ตอนที่ 127-1 ใจมารและการเคลื่อนไหวภายนอกที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นนั่งไม่ติดอีกต่อไป นางปิดหนังสือแล้วลุกขึ้นไปเปิดผ้าม่าน 

 

 

ตรงชานบ้าน มีร่างของสาวใช้ในเสื้อคลุมสีเขียวเนื้อกระด้างกำลังนั่งคุกเข่าก้มหน้าโขกศีรษะอยู่ที่พื้นซ้ำๆ ไม่หยุดจนหน้าผากเนียนขึ้นสีแดง ริมฝีปากสะอื้นร้องไห้ด้วยความจุก 

 

 

“ขอร้องล่ะ… ได้โปรด นายของข้ากำลังจะตาย ขอเพียงได้พบกับคุณหนูใหญ่สักครั้ง… สักครั้งก็ยังดี วันนี้คนที่บ้านของนางไม่มีใครอยู่สักคน มีแค่คุณหนูใหญ่เท่านั้น คุณหนูใหญ่!” ว่าพลางโก่งคอตะเบ็งออกมาเสียงดัง “คุณหนูใหญ่!” 

 

 

สาวใช้ที่คุกเข่าโค้งโขกศีรษะอยู่นั้นช่างดูคุ้นตาเสียจริง หลังจากพินิจพิจารณาดู อวิ๋นหว่านชิ่นก็จำได้ว่านางคือสาวใช้นามปี้อิ๋ง ผู้ที่ไปจวนกุยเต๋อโหวกับอวิ๋นหว่านเฟย 

 

 

ช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมามอมอและสาวใช้ทั้งสามในเรือนอิ๋งฝูไม่สามารถทำอะไรได้เลย นอกจากยืนกั้นหน้าประตูกันไม่ให้ปี้อิ๋งลอบเข้าไปพบคุณหนูใหญ่ 

 

 

ที่ประตูพระจันทร์ ม่อไคไหลปรี่นำผู้พิทักษ์สองคนเข้ามาพร้อมทั้งสั่งการ “เอาตัวสาวใช้ต่ำต้อยผู้นั้นออกไป!” 

 

 

องครักษ์ทั้งสองเดินเข้าประตูพระจันทร์ขณะที่กำลังจะพาตัวปี้อิ๋งออกไป แต่ใครจะคิดว่าปี้อิ๋งจะดื้อรั้นถึงขั้นกอดเสาของระเบียงชานบ้านเสียก่อนพร้อมกับก่นร้องเสียงแหบว่า “ถ้าพวกท่านไม่ยอมให้ข้าได้พบกับคุณหนูใหญ่ ข้าจะเอาหัวโขกเสาให้ตายคาที่ไปเลย!” 

 

 

สององครักษ์ไม่กล้าแม้จะขยับชั่วขณะ ด้วยเกรงว่าสาวใช้จะฆ่าตัวตายอยู่หน้าห้องแต่งตัวของคุณหนูใหญ่จริงๆ การมีคนตายจะทำให้ชื่อเสียงของจวนขุนนางมีมลทิน พวกเขามองอย่างลังเลแล้วหันกลับไปมองพ่อบ้านม่อ 

 

 

ม่อไคไหลคาดว่าอีกไม่นานจะถึงเวลาที่คุณหนูใหญ่ต้องออกเรือนแล้ว จะได้ไม่ทำให้งานเฉลิมฉลองต้องเสื่อมเสีย จึงสั่งให้องครักษ์ถอยออกมาก่อนแล้วจะเข้าไปเกลี้ยกล่อมไป๋อิ๋งด้วยตัวเอง แต่แล้วคุณหนูใหญ่ก็ก้าวออกมาจากขอบประตู พร้อมด้วยคำพูดเย็นชาที่แม้เสียงไม่ดัง แต่กลับฟังดูหนักแน่นและน่าเกรงขาม “เสียงดังอะไรกัน นี่บ้านตระกูลอวิ๋นกลายเป็นตลาดสดไปแล้วอย่างนั้นหรือ?” 

 

 

เมื่อปี้อิ๋งเห็นเงาที่คุ้นเคยทอดมายังทางเดิน ถึงกับร้องไห้ปล่อยโฮออกมา “คุณหนูใหญ่…” 

 

 

ม่อไคไหลก้าวออกมาข้างหน้าเล็กน้อยแล้วกระซิบ “แม่นางปี้อิ๋งผู้นี้เข้ามาเพื่อบอกคนรับใช้ว่าคุณหนูรองกำลังป่วยเมื่อไม่นานมานี้ นางอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวด้านนอกตัวเรือนโดยที่ตระกูลโหวไม่ได้เรียกหมอมาดู จนตอนนี้อาการนางทรุดหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันทำได้เพียงเรียกชื่อคนในครอบครัวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างต้องการพบหน้า คนรับใช้เคยพูดกับนางผู้นี้แล้วว่า ตอนนี้ฮูหยินอยู่ภายในห้องโถงของบรรพบุรุษที่อยู่ด้านในของห้องพระเล็ก ท่านอาจารย์บอกไว้ว่าไม่อนุญาตให้ใครเข้าออก แต่คาดไม่ถึงว่าแม่นางปี้อิ๋งผู้นี้จะแอบย่องเข้ามาอ้อนวอนถึงหน้าชานเรือนของคุณหนูใหญ่ ขอคุณหนูใหญ่ได้โปรดอภัยให้กับความเลินเล่อของคนรับใช้ด้วยเถิด” 

 

 

ณ ขณะนี้ ปี้อิ๋งร้องไห้อ้อนวอนจนเสียงแหบแห้ง “คุณหนูใหญ่ ตั้งแต่ตอนนั้นที่ตระกูลโหวปล่อยให้คุณหนูรองอาศัยอยู่นอกตัวเรือน โดยที่ท่านก็ไม่เคยแยแสนางอีกเลย แม้กระทั่งข้าวยังเป็นอาหารเย็นชืดเหลือกินจากคนใช้เสียด้วยซ้ำ ช่างน่าตกใจยิ่งนักที่คุณหนูรองไม่เคยจะผ่านแต่ละวันไปด้วยดีเลย เหล่านี้คือความสะสมจนทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย ในตอนนี้แม้แต่หมอสักคนตระกูลโหวก็ไม่เคยเรียกให้มาดูอาการ อาการเจ็บป่วยกำลังจะทำให้คุณหนูรองต้องตาย!” ร่างที่สั่นเทาว่าพลางหยิบเอาผ้าคลุมสกปรกออกมาสองสามผืนแล้วย่อตัวคลานไปที่ด้านหน้าขาของอวิ๋นหว่านชิ่น แล้วจึงกางผ้าคลุมออกทีละผืน ที่บนนั้นมีคราบเลือดสีดำแผ่กระจายอยู่จนน่าตกใจ “ท่านดูเถิด มันคือเลือดของคุณหนูรองที่อาเจียนออกมาทั้งหมด… ในเวลานี้คุณหนูรองได้แต่ร้องไห้นึกเสียใจอยู่บนเตียงทุกวัน พร่ำบอกว่าที่ผ่านมาตนเองช่างไม่รู้อะไรเลย เหยียบย่ำความหวังดีของพี่สาว มาตอนนี้ไม่ต้องการร้องขออะไรอีกแล้ว เพียงแค่ก่อนตายได้พบหน้านางผู้นั้น ได้พูดขอโทษคุณหนูใหญ่… คุณหนูใหญ่ คุณหนูของบ่าวได้สำนึกผิดแล้ว ใจที่เคยเป็นสีดำไม่มีอีกแล้ว วันนี้นางป่วย ดูท่าจะไม่ไหวแล้ว ท่านได้โปรดช่วยตอบสนองความต้องการสุดท้ายของนาง ไปอยู่เคียงข้างนางด้วยเถิด…”  

 

 

ปี้อิ๋งพูดด้วยน้ำเสียงราวกับคนร้องไห้เป็นสายเลือด ทั้งยังก้มหัวขึ้นลงหลายครั้ง 

 

 

ทุกสายตาจ้องมองไปที่คราบเลือดบนผ้าคลุมขณะที่ฟังคำพูดของปี้อิ๋งอดที่จะเห็นใจไม่ได้ กระทั่งองครักษ์ทั้งสองที่เมื่อสักครู่จะเข้าไปลากตัวปี้อิ๋งรวมถึงมอมอก็ยังลังเลเช่นกัน แม้ว่าคุณหนูรองผู้นั้นในวัยสาวจะเป็นคนขี้หยิ่งผยอง เต็มไปด้วยอารมณ์โทสะ แต่ตอนนี้ช่างน่าเวทนา ชวนน่าสงสารยิ่งนัก ยิ่งถ้ามองอย่างมีเหตุผล แม้ผู้ที่แต่งงานออกเรือนไปจะเปรียบได้ดั่งละอองน้ำที่ถูกสาดกระเซ็น แต่เมื่อนางกำลังจะตาย ถึงกับให้สาวใช้มาอ้อนวอนขนาดนี้แล้วถ้าไม่ส่งใครสักคนในครอบครัวไปดูสักหน่อย ข่าวลือที่กระจายออกไปคงไม่พ้นว่าคนในเรือนใหญ่ช่างเย็นชาและเลือดเย็นเสียจริง ชื่อเสียงก็จะไม่เป็นที่น่าพอใจ 

 

 

ปี้อิ๋งหอบเอากองเลือดเหล่านี้ด้วยท่าทางร้องไห้สะอื้นเตรียมจะเดินออกไป อดทำให้ผู้คนพูดคุยสงสัยกันอย่างเสียไม่ได้ 

 

 

เมื่อไร้ซึ่งนาย สาวใช้ผู้นี้ก็ไร้ซึ่งที่พึ่งพา ปราศจากสิ่งใดทั้งหมด นั่นทำให้ต้องแบกหน้าไร้ยางอายมาเพื่อพูดอะไรสักอย่าง แม้อาจจะทำให้ตระกูลอวิ๋นต้องเสื่อมเสีย แต่อย่างไรเสียก็ต้องมาด้วยตัวเอง นั่นเพราะตอนนี้นายของบ้านไม่มีใครอยู่เลย ม่อไคไหลเหลือบมองคุณหนูใหญ่ “คุณหนูใหญ่ ไม่อย่างนั้นให้บ่าวไปที่ห้องโถงบรรพบุรุษสักหน่อย…” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกลับพูดขึ้น “ชูซย่า ไปหยิบเสื้อคลุมมาให้ข้า” ชูซย่ารู้ว่าวันนี้ที่เรือนไม่มีใครอยู่ คุณหนูใหญ่ก็ไม่ยอมปล่อยให้คนตระกูลไป๋ให้ออกไปอีก นางต้องไปทำหน้าที่ตรงนั้นแทน มิฉะนั้นปี้อิ๋งคงไม่หยุดมาตามตื้อ ซ้ำอาจทำให้คนภายนอกเอาเรื่องไปพูดมั่วซั่ว พอคิดได้จึงทำตามที่คุณหนูใหญ่สั่ง รีบไปหยิบเสื้อคลุมมาให้นาง 

 

 

ปี้อิ๋งรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งนัก โขกศีรษะคำนับให้อีกหลายที “ขอบพระคุณมากคุณหนูใหญ่ แม่คุณหนูรองจะต้องดีใจมากแน่ๆที่ได้พบท่าน!”  

 

 

ม่อไคไหลจัดการเตรียมรถให้ อวิ๋นหว่านชิ่นและชูซย่าพาปี้อิ๋งขึ้นไป รถออกเดินทางไปเรื่อยๆ เพื่อไปยังเรือนเล็กด้านหลังจวนกุยเต๋อโหว 

 

 

พอลงจากรถ ปี้อิ๋งปรี่ตัวนำอวิ๋นหว่านชิ่นและคนรับใช้เข้าไปข้างใน คราบน้ำตาบนใบหน้านั้นยังไม่แห้ง น้ำเสียงยังคงสั่นเครือ “คุณหนูใหญ่ นี่คือบ้านที่ตระกูลโหวจัดเตรียมให้สำหรับคุณหนูรอง เชิญเข้ามาเจ้าค่ะ คุณหนูรองพักอยู่ที่นี่ นางป่วยอยู่ที่เตียงจนไม่สามารถลุกขึ้นมามาต้อนรับท่านได้ ขออย่าได้ตำหนินาง” ว่าจบ “เอี๊ยด” ตามด้วยเสียงเปิดประตูเก่าซอมซ่อบานเล็กดังขึ้น 

 

 

ชูซย่าเดินตามติดนายของตนพลางมองไปรอบๆ กระซิบเสียงเบา “คุณหนูใหญ่ ตระกูลโหวนี้ช่างทำได้ทำได้นะคะ ท่านคงจะเกลียดคุณหนูรองเข้าไส้เสียจริง ถึงได้ทำราวกับเป็นห้องเก็บนางบำเรอและให้นางอาศัยอยู่ในบ้านแบบนี้”  

 

 

ไม่ว่าอย่างไรนี่เป็นทางที่อวิ๋นหว่านเฟยเลือกด้วยตัวเอง ขี่หลังเสือแล้วจะลงก็ยาก 

 

 

ในเมื่อนางเลือกที่จะเกลี้ยกล่อมพี่เขยทีละนิดๆ จนมาถึงตอนนี้ ก็สมควรแล้วที่จะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองทำ 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งเงียบทำเพียงแค่เดินเข้าไปในเรือนเท่านั้น