บทที่ 275: เรือผีสิง

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 275: เรือผีสิง

ฉินเย่เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร แต่ถึงกระนั้นเขาก็เพียงถอนหายใจออกมา “เข้าใจแล้ว หากไม่มีเรื่องอะไรอีก เราจะพักเรื่องนี้ไว้เท่านี้ก่อน ข้าจะนำเรื่องนี้กลับไปคิดดู”

ทันทีที่เอ่ยจบ เขาก็เปลี่ยนร่างเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินและหายตัวไปจากยมโลก

หลายนาทีต่อมา เด็กหนุ่มปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนหลังคาของอาคารแห่งหนึ่งบริเวณท่าเรือซึ่งมีโกดังมากมายตั้งอยู่ เขามองไปยังท้องฟ้าที่ดำมืดพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

กำหนดเส้นทางการค้าอย่างนั้นหรือ… เจ้าคิดว่าข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นหรืออย่างไร ? คำถามก็คือ… ข้าควรจะกำหนดเส้นทางการค้ากับผู้ใดต่างหาก

พวกขนนกทมิฬอาจปลอมตัวมาในฐานะของพ่อค้าต่างชาติ และความจริงเกี่ยวกับสภาพของยมโลกที่พวกเราพยายามปกปิดก็อาจจะถูกเปิดเผยสู่ทั่วโลกทันทีที่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยเกิดขึ้น และหากพวกเขาต้องการปิดกั้นพรมแดนจากต่างชาติ พวกเขาก็ต้องสร้างท่าเรือ และนั่นก็จะนำมาซึ่ง…การสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ทั้งหมด

และมันก็จะต้องเป็นเมืองชายฝั่งเสียด้วย

ยมโลกในตอนนี้ยังมีขนาดเท่าหมู่บ้านเท่านั้น แล้วเขาจะไปคิดเรื่องการสร้างเมืองอีกเมืองขึ้นมาใหม่ได้อย่างไร ?

“หนทางยังอีกยาวไกล…” เขาคลึงขมับของตัวเองอย่างท้อใจ และขณะที่เขากำลังจะเตรียมตัวกลับ แววตาของเขาก็สั่นเทา เด็กหนุ่มรีบหันไปมองนอกทะเลด้วยความตกใจ

เขาเห็นเรือลำหนึ่งกำลังแล่นเข้ามาหาตนอย่างเงียบ ๆ

“หืม ?” ฉินเย่ขมวดคิ้ว เรือธรรมดา ๆ จะไม่มีทางแล่นมาทางนี้ เพราะมันจะมีอะไรให้พวกเขาทำกัน ? แถวนี้มีแต่ท่าเรือที่เก่าและไม่ได้ถูกใช้งานมาเป็นเวลานาน เรือทั่วไปไม่มีทางที่จะเทียบท่าหรือขนถ่ายสินค้าที่นี่ ยิ่งกว่านั้น… เขายังสัมผัสได้ถึงพลังหยินที่แผ่ออกมาจากเรือตรงหน้าด้วย

ยมทูตนั้นค่อนข้างมีประสาทสัมผัสที่เร็วเป็นพิเศษเมื่อเป็นเรื่องของการตรวจจับแหล่งพลังหยิน รวมถึงชนิดของมัน ดังนั้น เขาจึงสามารถบอกได้ทันทีเลยว่าแหล่งพลังหยินที่เขาเพิ่งตรวจจับได้เมื่อครู่นั้นมีกลิ่นของวิญญาณในท้องถิ่น แต่ในเวลาเดียวกันมันก็เจือไปด้วยกลิ่นแปลก ๆ เช่นกัน นี่มันแปลกมาก

เรือที่กำลังแล่นเข้ามาได้ดึงดูดความสงสัยของเขาไปได้โดยสมบูรณ์ ดังนั้นเขาจึงนอนลงคว่ำหน้าลงบนหลังคาของตึกและสังเกตเรือลำนั้นต่ออย่างเงียบ ๆ

เรือตรงหน้ายังคงแล่นเข้ามาอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลง 500 เมตร… 300 เมตร… จากนั้นเมื่อมันอยู่ห่างออกไปเพียงร้อยเมตร เสียงกลองก็ดังขึ้นให้ได้ยินจากบริเวณหัวเรือ ตัดผ่านความเงียบยามค่ำคืน และในไม่กี่วินาทีต่อมา ลูกไฟนรกจำนวนนับไม่ถ้วนก็สว่างขึ้นรอบ ๆ ตัวเรือ กลายเป็นเรือไฟนรกสีเขียวหยกที่พุ่งเข้ามาที่ท่าเรือด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก !

ฟู่ ! คลื่นขนาดใหญ่สาดซัดเข้าฝั่ง ฉินเย่อ้าปากอย่างตกตะลึง จากนั้นก็เปลี่ยนร่างเป็นสายลมที่พัดห่างออกมาอย่างรวดเร็ว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเมื่อครู่นี้เขาสังเกตเห็นว่าบนเรือที่มีเปลวไฟนรกลุกโชนอยู่นั้น…

ไม่มีใครอยู่บนเรือเลยสักคน

ตัวเรือขึ้นสนิม นอกจากนี้ยังถูกเพรียงกับสาหร่ายปกคลุมเต็มไปหมด ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่ามันผ่านมากี่ปีแล้วนับตั้งแต่ครั้งแรกที่มันเริ่มออกเดินทาง หากพูดกันตามตรง นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่าไม่มีคนแม้แต่คนเดียวอยู่บนดาดฟ้าเรือแล้ว รอบตัวเรือก็ไม่มีแหล่งกำเนิดแสงเลยแม้แต่แหล่งเดียว !

หากพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ… นี่คือเรือผีสิง !

ฉินเย่มองไปที่โทรศัพท์ของตนเองขณะเริ่มถอยห่างออกมา และดวงตาของเขาก็ต้องเบิกกว้างอีกครั้ง

ตอนนี้เป็นเวลา 05.00 น.

ชั่วโมงปีศาจ… แต่วิญญาณส่วนใหญ่จะไม่เลือกที่จะปรากฏตัวในช่วงเวลานี้เท่าไหร่นักเนื่องจากรุ่งอรุณจะมาถึงในอีกไม่ช้า ดังนั้นผู้ใดกันที่กล้าถึงขนาดมาปรากฏตัวขึ้นตอนนี้ ?

ตู้ม ! เขาเพิ่งถอยห่างออกมาได้เพียง 200 เมตรเท่านั้น ก่อนที่จู่ ๆ เสียงปะทะที่รุนแรงจะดังขึ้น เรือทั้งลำพุ่งเข้าชนท่าเทียบเรืออย่างจัง วินาทีนั้น ท่าเทียบเรือที่ทรุดโทรมก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ อุปกรณ์ที่ชำรุดกระจัดกระจายไปทั่ว ในขณะที่น้ำทะเลรอบ ๆ กระจายสูงขึ้นไปบนฟ้ากว่าสิบเมตรก่อนจะตกลงมาราวกับสายฝน

เรือโบราณที่มืดมิดจอดเกยอยู่ท่าเทียบเรืออย่างเงียบ ๆ ไม่ขยับราวกับศพ

ฟิ้ว~… สายลมพัดเข้าฝั่ง ทุกอย่างโดยรอบเงียบสนิทราวกับสุสาน ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ พลังหยินมากมายเริ่มหลั่งไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดขณะที่เขาจ้องมองไปยังเรือที่จอดสนิทอยู่ด้วยแววตาเคร่งขรึม และทันใดนั้นเอง เรือผีสิงลำนั้นก็สว่างขึ้นด้วยแถวไฟสีเขียวหยกที่ถูกจุดขึ้นต่อ ๆ กัน และสายพลังหยินมากกว่าสิบก็ลอยขึ้นไปบนฟ้า

วู๊ด วู๊ด วู๊ด ! เสียงแหลมสูงเริ่มดังไปทั่วโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ความจริงที่ว่าเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นก่อนรุ่งสางนั้นเป็นภาพที่ทำให้ทุกคนที่พบเห็นต่างต้องขนลุกไปทั่วร่าง และหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ร่างจำนวนมากก็เริ่มเดินลงมาจากเรือ

มันคือแถวของคนกระดาษ

พวกมันแต่งกายด้วยชุดขันทีของจีนในสมัยโบราณซึ่งทำขึ้นอย่างประณีตและสวยงาม ใบหน้าซีดเผือกถูกแต่งแต้มด้วยสีชมพูเข้มบริเวณแก้มในขณะที่ริมฝีปากถูกทาด้วยสีแดงสะดุดตา พวกมันถือตะเกียงไฟที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟนรกสีเขียว และมันก็ยังคงเดินตรงมาหาฉินเย่ราวกับขบวนแห่ที่ไม่สามารถหยุดได้

มันเป็นช่วงเวลาที่มืดที่สุดของวัน

เรือผีสิงที่ว่างเปล่าขับมาเกยตื้นบริเวณท่าเรือร้าง และสายลมเย็นยะเยือกที่พัดจากทะเลเข้าสู่ฝั่ง ส่งผลให้ความรู้สึกเสียวสันหลังแล่นวาบไปตามกระดูกสันหลังของสิ่งมีชีวิต

ภายใต้เสียงพัดโชยเบา ๆ ของสายลมและเสียงลุกโชนของเปลวไฟนรก คนกระดาษแถวหนึ่งเดินลงมาจากเรือโดยเท้าที่ลอยอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย พวกมันแบกเกี้ยวกระดาษไว้บนหลัง ในขณะที่พวกที่อยู่แถวหน้าสุดยังคงส่งเสียงร้องที่แหลมสูงราวกับต้องการจะประกาศถึงการมาของผู้เป็นนายของพวกมัน มันเป็นภาพที่ดูตลกขบขันซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าตลกมากหากมันเกิดขึ้นในตอนกลางวัน แต่ข้อเท็จจริงที่ว่ามันเกิดขึ้นในเวลานี้กลับทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกเย็นยะเยือกเข้าไปถึงกระดูก

มันกำลังเข้ามาหาเรา… ฉินเย่สงบลงแล้ว และเขาก็กำลังสังเกตขบวนคนกระดาษตรงหน้าอย่างละเอียด เท้าของพวกมันเหยียบลงบนพื้นบ้างเป็นบางครั้ง สร้างหลุมบนพื้นทรายและทิ้งรอยเท้าเอาไว้ขณะที่เดินตรงมาหาฉินเย่ และในเวลาไม่นาน พวกมันก็มาหยุดลงตรงหน้าของเขาพร้อมกับการหยุดลงของเสียงร้องแหลมสูง คนกระดาษสามตัวที่เดินนำขบวนมาโค้งคำนับให้เด็กหนุ่มพร้อมกันและสะบัดแส้หางม้าในมือไปด้วย การกระทำทั้งหมดเป็นไปอย่างพร้อมเพรียง “คารวะนายท่าน พวกเราคืออัครมหาเสนาบดีลำดับที่หนึ่ง ลำดับที่สอง และลำดับที่สาม ของจักรพรรดิหวู่แห่งซ่ง”

“จักรพรรดิหวู่แห่งซ่ง ?” ฉินเย่มองขบวนประหลาดตรงหน้าตนโดยไม่ขยับกายแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจมากที่สุดก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าอัครมหาเสนาบดีทั้งสามที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของเขานั้นล้วนอยู่ขั้นยมทูตขาวดำทั้งสิ้น !

มันเป็นไปได้อย่างไรกัน ?!

เพราะอย่างไรแล้ว แม้แต่นินจาลับแห่งคามากุระที่อยู่ขั้นยมทูตขาวดำก็สามารถเข้ามาในจีนได้โดยความช่วยเหลือจากอิซานามิเอง และถึงอย่างนั้น พวกมันก็ไม่มีทางกล้าเดินทางไปที่ดินแดนที่อยู่นอกตัวเมืองเลยแม้แต่น้อย แล้วขั้นยมทูตขาวดำทั้งสามนี้สามารถแล่นเรือข้ามมหาสมุทรและมาถึงที่ท่าเรืออย่างราบรื่นได้อย่างไร ?

พวกมันอยู่ฝ่ายใดกัน ?

“ข้าไม่เห็นจำได้ว่ามีจักรพรรดิที่ชื่อนี้อยู่ในประวัติศาสตร์ ?” ฉินเย่ถามอย่างไม่กลัวใคร “หรือ… มันจะถูกกว่าหากข้าจะเรียกเขาว่าราชาผี ?”

แต่เขาก็ไม่ได้รับคำตอบแต่อย่างใด กลับกัน อัครมหาเสนาบดีลำดับที่หนึ่งเพียงอ้าปากสีแดงเลือดและจ้องมองฉินเย่นิ่ง “พระองค์ทรงเชิญท่านไปเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังนั้นโปรดอย่ารีรอที่จะตอบรับ”

พรึ่บ… ไม้ขกสังปั๊งก่อตัวขึ้นที่ด้านข้างของฉินเย่และเริ่มหมุน ในขณะที่พลังหยินมากมายเริ่มไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด “แล้วหากข้าปฏิเสธ ?”

มุมปากของอีกฝ่ายกระตุกเบา ๆ ขณะที่มันหรี่ตาเล็กลง แก้มสีชมพูดูน่าขนลุกเป็นอย่างมากภายใต้แสดงสลัวของเปลวไฟนรกที่อยู่โดยรอบ “สิ่งที่พระองค์หมายถึงก็คือ ไม่ว่าอย่างไร ท่านก็จะต้องเดินทางไปกับเรา”

ฉินเย่หัวเราะออกมา ร่างกายของเขาเริ่มปรากฏตัวโดยสมบูรณ์ และสายลมนรกก็ค่อย ๆ สลายหายไป ร่างครึ่งบนของเด็กหนุ่มในเวลานี้อยู่ในสถานะยมทูต เส้นผมสีเขียวหยกสยายไปในอากาศอย่างน่าสะพรึงกลัวขณะที่เขาจ้องมองไปยังคนกระดาษทั้งสามอย่างดุดัน “แล้ว… พวกเจ้า… จะใช้กำลังบังคับข้า… ผู้เป็นยมทูตน่ะหรือ ?”

อัครมหาเสนาบดีทั้งสามก็หัวเราะออกมาเช่นกัน

“เคี๊ยกเคี๊ยกเคี๊ยก…” เสียงหัวเราะของพวกมันดังก้อง จากนั้นไม่กี่วินาทีต่อมา ทั้งสามก็อ้าปากออกพร้อมกัน ร่างของพวกมันไม่ได้ใหญ่มาก แต่ปากของพวกมันกลับมีความกว้างถึงครึ่งเมตร และมันก็เผยให้เห็นฟันที่แหลมคมซึ่งเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงสด พวกมันเปล่งเสียงร้องที่น่าสะพรึงกลัวออกมาขณะที่พุ่งเข้าหาฉินเย่ !

แซ่กซ่ากกกกก !!!

ร่างของฉินเย่ระเบิดพลังออกมาในฉับพลัน และเขาก็เข้าสู่สถานะยมทูตเต็มตัว เปลวไฟนรกสีเขียวหยกปรากฏขึ้นรอบ ๆ ขณะที่ไม้ขกสังปั๊งในมือพุ่งออกไปปะทะกับฝ่ายตรงข้ามที่กำลังพุ่งเข้ามา !

พลังหยินที่รุนแรงก็ปะทุออกมาจากร่างของคนกระดาษทั้งสามเช่นกัน ห่อหุ้มพวกมันไว้และเพิ่มความเร็วให้พวกมันอย่างมหาศาล ภายในชั่วพริบตา พวกมันล้อมรอบฉินเย่และเริ่มหมุนรอบเด็กหนุ่มราวกับโคมม้าวิ่ง [1] ทั่วทั้งท่าเทียบเรือถูกปกคลุมไปด้วยเสียงลมพัดอย่างรุนแรงและลูกไฟนรกสีเขียวหยกทันที

ตุบ ตุบ ตุบ… ผืนทรายเต็มไปด้วยหลุมมากมายในเวลาไม่นานขณะที่คนกระดาษทั้งสามยังคงหมุนรอบฉินเย่อย่างน่าสะพรึงกลัว การปะทะระหว่างสามต่อหนึ่งขณะที่กรงเล็บสีดำฟาดไปที่จุดตายฉินเย่อย่างดุร้าย ทว่าก็ถูกสะท้อนกลับด้วยไม้ขกสังปั๊ง อากาศโดยรอบถูกปกคลุมด้วยเสียงปะทะของการโจมตีจากทั้งสองฝ่าย ภายในไม่กี่วินาที ทั้งสี่ตอบโต้กันไปมากว่าร้อยครั้ง

การโจมตีที่รุนแรงโจมตีลงมาราวกับสายฝนที่ตกกระหน่ำ ในขณะที่การป้องกันของฉินเย่ยังคงสมบูรณ์แบบ

แต่ยิ่งพวกเขาสู้กันมากเท่าไหร่ ฉินเย่ก็ยิ่งรู้สึกกลัวมากขึ้นเท่านั้น

นี่มันแปลกเกินไป… เด็กหนุ่มสัมผัสได้ว่าการโจมตีของเขานั้นมีผลในการปราบปรามคนกระดาษทั้งสาม และนั่นก็หมายความว่าพวกมันเป็นวิญญาณของจีนจริง ๆ แต่ในเมื่อพวกมันเป็นวิญญาณในจีน เขาก็ควรจะสามารถกำจัดพวกมันไปได้ในทันที ! เพราะสุดท้ายแล้ว มันก็ไม่มีวิญญาณตนใดที่สามารถต่อต้านยมทูตที่มีพลังอยู่ขั้นเดียวกันได้

แต่นี่เขากลับไม่สามารถเป็นฝ่ายได้เปรียบคนกระดาษตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าพวกเขาจะสู้กันมานานแค่ไหนก็ตาม มันแทบจะเหมือนกับว่า… พวกมันเป็นวิญญาณของจีน แต่พวกมันก็ยังตกอยู่ภายใต้เขตอำนาจอื่นด้วยเช่นกัน

“น่าสนใจ” ไม้ขกสังปั๊งในมือของฉินเย่กางออก เปลี่ยนร่างเป็นร่มขนาดใหญ่ที่สะท้อนกรงเล็บที่โจมตีลงมาอย่างฉับพลัน เขาพึมพำออกมาเสียงเบา “ตั้งแต่ที่บรรลุสู่ขั้นยมทูตขาวดำ ข้าไม่เคยคิดที่จะใช้การปลดปล่อยจิตวิญญาณใบมีดเลยแม้แต่น้อย ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาใช้กับพวกเจ้า”

เลือดหยดหนึ่งซึมออกมาจากปลายนิ้วทันทีที่เอ่ยจบ และราวกับสัมผัสได้ว่ากำลังจะเกิดออะไรขึ้น ไม้ขกสังปั๊งเริ่มสั่นเทาอย่างรุนแรง ในขณะเดียวกัน วิญญาณร้ายทั้งสามก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างหวาดกลัวขณะที่สายลมพัดอย่างรุนแรงรอบ ๆ ตัวของฉินเย่ และมันพวกมุนก็รีบถอยห่างจากเด็กหนุ่ม ยืนล้อมรอบเป็นรูปสามเหลี่ยมขณะที่มองการกระทำของเด็กหนุ่มอย่างหวาดระแวง

หยดเลือดปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้ว พร้อมที่จะหยดลงไปที่ไม้ขกสังปั๊งอยู่ตลอดเวลา ฉินเย่จ้องมองคนกระดาษทั้งสามด้วยสายตาเย็นชา “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่สามารถต่อสู้กับความกลัวโดยกำเนิดที่มีต่อยมทูตได้สินะ ? ทำไมเล่า ? เริ่มกลัวแล้วอย่างนั้นหรือ ? คราวนี้… พวกเราจะมาคุยกันดี ๆ ได้หรือยัง ?”

เมื่ออัครมหาเสนาบดีลำดับที่สอง ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “นายท่าน พระองค์ทรงไม่ได้มีเจตนาร้ายใด ๆ พระองค์เพียงอยากจะเชิญท่านไปที่ฮันยาง…” [2]

ฮันยาง ?

แววตาของฉินเย่วูบไหวเล็กน้อย

ฮันยาง… เมืองหลวงของแดฮัน… พวกมันคือวิญญาณจีนอย่างไม่ต้องสงสัย ! นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่ ?

“บังอาจ !!!” ทันใดนั้นเอง เสียงคำรามอันโกรธเกรี้ยวก็ดังก้องไปทั่ว พื้นที่โดยรอบพวกเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง ราวกับถูกแยกจากโลกแห่งความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง คลื่นพลังหยินขนาดใหญ่หลั่งไหลเข้ามาจากโดยรอบ ปกคลุมทั้งสี่ราวกับแสงจันทร์ในค่ำคืนที่ไร้แสงดาว ตะเกียงไฟสีเขียวหยกที่อยู่รอบ ๆ ถูกดับลงในทันที ในขณะที่คนกระดาษทั้งสามร้องออกมาอย่างหวั่นสะพรึง เกาะกลุ่มกันตัวสั่นระริก “ตุลาการนรก… ท่านตุลาการนรกผู้สูงศักดิ์ !”

ไร้ซึ่งคำตอบ

พลังหยินที่หนาแน่นยังคงหมุนวงรอบพวกเขาอย่างต่อเนื่อง แทบจะเหมือนกับว่าทั่วทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยวัตุหยิน และในเสี้ยววินาทีต่อมา คลื่นพลังหยินก็เริ่มไหลมารวมกัน ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนพลังหยินที่มีความกว้างกว่าสิบเมตร จากนั้น พร้อมกับเสียงที่ดังลั่น อาร์ทิสเดินออกมาจากใจกลางของกระแสน้ำวนนั้น

ฟึ่บ… เหล่าคนกระดาษที่แบกเกี้ยวอยู่ด้านหลังรีบคุกเข่าลงด้วยความหวาดกลัวและเคารพทันที อัครมหาเสนาบดีขั้นยมทูตขาวดำทั้งสามเองก็รีบคุกเข่าลงและเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทา “อัครมหาเสนาบดี… คารวะ… ท่านผู้ทรงอำนาจ…”

อาร์ทิสสะบัดแขนเสื้อคลุมที่มีสีสันของตัวขณะที่เดินผ่านอัครมหาเสนาบดีทั้งสาม จ้องเขม็งขณะที่เอ่ยออกมาอย่างเหยียดหยาม “ไร้ซึ่งยางอาย…”

“พวกเจ้ายังรู้ถึงวิธีการทำความเคารพข้าอยู่อีกอย่างนั้นหรือ ? จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งถูกสั่งห้ามไม่ให้เหยียบย่างเข้ามาในดินแดนแห่งนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต ! นี่คือคำสั่งสุดท้าย… ให้เขาอยู่ในที่ของตนและดูแลป้อมปราการเอาไว้ ! นี่เขากำลังคิดจะก่อกบฏหรืออย่างไร ?!”

“ไม่นายหญิง ! พวกเรามิบังอาจ !”

“นายหญิง กรุณาใจเย็นก่อน ! พระองค์ทรงมิได้มีพระประสงค์เยี่ยงนั้น !”

“นายหญิง ท่านกำลังเข้าใจผิด !”

อาร์ทิสกำลังจะเอ่ยต่อแต่แล้วจู่ ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากด้านหลังของนางและโบกไปมา นางชะงักไปเล็กน้อย และเมื่อหันกลับไปนางก็พบกันใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มบางของฉินเย่

“อ่าา… มันมีชายที่ชื่อว่าจักรพรรดิหวู่แห่งซ่งอยู่จริง ๆ สินะ…” ฉินเย่เอามือไพล่หลังขณะที่เดินไปหาอาร์ทิสโดยไม่สนใจอัครมหาเสนาบดีทั้งสาม “เขาถูกเนรเทศ ? เช่นเดียวกันกับการลงโทษของจีนในสมัยโบราณ ถูกขับไล่ออกจากอาณาเขตของเราและส่งตัวไปที่ฮันยาง ?”

โดยไม่เว้นช่วง ฉินเย่ชูนิ้วส่ายไปมาให้อาร์ทิสเป็นเชิงห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูด “และยังอยู่นอกเขตแผ่นดินจีนมาโดยตลอดจนไม่ได้รับผลกระทบจากการตรัสรู้ของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ ?”

“จากความใกล้เคียงระหว่างฮันยางและการต่อสู้ที่ช่องแคบสึชิมะ เขาคงจะสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ และสมุดแห่งความเป็นตายก็คงจะมีชื่อของเขาอยู่ นั่น… เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมท่านถึงไม่ยอมให้ข้าดูต่อในตอนนั้น ถูกหรือไม่ ?”

ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างเสแสร้ง “อย่างนี้นี่เอง… ถึงว่าทำไมสองสามวันที่ผ่านมานี้ท่านถึงทำตัวติดกับข้าจนแยกไม่ออก ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านทำให้ข้าคิดว่าท่านตกหลุมรักข้า ? แต่… ความจริงคือท่านเพิ่งนึกได้ถึงการดำรงอยู่ของจักรพรรดิที่อยู่ห่างไกลออกไป ท่านรู้บ้างหรือไม่ว่ามันทำให้ข้าเศร้ามากเพียงใด ?”

“เจ้าไม่เข้าใจ !” อาร์ทิสไม่ได้อับอายกับสิ่งที่ฉินเย่เอ่ยออกมาเลยแม้แต่น้อย นางยังคงจ้องไปที่คนกระดาษทั้งสามที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้นเขม็ง “เจ้าไม่รู้หรอกว่าหลิวอวี้ จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งนั้นน่ากลัวมากเพียงใด…”

[1] โคมลักษณะพิเศษที่มักจะถูกใช้ในเทศการและงานเฉลิมฉลอง โดยเทียนจะถูกจุดจากภายในของโคม และความร้อนจากเทียนก็จะทำให้กังหันด้านในโคมเริ่มหมุน ซึ่งส่งผลให้กระดาษที่ถูกตัดเป็นรูปต่างๆที่อยู่ด้านในวิ่งไล่กันไปเรื่อยๆเป็นวงกลม แสงจากทางเทียนฉายเงาของกระดาษที่ถูกตัดลงบนกระดาษด้านนอกของตัวโคม ทำให้มันดูเหมือนกับเงาที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา

[2] ชื่อในสมัยโบราณของกรุงโซล