ตอนที่ 49 ฉันอยากมีบ้านสักหลัง

Perfect Superstar

ตอนที่ 49 ฉันอยากมีบ้านสักหลัง

เวลาเที่ยงคืน หลายคนกำลังนอนหลับอย่างมีความสุข

แต่สำหรับคนส่วนน้อยแล้ว ชีวิตยามกลางคืนของพวกเขาเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น

การแสดงมายากลด้านหน้าเวทีจบลง พี่น่าจึงเดินขึ้นไป

เวทีการแสดงของบาร์เดย์ลิลลี่ไม่ได้ใหญ่มาก เธอจึงนับไม่หวาดไม่ไหวว่าตัวเองร้องเพลงที่นี่ไปกี่เพลงแล้ว ต่อให้หลับตาเดินก็ยังยืนอยู่ในตำแหน่งนี้ได้อย่างคุ้นเคย

ทว่าพี่น่าในค่ำคืนนี้กลับตื่นเต้นเป็นพิเศษ เหมือนอารมณ์ของการไปเดทครั้งแรกกับแฟนในตอนนั้น ต่อให้ผล ลัพธ์จะไม่สวยงามเท่าไร แต่รสชาติในการหวนรำลึกก็คุ้มค้าอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อเผชิญหน้ากับลูกค้าที่รู้จักและไม่รู้จักสองร้อยกว่าคน เธอจึงกำไมค์ในมือแน่น

เพื่อการร้องเพลงในครั้งนี้ พี่น่าเตรียมตัวหนักมากจริงๆ และดึงวงเฮสิเทชั่นมาฝึกฝนครั้งแล้วครั้งเล่า

ถึงแม้ต้าฉินจะสนับสนุนและไม่ถือสาอะไรมาก แต่เธอก็รู้สึกขอโทษเพื่อนของตัวเอง

เพราะฉะนั้น เธอจึงไม่อนุญาตให้ตัวเองร้องพลาดเด็ดขาด!

ด้านหลังของพี่น่า ฉินฮั่นหยางกำลังพาวงเฮสิเทชั่นขึ้นเวที

พวกเขาจะเล่นดนตรีประกอบการร้องเพลงของพี่น่า

สุดท้ายก็คือลู่เฉิน

ก่อนที่จะมาถึงบาร์เดย์ลิลลี่ ลู่เฉินคิดไม่ถึงว่า ตอนที่ฉินฮั่นหยางกำลังเรียบเรียงเนื้อเพลงใหม่ได้เหลือตำแหน่งให้ตัวเองด้วย เสียงประกอบของกีตาร์เล็กๆ สองจังหวะนั้นง่ายและเบามาก แต่ความหมายกลับไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง

ถือว่าเป็นการเซอร์ไพรส์เล็กๆ!

แปะๆๆ!

พี่น่ายังไม่ร้องเพลง เสียงปรบมือในบาร์ก็ดังขึ้นแล้ว

คืนนี้คนที่มาเที่ยวในบาร์เดย์ลิลลี่ มีลูกค้าประจำที่พี่น่าคุ้นเคยและรู้จักอยู่หลายคน และก็ยังมีเพื่อนในแวดวงของเธอไม่น้อย ทุกคนต่างก็รู้ว่าเธอจะร้องเพลงใหม่

“พี่น่าสู้ๆ!”

เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นกับเสียงผิวปากก็ทยอยดังขึ้นมา ทำให้บรรยากาศในบาร์เริ่มสนุกสุดขีด

และยังทำให้นัยน์ตาของพี่น่ามีน้ำตาเป็นประกายเพิ่มเข้ามา

เธอผ่านประสบการณ์และลมฝนมามาก ชีวิตคนเรามีทั้งขึ้นและลง เธอจึงไม่ค่อยยอมแพ้อะไรง่ายๆ!

“ขอบคุณ ขอบคุณทุกคนจริงๆ ค่ะ!”

พี่น่าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ชูไมค์ขึ้นมาแล้วพูดว่า “ดีใจมากที่คืนนี้มีเพื่อนมาเที่ยวหลายคน ฉันดีใจและมีความสุขมากจริงๆ ค่ะ ขอมอบเพลงขอบคุณให้กับพวกคุณก่อนนะคะ!”

เพลง ‘ขอบคุณนะ’ เป็นผลงานเพลงซอต์ฟร็อกที่เคยดังในยุค 90 ท่วงทำนองดนตรีเต็มไปด้วยเลือดลมที่พลุ่งพล่านและความมีชีวิตชีวา เนื้อเพลงก็สดใส แฝงไปด้วยพลังในความพยายามเพื่อความก้าวหน้า

เสน่ห์ของเพลงคลาสสิคจะไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา ตรงกันข้ามกลับยิ่งกลมกล่อมมากขึ้น ทุกวันนี้เพลงนี้ก็มีคนนำไปเรียบเรียงใหม่จำนวนนับไม่ถ้วน และในบาร์โฮ่วไห่มักจะได้ยินอยู่บ่อยครั้ง มีมากมายหลายเวอร์ชั่น

ลู่เฉินเองก็เคยร้องเพลง ‘ขอบคุณนะ’ ที่นี่เหมือนกัน

สไตล์การร้องเพลงของพี่น่าต่างกับเขาอย่างสิ้นเชิง ภายใต้การบรรเลงดนตรีประกอบของวงเฮสิเทชั่น เธอค้นพบจิตวิญญาณของเพลงอย่างลึกซึ้ง ใช้เสียงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวร้องเพลงให้มีกลิ่นอายของเพลงร็อคที่แท้จริงออกมา

“ขอบคุณ ที่คุณอยู่เป็นเพื่อน ทุกช่วงชีวิตของฉัน ให้ฉันได้เห็นแสงแดด ให้ฉันได้มีพลัง!”

“ขอบคุณ ที่คุณเคยสนับสนุนโดยไม่บ่น ให้ฉันได้หลุดพ้นจากความมืดมิด ให้ฉันไม่อ่อนแออีกต่อไป!”

“ขอบคุณ!”

พอจบเพลง เสียงปรบมือก็ดังกระหึ่มไปทั้งบาร์

ถึงแม้จะเป็นเพลงอุ่นเครื่องเท่านั้น แต่การแสดงของพี่น่าก็โดดเด่นมาก ทั้งเทคนิคและความรู้สึกล้วนแสดงได้ถึงอารมณ์ บ่งบอกถึงประสบการณ์และพลังเสียงที่ลึกซึ้ง ไม่เสียแรงที่เป็นนักร้องมีตำแหน่งพี่ใหญ่ของบาร์เดย์ลิลลี่

ลูกค้าที่อยู่ในร้านมีคนมากมายที่เข้าใจสายดนตรี พอได้ฟังแล้วก็ปรบมือให้เต็มที่

“ขอบคุณค่ะ!”

เมื่อร้องเพลง ‘ขอบคุณนะ’ เสร็จแล้ว พี่น่าจึงโค้งคำนับขอบคุณทุกคนอย่างมีมารยาท

รอให้เสียงปรบมือสงบลง เธอจึงพูดต่อ “ต่อไปฉันจะร้องเพลงที่สอง เชื่อว่าหลายคนก็รู้แล้ว ว่าเป็นเพลงใหม่ และฉันก็เตรียมเพลงใหม่มานานมากแล้ว!”

“และเพลงนี้ ก็เป็นเสี่ยวลู่หนุ่มอัจฉริยะทางด้านดนตรีของพวกเราที่เขียนให้ฉันโดยเฉพาะ!”

พี่น่าหมุนตัวมองไปที่ลู่เฉินที่นั่งอยู่กับวงเฮสิเทชั่น เผยแววตาขอบคุณออกมาจากนัยน์ตา

หนุ่มอัจฉริยะด้านดนตรีเพิ่งถูกพูดถึงในแวดวงของโฮ่วไห่ ถือเป็นฉายาใหม่ของลู่เฉิน

แวดวงในโฮ่วไห่ไม่กว้างนัก เพราะฉะนั้นไม่ว่าข่าวอะไรก็จะแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วเสมอ การขายผลงานเพลงต้นฉบับสองเพลงด้วยราคาสูงจนน่าตกใจในงานคาร์นิวัลไนท์ของเขา ได้ถูกแพร่กระจายไปในวงการนี้นานแล้ว

บวกกับที่ลู่เฉินร้องเพลง ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ กับเพลง ‘’ซินเดอเรลล่า’ ในบาร์เดย์ลิลลี่มาตลอด จึงทำให้ฉายานี้ของเขาเป็นจริงสมคำร่ำลือ

พี่น่าจึงพูดเสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค “หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือ น่าจะเป็นเสี่ยวลู่หนุ่มหล่ออัจฉริยะทางดนตรีของพวกเราค่ะ!”

“เสี่ยวลู่หนุ่มหล่ออัจฉริยะทางดนตรี!”

เสียงปรบมือและเสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกัน ลู่เฉินลุกขึ้นกอดกีตาร์อย่างอายมาก โบกมือให้กับทุกคน

พวกคุณไม่ต้องมองหนุ่มหล่อได้ไหม ตัวเอกในคืนนี้ก็ไม่ใช่ฉันนะ!

วินาทีต่อมา เสียงดนตรีในท่อนแรกก็ดังขึ้น

แสงไฟสปอตไลท์บนเวทีส่องไปที่ตัวของพี่น่า เธอจึงกลายเป็นจุดเด่นที่น่าจับตามองของงาน

“เพลงนี้มีชื่อว่า ฉันอยากมีบ้านสักหลัง”

เธอเก็บรอยยิ้มมองไปที่ผู้ชม หลับตาลงครึ่งหนึ่งอย่างเงียบๆ เพื่อฟังการบรรเลงดนตรีในท่อนแรก

จากนั้นเธอจึงเริ่มร้องเพลงที่เธอฝึกมากี่ครั้งก็ไม่รู้อย่างเป็นธรรมชาติ

“ฉันอยากมีบ้านสักหลัง

ไม่จำเป็นต้องเป็นสถานที่สวยหรู

ยามที่ฉันเหนื่อยล้า

ฉันสามารถนึกถึงมันได้

ฉันอยากมีบ้านสักหลัง

ไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่ใหญ่มาก

ยามที่ฉันตกใจ

ฉันจะได้ไม่กลัว

…”

ทำนองดนตรีที่ไพเราะน่าฟัง กับเนื้อเพลงที่เขียนออกมาอย่างจริงใจเข้ากับทำนองดนตรีอย่างลงตัว ภายใต้การโชว์เสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ของพี่น่า ดูเหมือนจะมีสายน้ำไหลอยู่ในหัวใจของทุกคน สัมผัสกับจิตวิญญาณ!

“…

ใครบ้างไม่คิดถึงบ้าน

แต่มีบางคนไม่มีมัน

น้ำตาไหลอาบหน้า

ได้แต่เช็ดให้ตัวเองเบาๆ

ฉันอิจฉาเขาจริง

พอบาดเจ็บก็กลับบ้านได้

แต่ฉันต้องโดดเดี่ยว

ตามหาบ้านของฉันอย่างโดดเดี่ยว

…”

น้ำตาเอ่อขึ้นมาจากนัยน์ตาของพี่น่าอีกครั้ง เธอหลับตา เพราะกลัวว่าน้ำตาจะไหลลงมา

ครอบครัวที่มีความสุขมักจะเหมือนกัน และครอบครัวที่ไม่มีความสุขก็มักจะมีความโชคร้ายที่แตกต่างกันไป ครอบครัวที่พี่น่าเกิดมาเป็นครอบครัวที่ไม่มีความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย เธอออกมาจากบ้านใช้ชีวิตข้างนอกตั้งแต่อายุยังน้อย ผ่านไปยี่สิบกว่าปีก็ยังไม่เคยกลับบ้านสักครั้ง

เพราะว่าบ้านหลังนั้นไม่มีอีกแล้ว เป็นความทรงจำที่ห่างไกล อยากได้แต่กลับลืม

ทว่าส่วนลึกที่อยู่ในใจของเธอ มีหรือจะไม่อยากครอบครองบ้านที่เป็นของตัวเองจริงๆ!

น้ำตาไหลลงมาเพราะกลั้นไม่อยู่แล้ว และเสียงบรรเลงดนตรีกับเสียงเพลงกลับยิ่งดุเดือดขึ้น

“…

ถึงแม้ฉันจะไม่เคยมีบ้านที่อบอุ่น

แต่ฉันก็ค่อยๆ เติบโตอย่างช้าๆ

ขอเพียงมีความรักเต็มเปี่ยมหัวใจ

ก็จะถูกรักและใส่ใจ

ไม่อาจบ่นว่าใคร

ทุกอย่างต้องอาศัยตัวเองเท่านั้น

ถึงแม้คุณจะมีบ้านไม่ขาดเหลืออะไร

แต่ทำไมมองไม่เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของคุณ

พูดว่าไม่มีความรักตลอดไป

ไม่กลับบ้านทั้งวัน

อายุที่เหมือนกัน

จิตวิญญาณไม่เหมือนกัน

ให้ฉันได้มีบ้านสักหลังที!

…”

เสียงร้องเพลงที่เปล่งออกมาระบายอารมณ์ความรู้สึกออกมาเต็มที่ในขณะเดียวกัน พี่น่าพยายามอดทนไม่มองใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างล่างเวทีในตอนนี้ เพราะเธอกลัวว่าสายตาของตัวเองจะเผยความในใจของเธอออกมา กลัวการเจ็บปวดที่ถูกปฏิเสธ

เธอถูกปฏิเสธมามากเหลือเกิน

ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่แข็งแกร่งและมองโลกในแง่ดีของเธอ ได้แอบซ่อนหัวใจที่เปราะบางดวงหนึ่งเอาไว้

ร้องจบรอบแรกไปแล้ว เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง ด้วยความอบอุ่นและเป็นระเบียบ

หลายคนปรบมือและยืนขึ้น ใช้แรงในการปรบมือ กระทั่งบางคนก็มีน้ำตาเอ่ออยู่ในนัยน์ตา

พวกเขาก็เหมือนกับพี่น่า อยู่ในเมืองหลวงหลายปี ถึงแม้บางคนจะมีกิจการประสบความสำเร็จแล้ว บางคนมีเงินเดือนหลายแสน อาศัยอยู่ในโรงแรมอพาร์ทเม้นท์ดีๆ แต่ก็ต้องแบกรับภาระค่ารถและและเงินดาวน์บ้าน

แต่พวกเขาก็เคยอาศัยอยู่ในห้องพักรูหนูมาก่อน เคยเบียดแออัดอยู่ในรถไฟฟ้าใต้ดินมาก่อน เคยกินบะหมี่ประทังชีวิตติดต่อกันวันแล้ววันเล่า ต้องเผชิญหน้ากับความลำบากและความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน งานที่ยุ่งทุกวันกับการเข้าสังคมที่เย็นชาเหมือนกับศพเดินได้

ตอนนั้น กระทั่งพวกเขาในตอนนี้ก็อยากจะมีบ้านที่อบอุ่นสักหลัง อยากมีสามีหรือภรรยาที่อ่อนโยนเอาใจใส่คนหนึ่ง แล้วก็มีลูกที่น่ารักเป็นเด็กดีคนหนึ่ง สามารถออกไปเที่ยวนอกบ้านทั้งครอบครัวในวันสุดสัปดาห์อย่างมีความสุข

ไม่ว่าจะเจออะไรมาจากนอกบ้าน แต่บ้านคือท่าเรือที่เงียบสงบตลอดไป เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไว้รักษาบาดแผล!

เพลง ‘ฉันอยากมีบ้านสักหลัง’ ร้องโดนใจใครหลายคน กระตุ้นเสียงขานรับจิตวิญญาณของพวกเขาให้เกิดความรู้ สึกเหมือนกัน จนพวกเขาควบคุมตัวเองไม่ได้!

“ฉันอยากมีบ้านสักหลัง ไม่จำเป็นต้องเป็นสถานที่สวยหรู!”

ลู่เฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้ดนตรี กอดกีตาร์มองพี่น่าบนเวที แต่ใจกลับลอยไปไกลหลายหมื่นลี้

วินาทีนี้ เขารู้สึกคิดถึงบ้านของตัวเองเป็นพิเศษ!

…………………………………………………………………………

Ink Stone_Fantasy
ข้อความถึงนักอ่าน
Ink Stone_Fantasy
เพลง 我想有个家 โดย 潘美辰 https://www.youtube.com/watch?v=tNsdueoDERg&ab_channel=%E5%8A%89%E5%9C%8B%E8%8F%AF