอสรพิษได้ในคำเดียว

ซั่งหยางรั่วปะปนอยู่ในกลุ่มลูกพี่ลูกน้องหลายคน หน้างามขาวซีด รุ่นบิดาและรุ่นอาวุโสของพวกนางกำลังต่อสู้กับทัพมารที่กลางเมือง ก่อนหน้านี้ยังได้ยินเสียงดังสนั่นราวฟ้าร้องได้ ตอนนี้กลับเงียบกริบ ท่านตาของซั่งหยางรั่วเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของตระกูล มีพลังแข็งแกร่ง นางไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าท่านตาของตนเองจะตายเพราะทัพมาร

เพียงแต่…เพียงแต่เหตุใด…เหตุใดถึงตอนนี้แล้ว ยังไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวจากใจกลางเมือง

นางพยายามสงบสติอารมณ์ ท่านตาครอบครองเครือข่ายข้อมูลของตระกูลซั่งหยาง จะต้องได้รับข่าวก่อนใคร เขาจะต้องไม่เป็นไรแน่ ตอนนี้คนที่ต้องห่วงไม่ใช่ท่านตา แต่เป็นตัวนางเอง

คนทั้งกลุ่มพุ่งเข้าไปในทัพมารราวมีดดาบ ฉีกทึ้งขบวนทัพมารทั้งหมดในพริบตาเดียว ด้วยการนำของซั่งหยางจิ่วหลี่ แค่ไม่กี่อึดใจสั้นๆ ก็ทะลวงทัพมารไปถึงถนนข้างประตูเมืองด้านนอก

ไม่นานก็เห็นกลุ่มคนที่ถูกตะขาบยักษ์ฝูงหนึ่งปิดล้อม

ซั่งหยางจิ่วหลี่พาคนบุกโจมตี นำหน้าเป็นคนแรก

“เสี่ยวรั่ว!” ซั่งหยางคุนอวิ๋นอยู่ในนี้ด้วย เขามองมาทางนี้อย่างยินดี แขนของเขาถูกฉีกไปข้างหนึ่ง ร่างเปื้อนคราบเลือดเป็นดวงๆ กำลังสู้สุดชีวิตภายใต้การนำของยอดฝีมือระดับพันธนาการคนหนึ่ง

ด้านในถ้ำขนาดมหึมาที่มืดมิดไร้แสง

สัตว์ประหลาดร่างเปลือยที่มีหูเป็นปีกสีดำจำนวนมากพุ่งเข้าหาลู่เซิ่งจากทั่วทุกสารทิศ

ร่างของพวกมันเป็นสีดำสนิท ส่วนใหญ่ถือหอกยาวปลายแหลม ตัวหอกกะพริบสัญลักษณ์สีเลือดหลายแถวพร้อมกับปล่อยเสียงพึมพำมุ่งร้าย

‘ผู้ติดเชื้อที่บันทึกในคัมภีร์หรือ ผู้แพร่กระจายปราณมารใช่หรือไม่…ปราณมารของที่นี่ให้กำเนิดสัตว์ประหลาดพวกนี้ได้เลยเหรอเนี่ย’ ลู่เซิ่งยกเท้าขึ้นข้างหนึ่ง ผู้แพร่กระจายปราณมารหลายตัวที่เกาะบนหลังเท้าร่วงตกลงกลายเป็นโคลนเนื้อ

ขอแค่ผู้แพร่กระจายปราณมารนับร้อยนับพัน สัมผัสกับอาณาเขตหลายหมี่รอบๆ ตัวลู่เซิ่ง ก็เหมือนขวัญหลุดวิญญาณหาย ปลดการป้องกัน ปลดปราณมาร ปล่อยให้ปราณภายในของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานไหลเข้าไป จากนั้นก็ล้มลง รอจนกระแทกกับพื้น อวัยวะภายในและกระดูกด้านในก็ละลายกลายเป็นโคลนเนื้อแล้ว

ลู่เซิ่งไม่ต้องลงมือ สนามพลังปั่นป่วนจิตใจที่เกิดขึ้นเองกับพลังป้องกันอันเด็ดขาดและน่ากลัว รวมถึงตาข่ายโลหิตปราณภายในที่เป็นธรรมชาติของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน สามสิ่งผสมกัน กลายเป็นเครื่องจักรสังหารที่น่ากลัวถึงขีดสุด

ผู้แพร่กระจายปราณมารฝูงใหญ่พุ่งกรูกันมาด้านหน้า จากนั้นก็ถูกปราณภายในของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานหลอมละลายกลายเป็นโคลนเนื้อหยดลงพื้น

แก่นมารหลายสายไหลเข้าไปในร่างลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง แม้แก่นมารที่ได้จากการฆ่าผู้แพร่กระจายปราณมารจำนวนมากมายเหล่านี้จะน้อย แต่ก็โชคดีที่มีเยอะ

‘ยังไม่พอ…ยังไม่พอ!’ ร่างขนาดมหึมาของลู่เซิ่งเคลื่อนไปด้านหน้า หนำซ้ำยังขยายขึ้นอย่างต่อเนื่องขณะรุกคืบไปด้านหน้าด้วย

แก่นมารถูกเซลล์ดูดซึมและเปลี่ยนแปลง กลายเป็นสารอาหารเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร่างมารทุกวินาที

ก่อนหน้านี้สูงสิบห้าหมี่ ตอนนี้ค่อยๆ สูงถึงสิบแปดหมี่

กายเนื้อของร่างมารสูงสิบแปดหมี่ นี่เป็นนิยามใด นั่นสูงเท่ากับตึกหกชั้น

ลู่เซิ่งไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะสูงใหญ่ถึงขั้นนี้ เขาเคยเห็นหมาป่ายักษ์สีขาวยาวหลายสิบหมี่ สูงสิบหมี่มาแล้ว แต่นั่นคือปีศาจ มหาปีศาจ และเขาคือมนุษย์!

หมับ!

ลู่เซิ่งยื่นมือใหญ่ไปจับผู้แพร่กระจายปราณมารกลุ่มหนึ่งมายัดเข้าปาก แล้วค่อยๆ เคี้ยว แก่นมารที่ดูดซับแบบนี้จะมีจำนวนมากกว่า หนำซ้ำเขายังต้องการอาหารเพื่อทำให้ร่างกายเติบโตด้วย

สำหรับเขาแล้ว แม้มารตรงหน้าจะมีรูปร่างเป็นมนุษย์ แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์ เป็นแค่มาร

สำหรับลู่เซิ่งในตอนนี้ ขอแค่ไม่ใช่คนล้วนกินได้หมด

หมับ!

เขาจับผู้แพร่กระจายปราณมารมาอีกกลุ่มหนึ่ง อย่างน้อยก็หยิบมาห้าตัว แล้วยัดใส่ปาก

“อ๊าก!” ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องแหลมดังมาจากไกลๆ

ผู้แพร่กระจายปราณมารที่ปีกหูสองข้างเป็นสีทองเข้มตัวหนึ่งถลึงตามองลู่เซิ่งด้วยใบหน้าเจ็บปวดโกรธแค้น น้ำตาไหลพรากไปตามแก้ม

“กากาเอนดา! โฮลียูซือทา ลา!”

มันอ้าปากส่งเสียงที่มีจังหวะบางอย่างติดต่อกัน เหมือนกับเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารระหว่างผู้แพร่กระจายปราณมาร

“หมายความว่ายังไง” ลู่เซิ่งงุนงง คล้ายนึกออกว่าในผู้แพร่กระจายปราณมารที่ตนจับไปก่อนหน้านี้ มีสองตัวที่เป็นสตรีซึ่งหน้าตางดงามมาก

อือ…พวกต่างเผ่าพันธุ์เหล่านี้เป็นสัตว์ประหลาดที่ปนเปื้อนปราณมารแท้ๆ แต่มีความรู้สึกด้วยหรือ

เขาคิดอย่างฉงนเล็กน้อย จากนั้นก็ยื่นมือไปจับผู้แพร่กระจายปราณมารอีกกลุ่มหนึ่ง มือใหญ่ของเขาคว้าไปทางไหน ผู้แพร่กระจายปราณมารที่อยู่ตรงหน้าล้วนละทิ้งการป้องกัน ปล่อยให้เขาจับกินทันทีเพราะสนามพลังปั่นป่วนจิตใจ

ตูม!

ก้ามที่เหมือนทำจากโลหะขนาดมหึมาข้างหนึ่งพุ่งออกมาจากในความมืด กระแทกใส่แขนของลู่เซิ่งอย่างรุนแรง

ก้ามที่เล็กกว่าฝ่ามือลู่เซิ่งเล็กน้อยชนเปรี้ยงใส่แขน ช่วยเหลือผู้แพร่กระจายปราณมารที่อยู่ด้านล่างกลับไปราวสายฟ้าแลบ

“ฆ่ามัน! ฆ่าสัตว์ประหลาดตัวนี้!” ร่างหลักของก้ามยักษ์ค่อยๆ คลานออกมาจากในความมืด นั่นเป็นสัตว์ยักษ์สีดำที่เหมือนกับปู มันมีก้ามสี่ข้าง ร่างสูงสิบสามหมี่ ไม่สูงเท่าลู่เซิ่ง แต่กว้างกว่าเขา เสาหินที่เป็นผลึกกึ่งโปร่งแสงสีดำกลุ่มหนึ่งงอกอยู่บนหลัง

เสียงดังมาจากด้านในเสาหินที่เป็นผลึก

ลู่เซิ่งยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ยินผู้แพร่กระจายปราณมารที่อยู่ใกล้ๆ โห่ร้อง คล้ายกับการมาถึงของปูยักษ์ได้นำพาความหวังมาด้วย

‘มารที่ตัวใหญ่หน่อยหรือ’ ลู่เซิ่งพิจารณาปูยักษ์อย่างสงสัย อยู่ๆ ก็ยื่นมือไปจับก้ามยักษ์ของอีกฝ่าย

กร๊อบ!

เกิดเสียงดังสนั่น ปูยักษ์ไม่ทันมีปฏิกิริยา ก็ถูกเขาหักก้ามไปแล้ว

ปูยักษ์ตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการหนีบก้ามที่เหลือใส่ลู่เซิ่ง

……………………………………….