มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย หลินเมิ้งหยายิ้มอย่างผ่อนคลาย
เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอันแสนกว้างใหญ่ เหมือนกับคนที่กำลังปลดภาระอันหนักอึ้งออกจากบ่าและโบยบิน
“ใช่แล้ว ข้าอยากไปจากที่นี่ ที่แห่งนี้หาใช่โลกของข้า หากเทียบกับนกคีรีบูนแล้ว ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะเป็นดั่งนกภูเขาที่ถลาแล่นโบยบินหาอิสรภาพของตนเอง”
แววตาดำขลับของหลินเมิ้งหยาวาดร่องรอยแห่งการโหยหาอิสรภาพ
ทว่าภายใต้รอยยิ้มของชิงหู ความเสียดายพลันปรากฏขึ้นในหัวใจของเขา
แม้แต่ตัวนางเองคงมิทันสังเกตเห็นว่าหญิงสาวที่มีรูปร่างงดงามดั่งหยก ทั้งที่ไร้ซึ่งอากัปกิริยาเย้ายวน แต่นางกลับมีเสน่ห์ชวนมองจนมิอาจละสายตา
อย่าว่าแต่เขาหรือเสี่ยวอวี้เลย แม้แต่เจ้าคนที่หลบอยู่ในตำหนักฉินหวู่นั่นเองก็ถูกเสน่ห์ของนางดึงดูดโดยไม่รู้ตัว
เหตุใดนางจึงคิดโบยบินไปซ่อนตัวอยู่ในภูเขาเล่า?
แต่ถึงกระนั้น ขอเพียงเป็นความต้องการของนาง เช่นนั้นเขาก็จะลองฝืนพยายามดูสักครั้ง ขอเพียงสามารถรักษารอยยิ้มและความสุขของนางเอาไว้ได้ก็เพียงพอแล้ว
“ไปกันเถิด ข้าจะพาเจ้าออกไปก่อน”
มือหนายื่นเข้าไปรั้งเอวบางของนางไว้ แม้หญิงสาวร่างเล็กจะอยู่ภายในอ้อมกอด แต่หัวใจของชิงหูกลับไม่คิดอกุศลต่อนางเลยแม้แต่น้อย
กระตุ้นกำลังภายในของตนเองขึ้นมาก่อนจะถีบตัวทะยานขึ้นฟ้า ทั้งสองโบยบินขึ้นกลางอากาศราวกับผีเสื้อ เพียงใช้เท้าแตะหลังขาเล็กน้อย พวกเขาก็ออกมาอยู่นอกสวนด้านหลังของจวนอวี้แล้ว
จู่ๆ กลิ่นของลมหายใจพลันเปลี่ยนไปกะทันหัน ชิงหูรีบคลายอ้อมกอดหลินเมิ้งหยา ก่อนจะหมุนตัวไปกลืนเลือดในลำคอ
ไอ้ยาพิษบ้านี่ นับวันยิ่งรุนแรงมากขึ้น
หลินเมิ้งหยามองชิงหูที่หันหลังให้ตัวเอง ร่องรอยของความกังวลพลันปรากฏขึ้นในสายตา
ร่างกายของเขาเริ่มเปราะบางมากขึ้นแล้ว แม้เจ้าบ้านี่จะคิดว่าเขาสามารถปกปิดเรื่องนี้กับนางได้ แต่ถึงกระนั้นก็มิอาจหนีพ้นสายตาของนางอยู่ดี เขาจะหนีพ้นจากเรดาร์ในสมองของนางได้อย่างไร?
อยู่ๆ นางพลันนึกถึงยาถอนพิษที่อาจช่วยชีวิตของชิงหูได้ขึ้นมาได้
แต่น่าเสียดาย ยาสมุนไพรที่ต้องใช้นั้น ต้นแรกเติบโตอยู่ในภูเขาหิมะ ส่วนอีกต้นอยู่ในปากปล่องภูเขาไฟอันร้อนระอุ
อย่าว่าแต่ราคาที่แพงมหาศาลเลย หาคิดจะไปเก็บมันมาแล้วล่ะก็ จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างใหญ่หลวง
มีทางเดียวที่นางจะสามารถทำให้ชิงหูหายเร็วขึ้น นั่นก็คือการรวมพลังของกลุ่มสามสหาย
“นี่…เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่? หรือแอบหัวเราะเยาะข้า?”
ดึงสติกลับคืนมา หลินเมิ้งหยาแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะถลึงตาโตใส่เขาแล้วส่งเสียงบ่นอุบ
ในที่สุดก็สามารถกลืนเลือดลงคอได้ ชิงหูยกยิ้มเหมือนที่เคยทำเสมอมา ก่อนจะหมุนตัวและหันกลับมาสบตาหญิงสาวตรงหน้า
“ข้าจะกล้าที่ไหนกัน! หากข้าหัวเราะเยาะเจ้า เกรงว่าข้าคงจะไม่อาจมีชีวิตรอดอีกต่อไปแล้ว แม้ชีวิตข้าจะสั้น แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังเสียดายมันอยู่นะ”
ทั้งสองถกเถียงกันอีกสองสามประโยค ก่อนที่สาวใช้ทั้งสี่ซึ่งแต่งตัวเหมือนเสี่ยวซีเสร็จแล้วจะนั่งรถม้าแล่นเข้ามาหา
“นายหญิง ชิงหู พวกท่านรีบขึ้นมาเถิด พวกเราต้องรีบกลับมาก่อนฟ้ามืดนะเจ้าคะ”
หลังจากหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามอย่างป๋ายซ่าวแต่งตัวเป็นชายแล้ว นางดูหล่อเหลาไม่แพ้ชายหนุ่มทั่วไปเลยแม้แต่น้อย
มือเล็กกุมบังเหียนและแส้ สวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบเรียบง่าย แต่กลับหล่อเหลาเหลือเกิน
เด็กคนนี้ร้ายกาจยิ่งนัก นางฝึกฝนการขับรถม้าจนเก่งกาจอย่างไร้ที่ติ ทั้งที่นางเพิ่งจะเรียนได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น
“ได้ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้”
หลินเมิ้งหยาและชิงหูเดินนำหน้าตามหลังกันขึ้นไปบนรถม้า เพียงป๋ายซ่าวสะบัดแส้ รถม้าพลันแล่นหายลับออกจากจวนอวี้
สองข้างทางประดับประดาไว้ด้วยโคมไฟ คนที่อยู่เมืองอื่นๆ ต่างเดินทางเข้ามายังเมืองหลวงเพื่อซื้อของ
หลินเมิ้งหยาที่เติบโตมาในเมืองหลวงลอบมองคนที่เดินทางขวักไขว่ผ่านไปมาอยู่ในรถม้า
ทั้งป้ายคำกลอน ทั้งคำว่า “ฝู” หรือแม้แต่ปลาตัวใหญ่ก็ถูกประดับตกแต่งตามร้านรวง
เมล็ดแตงโม เกาลัดคั่ว ป๋ายจื่อที่เป็นคนตะกละอยู่แล้วเกือบจะคุมตัวเองไม่อยู่ แม้แต่หลินเมิ้งหยาเองก็ยังอดที่จะสนุกสนานไปด้วยไม่ได้
“เลิกทำท่าน้ำลายไหลได้แล้ว ข้ามองจนหิวตามไปด้วยเลย”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยเย้าก่อนจะเคาะหน้าผากป๋ายจื่อหนึ่งที เพียงได้เห็นสายตาเชิงขอโทษของนาง ทุกคนอดที่จะหัวเราะไม่ได้
“เจ้าอย่าได้เสียใจไปเลย ท่านพ่อท่านแม่ข้าจะต้องเตรียมของอร่อยเอาไว้แล้วแน่นอน ฝีมือการทำอาหารของแม่ข้าดีกว่าร้านรวงเหล่านี้เป็นไหนๆ เจ้าเลิกแทะกำปั้นของตนเองเถิด”
ป๋ายจีเองก็เคาะหน้าผากป๋ายจื่อเช่นเดียวกัน นางบอกกับพ่อแม่ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะต้องเตรียมของอร่อยเอาไว้ให้ด้วย
ก็สิ้นปีแล้วนี่นา ทุกคนจึงอยู่ในอารมณ์เฉลิมฉลอง
หลินเมิ้งหยาหัวเราะขณะมองดูสาวใช้ที่กำลังล้อมวงสนทนากันอย่างครึกครื้นทว่าในใจกำลังครุ่นคิดว่าจะออกไปนอกเมืองกับชิงหูสองคนเพื่อดูกลุ่มสามสหายที่แท้จริงได้เช่นไร
เหตุเพราะวันนี้สวมชุดผู้ชาย ดังนั้นรถม้าจึงสามารถหยุดลงที่ด้านหน้าร้านสามสหายได้
ทุกคนลงจากรถม้า เหตุเพราะกำลังจะสิ้นปี ดังนั้นกิจการร้านขายยาจึงอยู่ในช่วงขาลง แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากมาซื้อยาในช่วงวันสิ้นปี
ทุกอย่างยังคงเหมือนเมื่อก่อน ตู้ขายยาวางเรียงรายละลานตา
เพียงเดินเข้าไปภายใน กลิ่นยาพลันลอยตลบอบอวลเตะจมูก
หลินเมิ้งหยามองดูร้านยาที่ถูกเก็บกวาดอย่างเป็นระเบียบด้วยความรู้สึกปลื้มปีติ นางรู้อยู่แล้วว่าการเชิญพ่อแม่ของป๋ายจีมาอยู่ที่นี่เป็นเรื่องที่ถูกต้อง
ลูกค้าใหม่กลุ่มหนึ่งเข้ามาในร้าน แม้พวกเขาจะสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา แต่สง่าราศีที่แผ่กระจายออกมาหาได้เหมือนคนธรรมดา
พนักงานใหม่แย้มยิ้มต้อนรับ ก่อนจะเดินออกมาที่หน้าร้าน
“ไม่ทราบว่าท่านแขกผู้มีเกียรติต้องการหายาชนิดใดหรือขอรับ? ร้านสามสหายของพวกเราเป็นร้านยาขึ้นชื่อของเมืองหลวง ปริมาณในการค้าขายถูกต้องชัดเจน ไม่ว่าท่านต้องการยาชนิดใด ขอเพียงเอ่ยออกมา พวกข้าจะรีบไปเตรียมให้ท่านทันที แต่ถ้าหากที่ร้านไม่มียาชนิดนั้น เพียงท่านเอ่ยชื่อยามา พวกข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อเสาะหามาให้ได้”
พนักงานใหม่คนนี้มิได้คุยโวโอ้อวดเลยแม้แต่น้อย
เหตุเพราะร้านยาสามสหายมีเครือข่ายการรวบรวมจัดเก็บยาที่ค่อนข้างกว้างขวาง ตอนนี้ร้านขายยาร้านนี้จึงกลายเป็นร้านยามีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง
หลินเมิ้งหยาหัวเราะ มองสำรวจพนักงานใหม่ตรงหน้า
มีมารยาทและใจรักการบริการ ไม่แบ่งชนชั้นหรือถือตัว เขาเป็นคนมีไหวพริบ ดูเหมือนท่านลุงและท่านป้าป๋ายจะมีสายตาอันแหลมคมยิ่งนัก
กระแอมเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
“ที่ข้าเดินทางมาในครั้งนี้ก็เพราะต้องการทำการค้าใหญ่ ไม่ทราบว่าเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยสะดวกออกมาพบข้าหรือไม่?”
เพียงหลินเมิ้งหยาเอ่ยถึงเถ้าแก่ สีหน้าของพนักงานเริ่มแสดงออกถึงความลำบากใจ
แต่ถึงกระนั้นเขาก็เป็นคนมีไหวพริบ ดังนั้นจึงโค้งตัวลง ก่อนจะเอ่ย
“ทั้งที่คุณลูกค้าพูดขนาดนี้ ข้าควรจะรับปากจึงจะถูก แต่เจ้าของร้านของข้ามีงานที่ต้องทำจึงมิอาจปลีกตัวออกมาพบท่านได้ หากท่านมีเรื่องด่วนจริงๆ เช่นนั้นท่านเขียนที่อยู่จวนเอาไว้ให้ข้าน้อยได้หรือไม่ หากเจ้าของร้านเสร็จงานเมื่อใด พวกเขาอาจจะไปพบท่านที่นั่น ไม่ทราบว่าท่านลูกค้าสะดวกหรือไม่ขอรับ?”
พนักงานเอ่ยออกมาด้วยความจริงใจ ซ้ำยังคิดหาเหตุผลอย่างครอบคลุม ไม่ว่าลูกค้าคนไหนก็คงเถียงเขาไม่ได้
“เป็นพนักงานที่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ เจ้าของร้านแห่งร้านสามสหายก็คือคนที่อยู่ตรงหน้าเจ้าอย่างไรเล่า เอาล่ะ ท่านพ่อท่านแม่ข้าอยู่หลังสวนใช่หรือไม่? เจ้าจงรีบไปรายงานพวกเขาเถิดว่านายหญิงมาพบพวกเขาแล้ว”
สายตามองทางพนักงานใหม่ที่กำลังแสดงสีหน้าลำบากใจ ป๋ายจีจึงรีบโผล่ขึ้นมาจากทางด้านหลัง
แม้ใบหน้าคนที่เหลือจะเป็นใบหน้าที่เขาไม่รู้จัก ทว่าเขารู้จักใบหน้าของคนตรงหน้าเป็นอย่างดี
“ที่แท้น้องป๋ายจีก็กลับมาแล้ว เถ้าแก่กับท่านป้าป๋ายอยู่ด้านหลัง ท่านเข้าไปก็น่าจะเจอ ข้าสายฝ้าฟาง ทั้งที่เจ้าของร้านมายังที่นี่แล้วแท้ๆ แต่กลับจำไม่ได้ ได้โปรดลงโทษด้วยเถิดขอรับ”
แม้จะแสดงออกถึงความลำบากใจเล็กน้อย แต่เขาก็หัวเราะกลบเกลื่อนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ตรงหน้า
หลินเมิ้งหยามองพนักงานคนนี้ด้วยสายตาชื่นชม ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
แหวกผ้าม่านออกแล้วเดินเข้าไปยังสวนหลังร้าน
เพียงเดินผ่านประตู กลิ่นหอมของเกาลัดคั่วน้ำตาลพลันโชยออกมาเตะจมูก
ป๋ายจื่อยื่นจมูกดมฟุดฟิดเหมือนลูกหมาตัวน้อยๆ ก่อนจะเบิกตากว้างแล้วออกวิ่งเข้าไปในสวน
ใบหน้าเรียวเล็กประดับไว้ซึ่งรอยยิ้มกว้างราวกับเด็กน้อยได้เจอมารดา
“ว้าว! หอมเหลือเกินเจ้าค่ะ ท่านป้าป๋าย ข้าขอชิมเกาลัดได้หรือไม่เจ้าคะ?”
ป๋ายจื่อน้ำลายไหลยืด ท่านป้าป๋ายหัวเราะก่อนจะพยักหน้า มือเล็กๆ เหมือนอุ้งเท้าแมวจึงรีบยื่นเข้าไปจับเม็ดเกาลัดสีเขียว แต่ด้านในเป็นสีเหลืองทองส่งเข้าไปในปากของตนเอง
“สวรรค์โปรด ข้าไม่เคยกินเกาลัดที่แสนอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย นายหญิง พี่ป๋ายจี พี่ป๋ายซ่าว พี่ป๋ายซู พวกท่านรีบมากินเร็วเข้า”
คนทั้งสวนถูกเสียงของเด็กตะกละร้องเรียก
หลินเมิ้งหยามองไปรอบๆ แม้สวนแห่งนี้จะมิได้หรูหรางดงามดั่งเช่นตำหนักหลิวซิน แต่ถึงกระนั้นกลับมีบรรยากาศอันแสนอบอุ่น
นี่ต่างหากที่เรียกว่าบ้านอย่างแท้จริง
“พวกเจ้าดูเถิด เด็กคนนี้ชอบชมข้าเกินจริงอยู่เรื่อย เหตุใดคุณหนูจึงไม่บอกกันสักหน่อยเล่าเจ้าคะว่าจะมาที่นี่ ดูสิ สวนรกรุงรังไปหมด”
ท่านป้าป๋ายคุ้นชินกับหลินเมิ้งหยาแล้ว รอยยิ้มกว้างประดับอยู่บนใบหน้า
นางและท่านลุงป๋ายเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แต่กลับมีความคิดฉลาดเฉลียว พวกเขารู้ว่าสถานที่แห่งนี้มิใช่เพียงร้านขายยาธรรมดา แต่ยังเป็นเรือนของเด็กสาวเหล่านี้ด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงใส่ใจมากเป็นพิเศษ
“พี่สาว ท่านกลับมาแล้ว ถวายพระพรคุณหนู”
เด็กน้อยที่สวมชุดผ้าฝ้ายวิ่งออกมาจากห้องทำความอุ่น พวกเขาเข้าไปห้อมล้อมป๋ายจีอย่างดีใจก่อนเป็นคนแรก แต่หลังจากที่ได้เห็นหลินเมิ้งหยาแล้ว พวกเขาจึงรีบเข้ามาถวายพระพรตามคำที่บิดามารดาเคยสอนสั่งเอาไว้
“ทำอะไรกันเนี่ย? ลุกขึ้นเถิด วันนี้พี่สาวพบพวกเจ้าเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงมิได้เตรียมของขวัญมาให้ คราวหน้าพี่สาวจะนำของกินอร่อยๆ มาให้พวกเจ้าด้วยดีหรือไม่?”
แม้อีกฝ่ายจะเป็นเด็กและไม่ขาดแคลนเสื้อผ้าหรือของกินของใช้อีกต่อไป แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังสวมชุดกึ่งใหม่กึ่งเก่า
เด็กทั้งสามแบ่งออกเป็นเด็กชายสองคนและเด็กหญิงอีกหนึ่งคน หน้าตาน่ารักน่าชัง
หลินเมิ้งหยาก้มตัวลง ลูบศีรษะเด็กๆ ทั้งสามคน นางชอบพวกเขามากเหลือเกิน
“ท่านเป็นคุณหนู เหตุใดจึงสวมใส่ชุดผู้ชายเล่าเจ้าคะ?”
น้องสาวของป๋ายจีเอ่ยถาม นางน่าจะเป็นลูกคนสุดท้อง เหตุเพราะยังเด็ก ดังนั้นผมจึงถักเป็นเปียทั้งสองข้าง ดวงตาเปล่งประกายราวกับหยดน้ำคู่สวยจ้องมองนางด้วยความสงสัย