บทที่ 274: เอกสารหัวสีแดงฉบับแรก (2)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 274: เอกสารหัวสีแดงฉบับแรก (2)

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องพวกนี้

ฉินเย่ลอบสังเกตแววตาของเหล่าวิญญาณทั้งหมด บางตนแสดงถึงความกังวล บางตนเผยถึงความหวาดหวั่น ในขณะที่ตนอื่น ๆ กำลังครุ่นคิด แทนที่จะกังวลเกี่ยวกับการป้องกันจากกองกำลังภายนอก มันจะเป็นการดีกว่าที่จะให้ความสำคัญกับการสร้างกองกำลังและความมั่นคงภายในให้ได้เสียก่อน จีน… ไม่สิ มณฑลอันฮุ่ยยังไม่สามารถนับว่าเป็นอาณาเขตของพวกเขาได้ด้วยซ้ำ มันคงจะเร็วเกินไปหากจะเริ่มหันดาบใส่ส่วนอื่น ๆ ของโลกในเวลานี้

นอกจากนั้น ด้วยความขัดแย้งในประวัติศาสตร์แล้ว เขาค่อนข้างมั่นใจว่าอานูบิสจะต้องมารออยู่ที่หน้าประตูบ้านของพวกเขาพร้อมกับทหารวิญญาณกว่าร้อยล้านตนเป็นแน่เมื่ออีกฝ่ายรับรู้ถึงสภาพของยมโลกในตอนนี้

เวลาเริ่มน้อยลงทุกที…

พวกเรากำลังพูดถึงระยะเวลาอย่างมากที่สุด 200 – 300 ปี หากถึงตอนนั้นเราไม่สามารถเติมเต็มช่องว่างนี้ได้ มันก็ไม่มีทางที่โลกใต้พิภพอื่น ๆ จะยอมแสดงความมีเมตตาเพียงเพราะเขาเป็นจ้าวนรกที่น่ารักแน่นอน

อันที่จริงเขาอาจจะถูกหมายหัวคนแรกเลยด้วยซ้ำ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก เขาเคาะโต๊ะเบา ๆ “พวกเราสามารถพูดคุยเรื่องนี้กันในภายหลังได้ แต่ตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการพัฒนาภายใน… ทีนี้ เรามาพูดถึงเรื่องที่สามกันเลย นี่เกี่ยวข้องกับระบบการเงินของยมโลกด้วย”

“ตลอดหนึ่งเดือนข้างหน้านี้ ข้าอยากให้ทุกตนมุ่งความสนใจทั้งหมดไปกับการพัฒนาระบบการเงินและระบบการเช่ายืม แต่ทันทีที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อย และสิ่งของทั้งหมดถูกยืนยัน พวกเราจะต้องเข้าสู่การวางแผนสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในยมโลกทันที”

“ข้าได้นำวัสดุที่จำเป็นสำหรับการจัดตั้งสายการผลิตต่าง ๆ มาด้วยแล้ว ทั้งหมดนี้จะเป็นอุตสาหกรรมใหม่ของยมโลก แล้วเราจะเก็บสินค้าที่ผลิตออกมาไว้ที่ใดดี ?”

ดวงตาของหวงเลี่ยงชวนเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย มันมีบางอย่างที่เขาอยากจะพูด แต่ชายสูงวัยก็พยายามข่มกลั้นมันเอาไว้ด้วยความยากลำบาก

เขา… เพิ่งตระหนักถึงปัญหาใหญ่บางอย่าง

อันที่จริง นี่เป็นปัญหาที่แม้แต่ฉินเย่ก็อาจจะไม่สังเกตเห็น แต่มันก็เป็นปัญหาสำคัญที่เขายังไม่สามารถเอ่ยออกไปได้ในตอนนี้ เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็ต้องไว้หน้าว่าที่จ้าวนรกและไม่ทำลายเกียรติของอีกฝ่ายต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก

ฉินเย่เอ่ยต่อ “ดังนั้น… เหล่ากู่ ข้าเกรงว่าแผนการที่ท่านเสนอมาอาจจะต้องได้รับการทบทวนดูอีกที หรืออาจจะต้องแก้ไขอะไรบางส่วน”

กู่ชิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ

จากนั้น ฉินเย่ก็ทำท่าราวกับคว้าอะไรในอากาศ และจากนั้นภาพ ๆ หนึ่งก็ก่อตัวขึ้นกลางอากาศ มันคือภาพของแผนที่ภาพรวมของยมโลกในปัจจุบัน เด็กหนุ่มชี้มันและเอ่ยต่อ “ด้วยเหตุนี้ เรื่องที่สามที่เราจะพูดถึงกันก็คือการสร้างย่านค้าขายขึ้นในยมโลก นี่คือสถานที่ซึ่งสินค้าที่ถูกผลิตโดยยมโลกจะถูกจัดเก็บและขาย ส่วนที่ตั้งชั่วคราวของมันก็น่าจะเป็นบริเวณใกล้กับประตูนรก เหล่ากู่ ข้าอยากให้ท่านคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยละเอียด ส่วนชื่อของมัน เราจะเรียกว่า… ย่านสี่ลู่ (ทางตัน)…”

อะไรนะ ?!

ทุกตนที่นั่งอยู่ภายในโถงต่างเงยหน้าขึ้นมามองอย่างตกตะลึงและจ้องมองฉินเย่ราวกับตนเพิ่งเห็นผี เรา… ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการจัดตั้งย่านการค้า และมันก็สมเหตุสมผลอยู่แล้วที่พวกเขาจะจัดหาจุดในการจัดเก็บและกระจายสินค้า แต่ท่านช่วยคิดชื่อที่ดีว่า ‘ทางตัน’ ไม่ได้หรืออย่างไร ? นี่ท่านต้องการให้มันออกมาเป็นแบบไหนกันแน่ ?!

โดยไม่แม้แต่จะสนใจความตื่นตระหนกที่ตนได้สร้างขึ้น ฉินเย่เอ่ยต่อ “เขตค้าขายจะต้องได้รับการปรับปรุงเพื่อให้เชื่อมต่อกับย่านที่อยู่อาศัย ดังนั้นสิ่งต่อไปที่เราจะต้องให้ความสนใจก็คือการคมนาคม ซึ่งในกรณีนี้ พวกเราจำเป็นต้องมีถนน ยมโลกจะไม่ได้มีขนาดเล็กเพียงเท่านี้ตลอดไป”

อาร์ทิสแทรกขึ้น “ใช่แล้ว ครั้งนี้พวกเราได้นำวัตถุศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาด้วย ด้วยพลังหยินที่กักเก็บอยู่ภายในสมุดแห่งความเป็นตาย พวกเราเพียงแค่ต้องติดตั้งมันลงในจุดที่เหมาะสม และยมโลกก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งทันที”

ฉินเย่หันไปมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก นี่เป็นข่าวที่วิเศษไปเลย !

เขารู้ว่าการทำให้ยมโลกมีขนาดเท่าเมืองนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาต้องรีบดำเนินการ เพราะสุดท้ายแล้วอสูรวิญญาณจะปรากฏตัวขึ้นก็ต่อเมื่อยมโลกขยายเป็นขนาดของเมืองแล้วเท่านั้น นอกจากนี้มันยังมีระบบอื่น ๆ ของยมโลกที่จะต้องรอจนกว่ายมโลกจะขยายตัวอีกด้วย ดังนั้นหากยมโลกขยายจากหมู่บ้านเป็นเขตในตอนนี้ มันก็จะเหลืออีกเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้นก่อนที่จะขยายเป็นระดับเมือง !

แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาดื่มด่ำกับความสุขและความตื่นเต้นแต่อย่างใด สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขาตอนนี้สำคัญที่สุด

“นั่นนับว่าเป็นข่าวดีไม่น้อย” เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และข่มหัวใจที่เต้นแรงของตนเอง “เมื่อยมโลกขยายใหญ่ขึ้น พวกเราก็จะเริ่มเห็นการพัฒนาของเมืองอื่น ๆ ที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ดังนั้นเราจึงต้องการทางหลวงเพื่อเดินทางไปมาระหว่างเมืองต่าง ๆ ข้าจึงตัดสินใจที่จะมองกาลไกลและวางแผนสำหรับการก่อสร้างทางหลวงสายแรกของยมโลก ถนนหวงเฉวียน (ถนนน้ำพุเหลือง)”

เงียบ

ฉินเย่ไม่ค่อยพอใจนัก

มันหมายความว่าอย่างไรกัน ?

พวกเจ้าแสดงสีหน้าแบบนั้นกับการตัดสินใจอันแสนฉลาดของว่าที่จ้าวนรกผู้นี้ได้อย่างไร ?

ดังนั้นเขาจึงเริ่มปรบมือให้กับการตัดสินใจของตนเอง

มันควรจะมีเสียงปรบมือดังขึ้นที่นี่

ผู้ฟังทั้งหมด รวมถึงอาร์ทิสต่างกะพริบตาปริบ ๆ ขณะที่ปรบมือกับการตัดสินใจของฉินเย่ไม่โดยปริยาย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่ออาร์ทิสได้สติ นางก็ถามคำถามที่อยู่ภายในใจของวิญญาณทุกตนออกไป “นี่… เจ้าคิดจะใช้ชื่อนี้จริง ๆ น่ะหรือ ?”

มันแย่จนวิญญาณทั้งหมดอยากจะยอมแพ้ !

แค่การที่ย่านค้าขายใช้ชื่อว่า ‘สี่ลู่’ มันก็แย่เพียงพออยู่แล้ว แต่เจ้ากลับเรียกทางหลวงของเราว่า ‘ถนนหวงเฉวียน’ เนี่ยนะ ?! นี่เจ้าต้องการจะแสดงความเคารพต่อการจากไปของเราโดยเร็วที่สุดหรืออย่างไร ? เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเหล่าสหายในแดนมนุษย์จะเสียใจเพียงใดเมื่อได้รู้เกี่ยวกับการพัฒนานี้ ?!

ฉินเย่มองผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด ไม่เข้าใจปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย เขากระแอมออกมาเบา ๆ และเอ่ยต่อ “ก่อนที่เราจะพูดต่อ ข้าขอถามได้หรือไม่ว่ายมโลกแห่งเก่ามีระบบการบินหรือเปล่า ?”

“มี” อาร์ทิสเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ของตนและเงยหน้ามองหลังคา “หากพูดให้ถูกก็คือพวกมันคืออสูรวิญญาณที่สามารถบินได้เร็วพอ ๆ กับเครื่องบินในยุคปัจจุบัน ส่วนที่แปลกที่สุดเกี่ยวกับอสูรพวกนี้ก็คือมันมีห้วงมิติอยู่ภายในร่างกาย”

“ดีเลย” ฉินเย่พยักหน้าและชี้ไปยังแผนที่ภาพรวมของยมโลก “เมื่อจำนวนเมืองในยมโลกเพิ่มมากขึ้น ถนนและทางหลวงก็จะไม่เพียงพอต่อการขนส่งอีกต่อไป ดังนั้นข้าเชื่อเหลือเกินว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะเริ่มสร้างสนามบินขึ้นเลย และสนามบินแห่งแรกก็ควรจะตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับประตูนรก เราจะตั้งชื่อมันว่า ‘สนามบินเจี้ยเฮ่อ’” [1]

ทั่วทั้งสถานที่ถูกปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้ง

ชื่อทั้งสามชื่อทำเอาวิญญาณทุกตนในที่ประชุมตกตะลึง !

‘ย่านสี่ลู่’ ‘ถนนหวงเฉวียน’ และ ‘สนามบินเจี้ยเฮ่อ’… ไม่มีชื่อไหนที่เท่ห์ไปกว่านี้อีกแล้ว !

“พวกเจ้ามีปัญหากับเรื่องชื่อของมันอย่างนั้นหรือ ?”

“ไม่… ไม่เลยสักนิด…”

“ชื่อใดก็ได้ที่ท่านพอใจ…”

“พวกเราเพียงกำลังชื่นชมกับความคิดอันล้ำลึกของท่านก็เท่านั้น… ข้าคงต้องขอเวลาสักพัก…”

“นายท่าน… พวกเรา… สามารถเสนอชื่ออื่น ๆ ได้หรือไม่ ?”

ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงยืนกรานอย่างหนักแน่น “ไม่ ! ทันทีที่สิ่งเหล่านี้สร้างเสร็จ ข้าจะเป็นคนสลักชื่อของมันลงไปบนแผ่นเหล็กด้วยตัวเอง !”

อ่าาาา… พวกเราจะไม่ไปเข้าร่วมพิธีเปิดแน่นอน ! แค่คิดถึงภาพที่น่ากลัวนั่นก็ทำให้ข้าอับอายมากแล้ว !

การประชุมนี้ได้เผยให้เห็นถึงคลังคำศัพท์ของว่าที่จ้าวนรกองค์ถัดไปอย่างแท้จริง

“เอาล่ะ ในเมื่อไม่มีคำถามอะไรอีกแล้ว เราก็มาพูดถึงเรื่องสุดท้ายสำหรับวันนี้กันได้แล้ว” ฉินเย่กระแอมเบา ๆ “เราจะจัดตั้งกองกำลังทหารของยมโลกในเร็ว ๆ นี้ โอดะโนบูนางะจะเป็นรับตำแหน่งผู้บังคับบัญชาการทหารระหว่างนี้ จากประเด็นทั้งหมดที่เราพูดมา เรื่องแรกและเรื่องที่สองนั้นมีความสำคัญสูงสุด ในขณะที่เรื่องที่สามและสี่นั้นมีความสำคัญรองลงมา ข้าคิดว่าเราอาจจะต้องมาพูดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ในปีหน้า ที่ข้าบอกพวกเจ้าตอนนี้ก็เพื่อให้พวกเจ้าเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่จะมาถึงเท่านั้น”

เพราะอย่างไรแล้ว กู่ชิงก็ยังต้องการเวลาสำหรับตรวจดูแบบแผนของยมโลกทั้งหมดและแก้ไขมันหลังจากการประชุมในวันนี้อยู่ดี นอกจากนี้พวกเขายังต้องรอให้ถึงการขยายครั้งที่สองของยมโลกอีกด้วย ในขณะเดียวกันมันก็ยังต้องแบ่งกำลังวิญญาณในยมโลกเพื่อปรับใช้แผนกต่าง ๆ ของบริษัทก่อสร้างหยินเพื่อเริ่มงานเกี่ยวกับสนามบินและถนนอีกด้วย เรื่องมากมายพวกนี้ทำให้หัวของฉินเย่ปวดไปหมด

“มีผู้ใดมีคำถามอีกหรือไม่ ? หากไม่มี ข้าจะจบการประชุมของวันนี้ลงเท่านั้น อ้อ มีอีกเรื่องหนึ่ง รัฐมนตรีว่าการของยมโลกต่อจากนี้ไปคืออรากษส นางจะมาประจำอยู่ในยมโลก ดังนั้นเจ้าสามารถบอกนางได้เลยหากต้องการอะไร นอกเหนือจากนั้น ข้าอยากจะให้เนื้อหาการประชุมทั้งหมดในวันนี้ถูกเรียบเรียงและตีพิมพ์ออกมาเป็นเอกสารหัวแดง [2] ข้าจะทำตราประทับสำหรับเอกสารทางการเหล่านี้เอง สุดท้าย อย่าลืมรายงานความคืบหน้าให้ข้าทุกวัน ห้ามดำเนินการใด ๆ จนกว่าจะได้รับการอนุมัติจากข้าก่อน”

อาร์ทิสแทบอดใจไม่ไหวที่จะใช้เท้าของตัวเองตบไปที่หน้าของฉินเย่แรง ๆ สักที

ให้ตายเถอะ ! เราช่วยคุยกันดี ๆ ก่อนได้หรือไม่ ?! ข้าแค่นั่งอยู่เฉย ๆ สนใจเรื่องของตัวเอง และจู่ ๆ ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีของยมโลก ?! แน่นอนว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่ทั้ง ๆ ที่เจ้าทำงานหาเงินอยู่ที่แดนมนุษย์ เหตุใดข้าจึงต้องอยู่ที่นี่และทำตัวสวยเดินไปเดินมาด้วย ?!

ข้ายังไม่ได้เลื่อนเป็นระดับชาเลนเจอร์ด้วยซ้ำ !

นอกจากนี้ ข้าเองก็สามารถหาเงินได้เช่นกัน ! ผู้ใดบอกเจ้าว่าการถ่ายทอดสดไม่สามารถทำเงินได้ ? เจ้ากำลังจะบอกให้ข้าใช้เครื่องปั่นไฟพวกนี้หากข้าต้องการจะเล่นเกมคอมพิวเตอร์อย่างนั้นหรือ ? แล้วเรื่องการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเล่า ?! ข้าขอค้าน !!!

หากพูดกันตามความจริง อาร์ทิสไม่รู้สึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างขั้นตุลาการนรกของนาง และการไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้เลยสักนิด

วิญญาณทั้งหมดต่างพากันทยายออกไปจากห้อง รวมถึงอาร์ทิสที่หายตัวไปพร้อมกับเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ แต่ถึงแม้ว่านางจะไม่พอใจกับผลลัพธ์ของการประชุมนัก แต่นางก็ยังพึงพอใจกับข้อเท็จจริงที่ว่าการเคลื่อนไหวของฉินเย่เองก็ถูกจำกัดเช่นกัน เพราะอย่างไรแล้ว ภาคการศึกษาใหม่ก็กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า และนี่ก็จะเป็นภาคการศึกษาสุดท้ายก่อนที่การเรียนภาคปฏิบัติจะเริ่มขึ้น และนั่นก็ย่อมหมายความว่าฉินเย่จะมีอะไรให้ทำอีกมากเมื่อกลับไปที่สำนักฝึกตนแห่งแรก ดังนั้นนางจึงกัดฟันและตัดสินใจว่านางกลับไประบายความไม่พอใจนี้โดยการดาวน์โหลดซีรีส์ที่ตนดูอยู่มาเพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจที่เจ็บปวดของตนเอง

อินเทอร์เน็ตอาจจะไม่สร้างความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ให้กับชีวิตของมนุษย์ แต่มันจะต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตของตุลาการนรกตนนี้อย่างแน่นอน !

ฉินเย่เองก็ลุกขึ้นและเตรียมที่จะจากไปเช่นกัน เขายังมีเรื่องต้องไปคุยกับโนบูนางะอีก แต่ขณะที่เขากำลังจะกลายเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินและหายไปจากยมโลก เสียง ๆ หนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง “ท่านฉิน กรุณารอสักครู่”

หวงเลี่ยงชวน

ฉินเย่รีบสลายการแปลงกายของตนและถาม “มีอะไรหรือเปล่า ?”

หวงเลี่ยงชวนมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง หลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่มีคนอยู่ เขาก็กระแอมออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ท่านฉิน… เมื่อครู่นี้… ข้าสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างที่กวนใจข้ามาตลอด และข้าก็หวังว่าท่านจะสามารถให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ได้บ้าง”

ฉินเย่หัวเราะออกมาและนั่งลงอีกครั้ง จากนั้นจึงผายมือเชิญให้ชายสูงวัยนั่งลงเช่นกัน “เจ้าพูดมาเถิด ข้าไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรมากนัก”

อีกฝ่ายนั่งลงและเงียบไปครู่หนึ่งราวกับกำลังหาคำพูดที่เหมาะสมก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “ท่านฉิน เกี่ยวกับย่านค้าขาย ข้าสงสัยว่าผู้ใดจะมาซื้อสินค้าจากพวกเราอย่างนั้นหรือ ?”

“แน่นอนว่ามันก็…” ฉินเย่กำลังจะเอ่ยออกไปว่ามันก็ต้องเป็นประชากรของยมโลกอยู่แล้วสิ แต่ทันใดนั้นเขาก็ต้องกลืนคำพูดของตนลงไป

เขาไม่ได้โง่ แต่เขาก็ไม่เคยต้องรับผิดชอบงานที่ใหญ่เช่นนี้มาก่อน ดังนั้นทันทีที่ชายตรงหน้าถามเรื่องนี้ออกมา เด็กหนุ่มก็ตระหนักได้ทันทีว่าตนเองพลาดตรงไหนไป

ประชากรของยมโลกไม่มีกำลังซื้อมากนัก

สายการผลิตที่เขานำกลับมาที่ยมโลกนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับสินค้าที่ไว้ใช้ค้าขาย แต่มีเพื่อผลิตสิ่งของที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน แต่ของพวกนี้จะมีมูลค่ามากเท่าใดกัน ? และต่อให้ประชากรทุกตนในยมโลกซื้อของพวกนี้ คนละชิ้น มันก็จะหมดในเวลาไม่นาน เพราะอย่างไรแล้ว ยมโลกก็ยังขาดอะไรอีกมากมายหลายอย่าง ทุกอย่างที่พวกเขาผลิตออกมาย่อมต้องได้รับการให้ความสนใจทันที

แต่หลังจากที่ประชากรในยมโลกมีของนี้ทั้งหมดแล้วล่ะ ? พวกเขาจะขายของพวกนี้ให้กับใคร ?

หรือว่าพวกเขาจะไม่ขายมันอีกต่อไป ?

และเรื่องสายการผลิตล่ะ ? พวกเขาจะต้องปิดตัวลงหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อระบบการเงินเพิ่งถูกจัดตั้งขึ้น ? นั่นจะไม่เท่ากับการบังคับให้เลิกจ้างภายในระยะเวลาสั้น ๆ หลังจากที่เพิ่งรับตำแหน่งหรอกหรือ ? รัฐบาลจะยังสามารถรักษาหน้าอยู่ได้หรือไม่ ? ประชาชนจะยังเชื่อมั่นในคำพูดของรัฐบาลอยู่อีกหรือไม่หากนโยบายถูกเปลี่ยนอยู่บ่อย ๆ?

แล้วเงินอุดหนุนจากรัฐบาลล่ะ ?

นั่นจะไม่เป็นการทำให้เงินเก็บสะสมของพวกเขาหมดลงอย่างรวดเร็วหรืออย่างไร ? หากเป็นแบบนั้น… นอกจากจะไม่สร้างกำไรให้แล้ว มันยังทำให้พวกเขาต้องเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย และมันก็จะไม่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับประชาชนได้ ! อันที่จริง พวกมันอาจจะถูกนำมาใช้เหมือนกับของที่ใช้แล้วทิ้งเลยด้วยซ้ำ

เขายอมเสียเงินหลายร้อยล้านหยวนเพียงเพื่อสินค้าใช้แล้วทิ้งพวกนี่น่ะหรือ… แล้วเขาจะหาเหตุผลในการให้รางวัลตัวเองด้วยกาแฟบดด้วยมือในวันนั้นได้อย่างไร ?!

“เจ้าพอจะมีความคิดอะไรบ้างหรือไม่ ?” เมื่อตระหนักได้ถึงความรุนแรงของปัญหาตรงหน้า ฉินเย่ก็ลุกขึ้นยืน โชคดีที่ชายสูงวัยเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องพวกนี้ และเขาก็เห็นถึงปัญหาได้ตั้งแต่ที่มันจะเกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นการมาประสบปัญหาพวกนี้ภายหลังอาจจะกลายเป็นสิ่งกีดขวางชิ้นใหญ่สำหรับฉินเย่ก็เป็นได้

หวงเลี่ยงชวนกัดฟันแน่น “ในตอนแรก ข้ายังไม่มี แต่… หลังจากที่ท่านอรากษสได้พูดเกี่ยวกับสถานการณ์โลกในตอนนี้ ข้าก็คิดขึ้นมาได้…”

ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้น “เจ้ากำลังจะหมายถึง…”

“การกำหนดเส้นทางการค้า !” หวงเลี่ยงชวนพยักหน้า “ในเมื่อโลภใต้พิภพนั้นเป็นสภาพสะท้อนของแดนมนุษย์ ข้าจึงคิดว่ามันอาจจะมีสินค้าที่ขาดแคลนหรือเป็นที่ต้องการมากเป็นพิเศษในโลกใต้พิภพแต่ละแห่ง มันจะต้องมีตลาดสำหรับสินค้าที่เราผลิต หากพูดกันตามความจริง มันไม่มีสินค้าชิ้นไหนในโลกที่ไม่เป็นที่ต้องการของตลาด ! ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถขายสินค้าให้กับผู้ซื้อถูกกลุ่มหรือไม่ !”

“สินค้าที่ผลิตเองและใช้เองนั้นเป็นหนึ่งในความพยายามที่สิ้นเปลืองและไร้ความหมายมากที่สุด มีเพียงการกำหนดเส้นทางการค้าเท่านั้นที่จะทำให้เราสามารถรักษากิจการไปได้ในระยะยาว !”

[1] ในเนื้อเรื่องภาษาจีนใช้คำว่า 驾鹤机场 ซึ่งสองคำแรกหมายถึง ‘ขี่นกกระเรียน’ นี่หมายถึงความคิดที่ว่าผู้คนมักจะขี่นกกระเรียนไปบนฟ้าเมื่อพวกเขาเป็นอมตะ และมันก็ใช้อ้างอิงถึงผู้ที่ตายไปแล้วเช่นกัน

[2] เอกสารหัวแดงคือเอกสารราชการที่มีชื่อหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเขียนอยู่ด้านบนด้วยตัวอักษรสีแดง