บทที่ 288 ไฟ (4)
‘สิ่งนี้คือ…’ ลู่เซิ่งคีบผลึกเอาไว้ ไม่รู้ว่ามันทำมาจากอะไร
เขาใช้นิ้วขูดผิวผลึกเบาๆ ความรู้สึกสัมผัสที่อ่อนนุ่ม ส่งมาที่นิ้วของลู่เซิ่งเล็กน้อย
แก่นมารบริสุทธิ์ที่ต่อเนื่องไม่ขาดสายพรั่งพรูเข้ามาในตัวเขา ของสิ่งนี้ปลดปล่อยปราณมารและแก่นมารออกมาอย่างเชื่องช้าและสม่ำเสมอเหมือนกับเครื่องจักรนิรันดร์
แก่นมารอันบริสุทธิ์นี้ยังบริสุทธิ์ยิ่งกว่าปราณมารที่บริสุทธิ์ที่สุดเสียอีก มีความเข้มข้นเป็นหลายเท่าตัวของปราณมารกำเนิดหลังจากเปลี่ยนแปลง ไปถึงขั้นที่ควบแน่นได้ทุกเวลา
‘แก่นมารเต็มเปี่ยมแบบนี้ แถมยังมีระดับความเข้มข้นเท่ากับปราณมารหลังเปลี่ยนแปลงอีก…ถ้าหากปล่อยแก่นมารออกมาได้ตลอด ขอแค่ใช้เวลาสองสามสัปดาห์ ผลึกก้อนนี้ก็จะมีปริมาณเป็นกึ่งหนึ่งของแก่นมารทั้งหมดที่เราดูดซับไปก่อนหน้า’ ลู่เซิ่งคำนวณในใจ ตื่นตระหนกเล็กน้อย
สิ่งที่แฝงอยู่ในผลึกก้อนนี้คือแก่นมารที่เหนียวข้นและบริสุทธิ์ที่สุด เขาแค่จำเป็นต้องใช้ไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ก็จะดูดซับได้โดยตรงโดยไม่ต้องมีขั้นตอนบีบอัด
พอสำรวจผลึกก้อนนี้อย่างละเอียดสักพัก ลู่เซิ่งก็ค้นพบอย่างประหลาดใจว่าผลึกก้อนนี้กำลังหดขนาดลงเรื่อยๆ หลังปลดปล่อยแก่นมารที่บริสุทธิ์ออกมา
เขาใช้เวลาเล็กน้อยในการคำนวณและสำรวจ พบว่าผลึกก้อนนี้รักษาความเร็วในการส่งถ่ายปราณมารแบบตอนนี้ได้อย่างมากสุดเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่า
‘ผลึกก้อนนี้น่าจะเป็นแก่นสารของเสือดาวอสรพิษที่เป็นมารโบราณ ปราณมารกับแก่นมารมหาศาลขนาดนี้ช่วยอุดช่องโหว่วของแก่นมารที่เราจำเป็นต้องใช้เมื่อก่อนหน้านี้ได้โดยสมบูรณ์ หนำซ้ำยังมีเหลืออีก นอกจากนั้นเรายังเหลือพลังอาวรณ์อยู่พอดี สามารถยกระดับวิถีแปดมารสูงสุดได้ครั้งหนึ่ง’ ลู่เซิ่งวางแผนในใจ
พอมาถึงระดับนี้ สิ่งที่ต้องอาศัยเป็นหลักก็คือระดับความแข็งแกร่งของร่างมารและวิชาลับพรสวรรค์หลากหลายชนิด ยิ่งร่างมารแข็งแกร่งเท่าไหร่ พลังก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น
มารนั้นแตกต่างจากสำนักและตระกูลขุนนางเผ่ามนุษย์ เนื่องจากสิ่งที่มนุษย์ใช้ก็คือเยื่อดำที่เกิดจากสายเลือดอาวุธศักดิ์สิทธิ์ แต่สิ่งที่มารใช้คือความแข็งแกร่งในกายเนื้อของตัวเอง
ปัจจุบันเยื่อดำของลู่เซิ่งอยู่แค่ในระดับสามขั้นล่างของขอบเขตอสรพิษ แต่กายเนื้อแข็งแกร่งถึงระดับราชามารตามมาตรฐาน หรือก็คือระดับผู้ถืออาวุธแล้ว
หนำซ้ำยังเป็นระดับกลางค่อนไปทางแข็งแกร่งในระดับผู้ถืออาวุธด้วย ดังนั้นในความเป็นจริงเขาจึงเลื่อนสู่ระดับผู้ถืออาวุธแล้ว เพียงแต่ยังไม่รู้ตัวเท่านั้น
‘เรายังขาดวิชาลับท่าไม้ตายที่ตรงตามความหมายอย่างแท้จริงอยู่ เห็นได้จากในการต่อสู้เมื่อครู่ว่า ถ้าสุดท้ายไม่ได้ใช้การเพิ่มพลังอย่างกะทันหัน จากการแปลงร่างลอบโจมตีเสือดาวอสรพิษ คงยังต้องต่อสู้ถึงตายอีกรอบหนึ่ง’ ลู่เซิ่งทราบดี เห็นได้ชัดว่าเสือดาวอสรพิษยังมีไพ่ตาย เพียงแต่ไม่ทันใช้ออกทุกอย่างก็จบเสียก่อน
ร่างเขาหดลงอย่างรวดเร็ว แล้วกลายเป็นสภาพหยินโชติช่วงขั้นพื้นฐาน พร้อมเก็บกลิ่นอายทั้งหมด
‘อย่างนั้นวิชาท่าไม้ตายที่สามารถกำหนดผลแพ้ชนะในการต่อสู้ครั้งเดียว และแสดงพลังทั้งหมดของเราในตอนนี้ออกมาได้มีอะไรบ้าง’
เขาเป็นผู้นำที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาลับจำนวนมากในสำนักมารกำเนิด ถูกลิ่วซานจื่อกรอกวิชาลับมากมายใส่สมอง และก่อนหน้านี้เป็นเพราะใช้ความแข็งแกร่งข่มเหงความอ่อนแอมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่ได้ใช้ท่าไม้ตายไพ่สังหารแต่ประการใด
ทว่าตอนนี้หลังจากต่อสู้กับเสือดาวอสรพิษ ลู่เซิ่งค่อยรู้สึกตัวว่าตนเองยังขาดท่าไม้ตายที่ใช้แสดงพลังทั้งหมดของตัวเองโดยสมบูรณ์อยู่
‘ถ้าปลดปล่อยไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรอย่างเดียวล่ะ ความสามารถนี้มีระดับต่ำเกินไป พลังของเราไม่ได้มีแค่ไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรเท่านั้น การเผาปราณเหลวด้วยหยินหยางรวมเป็นหนึ่งบนพื้นฐานของร่างมารจนสำเร็จสภาพผู้ทำลายล้างล่ะ นี่ก็แค่สภาพหนึ่ง ยังสามารถเพิ่มวิชาท่าไม้ตายบนพื้นฐานนี้ได้อีก จะใช้สุรุ่ยสุร่ายไม่ได้ อย่างนั้น…กระบวนท่ามรรคายุทธ์ล่ะ วิชาลับมารกำเนิดล่ะ’ ลู่เซิ่งตั้งสมาธิใคร่ครวญ ไม่ว่าจะเป็นวิชาลับวิชาไหนก็ไม่เหมาะกับคุณสมบัติของร่างมารอันน่าสะพรึงกลัวของเขาในปัจจุบัน ความเร็ว พละกำลัง การระเบิด ปราณมาร ล้วนแสดงพลังได้แค่ส่วนหนึ่ง
‘ดูเหมือนต้องสร้างขึ้นมาเองซะแล้ว เส้นทางของเราเป็นเส้นทางปราณภายในบวกกับร่างมารที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งไม่เคยมีใครเดินมาก่อน ร่างกายของเราเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่ต้องใช้อาวุธใดๆ เมื่อเป็นแบบนี้เราลองพิจารณาจากทักษะการต่อสู้ที่เป็นวิชากำลังภายนอกอย่างวิชาหมัด วิชาฝ่ามือ วิชาเท้าดู และสามารถดำเนินการดูดซับประสบการณ์ด้านการควบคุมพลังและลวดลายอักขระที่ลี้ลับจากในวิชาลับได้เช่นกัน’
ลู่เซิ่งยืนไตร่ตรองอย่างตั้งใจอยู่ในความมืดสักพักหนึ่ง เวลาค่อยๆ ผ่านไป ครู่ต่อมา เขาจึงได้สติ
‘เวลาสั้นๆ ยังนึกอะไรไม่ออกแฮะ แต่เราใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนเรียนรู้ทักษะการต่อสู้และวิชากำลังภายนอกซึ่งมีแนวคิดชัดเจนส่วนหนึ่งได้นี่นา! เพียงแค่เสียพลังอาวรณ์ไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง’
พอคิดได้ก็ลงมือทันที เขาเรียกดีปบลูออกมา แล้วเริ่มตรวจสอบท่าไม้ตายในการต่อสู้ทั้งหมดที่ตนครอบครองอยู่ตั้งแต่บนสุดถึงล่างสุดอย่างละเอียด
กระบวนท่าทักษะต่อสู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการไหลเวียนของปราณภายในส่วนใหญ่เป็นกระบวนท่าวิชากำลังภายนอกขั้นพื้นฐาน เช่นฝ่ามือทำลายใจ ท่าเท้าแปดสมบัติ วิชาดาบวาฬแดง ฝ่ามือลวงเหล็กกล้า มีดสั้นเก้าตำหนัก
วรยุทธ์เหล่านี้เป็นกระบวนท่าธรรมดาระดับต่ำสุด ไม่ใช่แม้แต่ระดับพลังปลอดโปร่ง ล้วนเป็นวรยุทธ์ง่ายๆ ที่ลู่เซิ่งเก็บรวบรวมจากคลังยุทธ์ในแดนเหนือ เมื่อครั้งยังรับตำแหน่งประมุขพรรควาฬแดง
‘ระดับพลังปลอดโปร่งสามารถผนึกรวมพละกำลังทั่วร่างเป็นหนึ่งเดียว ส่วนระดับสำนึกปลอดโปร่งสามารถรวมสารกาย ปราณ จิตเป็นแก่นแท้มรรคายุทธ์ เหนือกว่าขั้นหนึ่ง เหมาะกับสภาพร่างมารในตอนนี้ของเราพอดี เมื่อเป็นแบบนี้ เราน่าจะเลือกแก่นแท้มรรคายุทธ์ที่แข็งแกร่งมากพอเป็นภาพตรึกตรอง จากนั้นก็สร้างท่าไม้ตายระดับสูงสุดที่เหมาะกับร่างมารโดยสมบูรณ์ออกมา’
ลู่เซิ่งเหมือนนึกอะไรออกแล้ว เอาแต่อ้อมไปอ้อมมา นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดที่ใช้ประโยชน์ได้จริงจะเป็นมรรคายุทธ์ของคนธรรมดา
เรียบง่าย ไม่ต้องใช้การโคจรปราณภายในอะไรมากมาย เป็นแค่ทักษะการเข่นฆ่าและต่อสู้ หลักมรรคายุทธ์ที่แฝงในนี้เหมาะกับลู่เซิ่งในตอนนี้
‘รวบรวมพลังทั้งหมด…เข่นฆ่า…แสดงพลังที่แข็งแกร่งที่สุด…’ ลู่เซิ่งค้นหาวรยุทธ์เฉพาะทั้งหมดที่ตนเองครอบครองและจำได้ไปเรื่อยๆ
ไม่นาน วิชาดาบสังหารที่เหมาะสมกับเขามากที่สุดก็ปรากฏในห้วงสมอง
นั่นเป็นกระบวนท่าของสำนักอาทิตย์ชาดที่ศิษย์พี่ถ่ายทอดให้เขาใช้รับมือภูตผี หนึ่งในท่าสังหารในคลังยุทธ์ของพรรควาฬแดง
ดาบเจ็ดอาทิตย์เปลี่ยนฟ้า
นี่เป็นสุดยอดกระบวนท่าที่ประสานการใช้ปราณภายในเข้ากับกับพละกำลัง ความเร็ว และการระเบิดของตัวเองเพื่อมุ่งสังหารเพียงอย่างเดียว เป็นท่าสังหารที่ไม่มีสิ่งเจือปน
“ดาบเจ็ดอาทิตย์เปลี่ยนฟ้า การใช้ยิ่งแรง ยิ่งเร็ว พลังก็ยิ่งมาก แต่จำได้ว่าหากใช้ปราณเหลวระเบิดเป็นอัคคีพิษหลายครั้ง ก็มีอานุภาพแข็งแกร่งถึงขีดสุดเหมือนกัน ทั้งยังมีจุดประสงค์ชัดเจน มากพอให้เราใช้เป็นการเรียนรู้หลัก”
‘แล้วแก่นแท้มรรคายุทธ์ล่ะ ต้องเลือกแก่นแท้มรรคายุทธ์ระดับสูงอันไหนถึงจะแสดงพลังในปัจจุบันของเราได้อย่างเต็มที่’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้วน้อยๆ
เขานึกถึงการเรียนรู้ด้วยเครื่องมือปรับเปลี่ยน ขอแค่จินตนาการภาพขีดจำกัดที่ตนเองจินตนาการถึงออก ก็จะใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนเรียนรู้ท่าสังหารได้
อยู่ๆ เขาก็นึกถึงภาพที่เคยทำให้เขาสั่นสะท้านถึงขีดสุด นั่นคือการระเบิดของดาราจักร ในภาพบันทึกภาพหนึ่งที่เขาเคยเห็นบนโลกเมื่อชาติก่อน
วงแสงสีแดงขอบฟ้าในจักรวาลอันมืดมิด ราวภาพฝันนั้นช่างงดงามและน่าอัศจรรย์ เขาที่เห็นภาพนั้นในตอนนั้นตกตะลึงโดยสมบูรณ์
นั่นเป็นภาพที่ตรงกลางคือดาราจักรในหลุมดำที่มวลยิ่งยวดระเบิดออกมาในพริบตา
หากวัดตามข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ในตอนนั้น หลุมดำที่เป็นแกนกลางในการระเบิดครั้งนั้นอย่างน้อยก็ได้กลืนกินสสารในจักรวาลซึ่งเทียบได้กับดวงดาวร้อยล้านดวง ทำลายดาราจักรขนาดมโหฬารทั้งหมดได้
กล่าวได้ว่าภาพเลียนแบบที่ทำขึ้นจากการรวมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน คืนสภาพได้มากกว่าแปดส่วน ใช้ข้อมูลการสังเกตคืนสภาพการระเบิด
‘น่าคาดหวังจริงๆ…ไม่รู้ว่าแก่นแท้มรรคายุทธ์ที่สูงส่งแบบนี้จะเรียนรู้ท่าไม้ตายแบบไหนออกมาได้’ เขาแสดงสีหน้าคาดหวัง
หลังตกลงใจแล้ว ลู่เซิ่งก็ก้าวกระโดดเข้าไปในประตู สู่ถ้ำผนึกชั้นถัดไป พลางกดปุ่มปรับเปลี่ยนบนเครื่องมือปรับเปลี่ยน เพื่อให้มันเข้าสู่สภาพปรับเปลี่ยน
กรอบเครื่องมือปรับเปลี่ยนสั่นไหวน้อยๆ ก่อนจะหยุดนิ่งลงอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งเจอวิชาดาบเจ็ดอาทิตย์เปลี่ยนฟ้า กดปุ่มเรียนรู้ด้านหลัง ขณะเดียวกันก็บังเกิดความปรารถนาอย่างรุนแรง หวังว่าจะสามารถเชื่อมกับวิชาลับร่างมารที่ครอบครองในตอนนี้เพื่อเรียนรู้พร้อมกันได้
ซู่…
กรอบของวิชาดาบเจ็ดอาทิตย์เปลี่ยนฟ้าพร่ามัวอยู่สักพัก พลังอาวรณ์หายไปราวสามสิบกว่าหน่วย กรอบชัดขึ้นอีกครั้ง
[ดาบเจ็ดอาทิตย์มารสวรรค์: รูปแบบที่สามยังไม่ตั้งชื่อ ผลพิเศษ: ดาบยักษ์สั่นสะเทือน กดทับ มหาปราณฉีกกระชาก]
ทักษะอันน่าอัศจรรย์มากมายทะลักเข้าสู่ห้วงสมองลู่เซิ่ง สภาพตรึกตรองที่เรียนรู้ได้ย่อมเป็นสภาพการระเบิดของดาราจักร
เทียบกับการระเบิดของดาราจักรนี้แล้ว ต่อให้เป็นการระเบิดของซูเปอร์โนวาก็เทียบไม่ติด
‘ตั้งแต่รูปแบบที่สาม ดาบเจ็ดอาทิตย์เปลี่ยนฟ้าก็เลื่อนไปอยู่ในระดับใหม่แล้ว แถมยังเปลี่ยนชื่อเองตามวิชาลับมารกำเนิดที่หลอมรวมอยู่ เป็นดาบเจ็ดอาทิตย์มารสวรรค์…ในเมื่อรูปแบบที่สามของกระบวนท่านี้เรียนรู้จากการระเบิดของดาราจักร อย่างนั้นก็เรียกว่าทำลายดวงดาวก็แล้วกัน…’
ลู่เซิ่งยื่นมือขวาออกมาเหมือนกับเคยใช้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ดาบสีดำขนาดยักษ์ยาวสามหมี่กว่าๆ ผนึกรวมบนแขนท่อนปลาย บนตัวดาบกะพริบแสงดาวสีน้ำเงินนับไม่ถ้วน
ตูม
คมดาบพุ่งใส่พื้น
ถ้ำผนึกใต้ดินที่มืดสนิทสงบลงในพริบตา
ตูม!
เกิดเสียงกึกก้องน่ากลัว อากาศกลายเป็นสีขาว คลื่นกระแทกสีขาวอมเทากลุ่มหนึ่งกระจายออกมาพร้อมเสียงอึงอล
กรวดหินแหลกสลาย ผนังกำแพงพังทลาย พื้นระเบิด ทุกสิ่งถูกบดขยี้ฉีกกระชาก ทุกที่เต็มไปด้วยคลื่นกระแทกสีขาวบริสุทธิ์ ทุกอย่างเหมือนกับกำลังสั่นสะเทือน
ฝุ่นผง กรวดหิน ตะไคร่น้ำ สารพิษไม่ทราบชนิด ทุกสิ่งทุกอย่างป่นกลายเป็นอนุภาคที่เล็กที่สุด ถูกสั่นสะเทือนจนลอยขึ้นมา
ทันใดนั้น ผืนแผ่นดินแตกออกเป็นช่องมากมาย หินหนืดสีม่วงนับไม่ถ้วนทะลักออกมา
ตูม! ตูมๆๆๆๆ!
ถ้ำทั้งถ้ำโยกคลอนอย่างรุนแรง ผนังถ้ำพังทลาย พื้นดินถล่มยุบ ถ้ำมหึมารัศมีหลายพันหมี่กลายเป็นวันสิ้นโลก แท่นบูชาตรงกลางเอียงเซ หล่นลงไปในร่องแยกที่มีหินหนืดแตกออกใกล้ๆ ก่อนจะค่อยๆ จมลงไป
ลู่เซิ่งนั่งอยู่ที่เดิม ดาบสีดำบนมือแทงใส่พื้น มองทุกสิ่งตรงหน้าอย่างค่อนข้างตกตะลึง
แค่ดาบเดียว ถ้ำผนึกชั้นนี้ก็ตกสู่ทะเลเพลิงสีม่วงโดยสมบูรณ์
พึงทราบว่าไฟสีม่วงชนิดนี้เกิดจากไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรที่มีระดับความบริสุทธิ์สูง อานุภาพและความเป็นพิษน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด ถึงขั้นส่งผลคุกคามต่อเสือดาวอสรพิษซึ่งเป็นมารโบราณ นี่เป็นไฟระดับปฐมโดยไม่มีสิ่งใดเจือปน
เวลานี้ ไฟสีม่วงชนิดนี้ได้ปกคลุมถ้ำชั้นนี้ไว้โดยสมบูรณ์แล้ว
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ไม่กี่อึดใจสั้นๆ
ถ้ำชั้นนี้หายไปโดยสิ้นเชิง…สิ่งที่มาแทนที่คือธารหินหนืดสีม่วงที่หลอมละลายและเผาไหม้อย่างต่อเนื่อง…
ลู่เซิ่งค่อยๆ ลุกขึ้นมาระหว่างธารหินหนืดพลางกวาดตามองรอบๆ
‘นี่คือทำลายดวงดาว…อานุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราระเบิดออกมาด้วยพลังทั้งหมดในตอนนี้?!’ แค่ดาบเดียว รัศมีหลายพันหมี่ก็กลายเป็นโลกหินหนืด เผาไหม้ทุกสิ่ง ทำลายล้างทุกอย่าง!
ลู่เซิ่งไม่กล้าเชื่ออยู่บ้างว่าตนจะเป็นคนฟันดาบนี้ออกไป
เขายกฝ่ามือขึ้น ดาบสีดำค่อยๆ สลายไปหลังจากฟันออก ทว่าใจกลางฝ่ามือยังมีปราณมารสีดำอมม่วงหลายสายหลงเหลืออยู่
‘พลังระดับนี้…’ เขาสะกิดเท้า ลอยตัวขึ้นไปกลางอากาศอย่างแผ่วเบา
ฟิ้ว!
แสงสีดำสายหนึ่งลากเส้นสายลอยไปยังมือของเขา
ฟิ้ว…ฟิ้วๆๆๆ…
ถัดจากนั้นก็มีสายที่สอง สายที่สาม สายที่สี่…
แสงสีดำที่ลากเส้นสายสีดำพุ่งขึ้นมาจากหินหนืดในบริเวณรอบๆ ก่อนจะลอยเข้าไปอยู่กลางฝ่ามือขวาของลู่เซิ่ง
เส้นสายทั้งหมดรวมตัวกัน แล้วกลายเป็นก้อนแก่นมารสีดำสนิทก้อนหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ควันสีม่วงลอยอยู่รอบๆ ก้อนแก่นมาร ห่อหุ้มก้อนสีดำเอาไว้ตรงกลาง
นี่เป็นแก่นมารที่หลงเหลือหลังจากมารทุกตนในชั้นนี้ตายไปเพราะลู่เซิ่งฟันดาบใส่เมื่อครู่ เมื่อวิถีแปดมารสูงสุดสังหารสิ่งมีชีวิต ก็จะเปลี่ยนพวกมันเป็นแก่นมาร เพียงแต่มารที่ลู่เซิ่งฆ่าไปในตอนนี้มีมากเหลือคณานับ
เส้นสายสีดำหลายร้อยหลายพันสายลอยเข้าหาใจกลางฝ่ามือของเขาอย่างต่อเนื่อง
บนหินหนืดสีม่วงบริสุทธิ์ เส้นสายสีดำคลุมฟ้าคลุมดวงอาทิตย์รวมตัวเป็นจุดเดียวเหมือนสายน้ำหมื่นสายไหลคืนสู่ทะเล
เหมือนกับเขาเป็น…เทพที่ครอบครองทุกสิ่งนี้…!
……………………………………….