บทที่ 201.1 หากไม่มีเรื่องจุกจิกรบกวนใจ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 201.1 หากไม่มีเรื่องจุกจิกรบกวนใจ โดย ProjectZyphon

หลังจากเฉาซีที่ชอบพูดจาโผงผางเสียงดังจากไปแล้ว บ้านตระกูลเซี่ยก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง คนทั้งตระกูล นับจากสตรีวัยออกเรือนแล้วที่ทำหน้าที่เป็นประมุขของบ้านไปจนถึงลูกชายหญิงคู่หนึ่ง แล้วก็ไปจนถึงคนเฒ่าคนแก่หลายคนต่างก็เดินเก็บมือเก็บเท้ากันอย่างเงียบเชียบ ด้วยกลัวจะไปรบกวนการพักผ่อนของเซี่ยสือ ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ทุกคนในตระกูลเซี่ยต่างก็รู้สึกเหมือนไม่ได้มีชีวิตอยู่ในเป็นความจริง จู่ๆ ก็มีบรรพบุรุษตัวเป็นๆ เดินออกมาจากเทียบลำดับวงศ์ตระกูลเล่มนั้น ซึ่งไม่รู้ว่าเขามีชีวิตผ่านกาลเวลามายาวนานแค่ไหน

เกรงว่าคงมีแต่เด็กหนุ่มคิ้วยาวที่เงียบขรึมมาตั้งแต่เด็กเท่านั้นที่สภาพจิตใจค่อนข้างสงบนิ่ง เพราะเซี่ยสือได้อธิบายเกี่ยวกับโลกภายนอกให้เขาฟังคร่าวๆ แล้ว อีกทั้งยังให้เด็กหนุ่มอยู่ตีเหล็กหลอมกระบี่กับหร่วนฉงก่อนชั่วคราว เรื่องของโชควาสนานี้ ไม่ใช่ว่าวางอำนาจบาตรใหญ่โดยอาศัยบารมีของบรรพบุรุษตัวเองแล้วจะดี จิตใจของเด็กหนุ่มคิ้วยาวหนักแน่นเด็ดเดี่ยว ต่อให้จะรู้ว่าอีกไม่นานเซี่ยสือบรรพบุรุษของตนก็จะกลายเป็นเทียนจวินคนแรกของอุตรกุรุทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตบะหรือฐานะก็ล้วนเหนือกว่าหร่วนฉงหนึ่งระดับ แต่เด็กหนุ่มกลับยังไม่มีท่าทีว่าจะย้ายสำนักใหม่ นี่ทำให้เซี่ยสือรู้สึกชื่นชมอยู่ในใจ เพราะนี่คือจิตใจที่ลูกหลานตระกูลเซี่ยสมควรมี

เด็กหนุ่มไม่มีทางรู้เลยว่า หากปณิธานของเขาเอนเอียงเพียงเล็กน้อย เซี่ยสือก็จะล้มเลิกความคิดที่จะอบรมปลูกฝังเขาไปทันที และอาจถึงขั้นเป็นฝ่ายไปพูดกับหร่วนฉงด้วยตัวเอง หลีกเลี่ยงไม่ให้ตระกูลต้องโชคร้าย เกิดหายนะทอดยาวไม่จบไม่สิ้น

หากเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่าเด็กหนุ่มคิ้วยาวแทบจะสูญเสียโอกาสในการพิสูจน์เส้นทางการเป็นอมตะและไม่เหลือความเป็นไปได้ที่จะพลิกฟื้นกลับมาอีกอย่างสิ้นเชิง

การรับลูกศิษย์ของเซียนซือบนภูเขา โดยเฉพาะเทพเซียนพสุธาของลัทธิเต๋า จะให้ความสำคัญต่อใจในการฝึกตนอย่างมาก ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะแน่ใจได้ ส่วนใหญ่มักจะต้องพเนจรไปทั่วสารทิศหลายสิบปีถึงจะพบลูกศิษย์ที่พึงพอใจให้มาสืบทอดควันธูปต่อได้ ระยะเวลาระหว่างนี้เซียนซือหลายคนจะมีการทดสอบลูกศิษย์ของตนหลากหลายรูปแบบ ความร่ำรวย ความเป็นความตาย ความรัก เรื่องอีกมากมายบนโลกมนุษย์ ฯลฯ ล้วนเป็นด่านที่ผู้ฝึกตนต้องก้าวผ่านเพื่อเดินขึ้นสู่สวรรค์ให้ได้ จะเป็นปลาที่ปะปนกันอยู่ในแม่น้ำต่อไป หรือจะเป็นปลาหลีที่กระโดดข้ามประตูมังกรก็อยู่ที่แค่ความคิดเดียวเท่านั้น

มหามรรคาทอดยาว ผู้ฝึกลมปราณทุกคนที่เลื่อนสู่ขอบเขตสิบ โดยเฉพาะห้าขอบเขตบนจึงล้วนเป็นพวกที่มีฝีมือเลิศล้ำอย่างไม่มีข้อยกเว้น

เพียงแต่ว่ามหามรรคายาวไกล เส้นทางที่เดินขึ้นสู่ภูเขาไม่มีจำนวนที่แน่นอน ด้วยเหตุนี้ต่างคนจึงมีโชควาสนาที่ต่างกัน นิสัยที่เทียนจวินเซี่ยสือไม่ชอบ หากไปอยู่ในสายตาของอริยะสำนักอื่นหรือสำนักนอกรีตก็อาจจะกลายมาเป็นหยกชิ้นงามชิ้นหนึ่ง ดังนั้นคำโบราณจึงมีประโยคที่ว่าฟ้าย่อมมีทางออกให้คนเสมอ

แน่นอนว่าเซี่ยสือมีฐานะสูงส่ง ดวงตาของเขาจึงมองแต่จุดสูงตามไปด้วย อันที่จริงด้วยพรสวรรค์และความสามารถของเด็กหนุ่มคิ้วยาว หากไปอยู่ในสำนักตระกูลเซียนของแจกันสมบัติทวีปก็ถือว่าเป็นตัวอ่อนในการฝึกตนที่ดีเยี่ยมที่ทุกคนต้องแย่งชิงกันโดยไม่สนอะไรทั้งนั้น ต้องแย่งมาเป็นลูกศิษย์ให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน ทุกครั้งที่ในสำนักมีเทพเซียนห้าขอบเขตกลางเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน ไม่ว่าจะเอามาใช้สยบจักรพรรดิขุนนางของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ หรือเอามาสร้างสัมพันธ์อันมหัศจรรย์กับ ‘เพื่อนบ้าน’ บนภูเขาที่อยู่รอบด้านก็ล้วนช่วยได้มาก ไหนเลยจะคอยจับผิดหาข้อด้อยอย่างเทียนจวินเซี่ยท่านนี้

เซี่ยสือดื่มเหล้าช้าๆ ด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม

“ท่านบรรพบุรุษมีเรื่องในใจหรือ?” เด็กหนุ่มคิ้วยาวนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ คนจิ๋วควันธูปที่ระดับสูงมากคู่หนึ่งเห็นว่าไม่มีคนนอกอยู่ด้วยจึงกระโดดลงมาจากกรอบป้ายของห้องโถง มายืนอยู่บนไหล่ของเด็กหนุ่มแล้วเอาหัวไล่ดุนดันกันไปมาอย่างสนุกสนาน เด็กหนุ่มคิ้วยาวเคยชินกับการกระทำของพวกเขาเสียแล้ว

เซี่ยสือดื่มเหล้าเงียบๆ “ก็แค่ถามใจตัวเองแล้วรู้สึกละอายเท่านั้น”

เด็กหนุ่มคิ้วยาวตะลึง “ท่านบรรพบุรุษร้ายกาจขนาดนี้ ยังจำเป็นต้องทำเรื่องที่ตัวเองไม่ต้องการอีกหรือ?”

เซี่ยสือยิ้ม “วันหน้าเจ้าเองก็จะต้องมีเรื่องให้ไม่สบอารมณ์เช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องตกอกตกใจ นิสัยของเจ้านั้นตรงไปตรงมามากกว่าจะมีไหวพริบว่องไว เหมาะกับการเรียนกระบี่มาก ลัทธิเต๋าเน้นย้ำในเรื่องของความสงบบริสุทธิ์ นิสัยอาจฟังเหมือนน้ำนิ่งในบ่อ แต่อันที่จริงไม่ใช่อย่างนั้น เพราะจำเป็นต้องทบทวนใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา ตรงไปตรงมาในทุกเรื่องราว ไม่ได้ผ่อนคลายเลยสักนิด”

เด็กหนุ่มคิ้วยาวของตระกูลเซี่ยพยักหน้ารับ

เซี่ยสือมองใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์อยู่มากแล้วก็ถอนหายใจอยู่ในใจ

กลียุคกำลังจะมาถึง เหล่าวีรบุรุษทยอยกันปรากฏตัว ชะตากำหนดมาให้เป็นช่วงเวลาแห่งสีสันอันงดงาม แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมีความเป็นความตายและการจากลาที่น่าจนใจเกิดขึ้นอีกมากมาย ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขาก็ล้วนไม่ต่างกัน

เซี่ยสือโบกมือบอกเป็นนัยให้เด็กหนุ่มจากไปได้

คนจิ๋วควันธูปคู่นั้นจึงกระโดดกลับไปบนกรอบป้าย อิงแอบแนบชิดกัน กระซิบพูดคุยกันเบาๆ

เซี่ยสือหลับตาทำสมาธิ ลมหายใจทอดยาว เข้าฌานลืมตนจิตใจล่องลอยไปไกล

……

หลังออกจากมาตรอกเถาเย่ เฉาซีก็เริ่มเดินเตร่ไปทั่ว เขาเดินไปตามตรอกน้อยใหญ่ เศรษฐีเฒ่ายิ้มตาหยี คนนอกไม่รู้ตัวตนที่องอาจของเขา และเฉาซีเองก็สามารถพูดคุยกับทุกคนได้หมด หากไม่เป็นเพราะตอนนี้สมบัติในถ้ำสวรรค์หลีจูถูกกวาดไปจนเกลี้ยงหมดแล้ว ด้วยนิสัย ‘ห่านบินผ่านยังถอนขน’ ของเฉาซียามที่อยู่ในนาตยทวีป เกรงว่าคงต้องพลิกเมืองเล็กค้นให้ทั่วก่อนถึงจะสาแก่ใจ เฉาซีเจ็บแค้นอยู่ในใจ โมโหการบังคับซื้อขายของราชวงศ์ต้าหลีก่อนหน้านี้ ตามคำรายงานลับจากลูกหลานสกุลเฉา การค้นหาสมบัติเหมือนการจับปลาในหนองบึงของต้าหลีครั้งนั้นทำให้พวกเขาได้รับผลเก็บเกี่ยวมหาศาลอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นเฉาซีที่ตบะสูงถึงขนาดนี้ก็ยังอดอิจฉาตาร้อนไม่ได้

ศึกสังหารมังกร เหล่าปราชญ์เมธีของสามลัทธิร้อยสำนักต่างก็มาเปิดศึกนองเลือดกันที่นี่ พวกเขาสู้กันจนฟ้าคว่ำดินพลิก ศพร่วงกราวลงมาจากท้องฟ้าเหมือนหิมะ จากนั้นอริยะสี่ท่านก็จับมือกันเยื้องกรายลงมาจากท้องฟ้า วาดเขตพื้นที่แห่งนี้ให้เป็นดั่งกรงขัง สมบัติทุกอย่างจึงถูกทิ้งไว้ในถ้ำสวรรค์เล็กๆ แห่งนี้ ทุกๆ หกสิบปีถึงจะเปิดประตูต้อนรับแขกหนึ่งครั้ง ให้แต่ละคนอาศัยความสามารถของตัวเอง ควักเงินจ่ายค่าผ่านทาง อาศัยสายตาของตนมาควานหาสมบัติ และคนส่วนใหญ่เมื่อออกไปจากที่นี่ก็จะโชคดีขอบเขตทะยานพรวดพราด

เฉาซีลังเลอยู่ชั่วครู่ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ลูกหลานย่อมมีโชควาสนาของลูกหลานกะผีน่ะสิ หากไม่พูดอะไรบ้าง ข้าว่ามันอันตรายเกินไป”

เขามายังที่ว่าการของผู้ตรวจการ คนเฝ้าประตูเป็นคนสายตาไม่ค่อยดี อีกทั้งยังไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รู้เรื่องในตระกูลเฉาและเรื่องบนภูเขา จึงพุ่งมาขวางเฉาซีไว้ด้วยท่าทางดุดัน เฉาซีเองก็ไม่โกรธ พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับคนเฝ้าประตูด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ไปๆ มาๆ กลับคุยกันถูกคอ สุดท้ายเป็นเฉาจวิ้นที่ย้ายออกจากบ้านตระกูลเฉามาพักอยู่ที่นี่ชั่วคราวที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จึงเอ่ยเตือนเฉาเม่าผู้ตรวจการไปคำหนึ่ง ลูกหลานสายตรงของสกุลเฉานายพลเอกรุ่นนี้ตกใจจนรีบวิ่งปรู๊ดมาที่หน้าประตูใหญ่ เห็นบรรพบุรุษที่ตนครุ่นคิดถึงตลอดเวลาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงคุกเข่าลงดังตุ้บ โขกหัวดังปั่กๆ

ทำเอาคนเฝ้าประตูตกใจขวัญหนีดีฝ่อ

อย่าเห็นว่าเฉาเม่าวางตัวผ่อนคลายไม่เป็นโล้เป็นพายเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองอู๋ยวน ไม่เห็นลูกศิษย์ของราชครูที่มีชาติกำเนิดเป็นยากจนอย่างอู๋ยวนอยู่ในสายตา อีกทั้งตัวเขาเองยังเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ที่เลื่องชื่อของเมืองหลวงต้าหลี วันนี้เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเฉาซีกลับไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย จะหาว่าเฉาเม่าสติหลุด ไม่รู้อะไรควรไม่ควรไม่ได้ เฉาซี บรรพบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูล เมื่อเทียบกับท่านปู่ที่รับตำแหน่งเป็นพลเอกเสาหลักของแคว้นในปัจจุบันแล้วยังสูงส่งกว่ามาก ทุกรุ่นของคนตระกูลเฉามีเพียงลูกหลานสายตรงเท่านั้นที่ถึงจะมีคุณสมบัติได้รู้ความลับยิ่งใหญ่เทียมฟ้าข้อที่ว่าบรรพบุรุษของตนคือเซียนกระบี่พสุธาแห่งนาตยทวีป เป็นเจ้าของหอสยบสมุทรครึ่งหนึ่ง เพื่อเอาไว้ใช้ในช่วงเวลาอันตรายคับขัน เพราะนี่คือยันต์คุ้มกันชีวิตที่มีประโยชน์ยิ่งกว่าคัมภีร์เหล็กละเว้นโทษตายเสียอีก

เฉาซีเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉาเม่าแล้วเตะป้าบเข้าไปหนึ่งที “ลุกขึ้น อย่ามาทำตัวน่าขายหน้าอยู่แถวนี้”

เฉาเม่ารีบลุกขึ้นยืน แม้แต่ฝุ่นบนชุดขุนนางก็ยังไม่กล้าปัด ชายหนุ่มตื่นเต้นจนกรอบตาแดงก่ำ เป็นความปลื้มปิติที่ออกมาจากใจจริง

คิดอยากจะพบบุคคลอย่างเทพเซียนห้าขอบเขตบนก็พบได้อย่างนั้นหรือ? แล้วนับประสาอะไรกับนี่ยังเป็นบรรพบุรุษที่ถูกระบุชื่อไว้บนหนังสือลำดับเทียบวงศ์ตระกูลของตนอย่างชัดเจนด้วย!

มีที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ วันหน้าลูกหลานสกุลเฉาอย่าว่าแต่จะอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ของราชวงศ์ต้าหลีเลย ต่อให้เป็นทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีปก็เดินอาดๆ ได้ตามใจชอบไม่ใช่หรือ?

เฉาซีถาม “ตรวจสอบเรื่องชาติกำเนิดของเฉินผิงอันได้แน่ชัดหรือยัง?”

เฉาเม่าตอบกลับอย่างนอบน้อม “เรียนท่านบรรพบุรุษ ตรวจสอบแน่ชัดแล้ว ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ไล่ย้อนขึ้นไปหลายร้อยปีก็ยังเป็นแค่ตระกูลคนธรรมดาในเมืองเล็ก แม้แต่ผู้ฝึกลมปราณที่สามารถตรวจสอบได้พบก็ไม่มีปรากฎแม้แต่คนเดียว”

เฉาซีอืมรับหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็ง่ายแล้ว เพียงแต่ว่ายังเป็นเรื่องที่แปลกมากอยู่ดี หากไม่เป็นเพราะสกุลเฉินหลงเหว่ยลงมือทำอะไรบางอย่าง ก็อาจเป็นเพราะโชคชะตาของบรรพบุรุษบางท่าน ‘เผด็จการ’ เกินไป เบิกเอาโชควาสนาของลูกหลานหลายสิบรุ่นมาใช้ล่วงหน้า ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเลย ก็แค่เรื่องเล็กน้อยหาสาระอะไรไม่ได้เท่านั้น”

เฉาเม่าค้อมเอวต่ำ คิดจะพาท่านบรรพบุรุษไปนั่งในห้องโถงใหญ่ของที่ว่าการ เฉาซีกลับเอ่ยขึ้นน้ำเสียงไม่สบอารมณ์เสียก่อน “ตำแหน่งขุนนางใหญ่เท่าก้น จะให้ไปนั่งในห้องโถงนั่นข้ายังอายแทน”

เฉาเม่ารู้สึกทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเอามือไม้ไปวางไว้ที่ไหน

ควรจะพูดคุยกับบรรพบุรุษที่เป็นเทพเซียนอย่างไร เขาไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนจริงๆ เกรงว่าหากเปลี่ยนมาเป็นท่านปู่ของเขา เจ้าประมุขของตระกูลเฉาที่เป็นนายพลเอกของต้าหลีก็คงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นกัน

เฉาซียืนอยู่ใต้กรอบป้ายของลานกว้างที่ว่าการผู้ตรวจการ แค่นเสียงหยัน “เฉาจวิ้น เจ้าไสหัวออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้”

ผ่านไปไม่นานนัก เฉาจวิ้นที่พกกระบี่คู่หนึ่งยาวหนึ่งสั้นก็เดินออกมาอย่างเกียจคร้าน เห็นเฉาซีแล้วก็ไม่มีท่าทางเคารพยำเกรง เอ่ยยิ้มๆ “ทำไม อารมณ์เสียมาจากจวนตระกูลเซี่ยเลยคิดจะมาระบายอารมณ์เอากับข้า อุตส่าห์เดินมาตั้งไกลก็เพื่อจะลากข้าออกมาด่างั้นรึ?”

เฉาซีปรายตามองเฉาจวิ้น “เด็กเปรต!”

เฉาจวิ้นหัวเราะร่า “ช่วยไม่ได้ ก็ติดมาจากบรรพบุรุษนี่นา”

ลึกๆ ในใจของเฉาเม่ารู้สึกอิจฉามือกระบี่หนุ่มจากตระกูลเดียวกันซึ่งเขารู้จักแต่ชื่อแซ่ผู้นี้อยู่บ้าง ถึงขนาดกล้าพูดกับบรรพบุรุษด้วยน้ำเสียงกวนโทสะแบบนี้

เฉาซีเงียบไปครู่หนึ่ง เขามองการจัดวางและการไหลเวียนของลมและน้ำในจวนที่ว่าการอย่างละเอียดแล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “เมื่อไม่นานมานี้ที่ว่าการเพิ่งจะถูกปรับเปลี่ยนใหม่ใช่หรือไม่? ใครเป็นคนออกความคิด?”

เฉาเม่ากวาดตามองไปรอบด้าน ก่อนจะตอบเบาๆ “ท่านปู่เป็นคนเอาแผนที่ของที่ว่าการไปให้ยอดฝีมือสกุลลู่ในเมืองหลวงคนหนึ่งช่วยดูแล้วขอคำแนะนำ ท่านบรรพบุรุษ มีอะไรหรือ ไม่เหมาะหรือขอรับ?”

สีหน้าของเฉาซีเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง “ไม่เหมาะ? เหมาะนักล่ะ สามารถซ่อนลมรวมน้ำได้ดียิ่งกว่าเก่า หากเปลี่ยนอีกเล็กน้อยก็สมบูรณ์ดุจแต้มนัยน์ตามังกร มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นสถานที่ที่มังกรได้ลุกผงาด อืม อย่าเข้าใจผิด เจ้าไม่ได้มีชะตาดีถึงขนาดจะได้เป็นโอรสสวรรค์มังกรที่แท้จริง หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ชั่วชีวิตนี้อย่างมากสุดเจ้าเฉาเม่าก็จะได้รับสืบทอดตำแหน่งนายพลเอก หากโชคดีในอนาคตก็อาจจะกลายเป็นบรรพบุรุษผู้นำพาความรุ่งเรืองซึ่งถูกบันทึกไว้ในลำดับเทียบวงศ์ตระกูล”

เฉาเม่าปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง ไม่ว่าอย่างไรก็เก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่

เฉาจวิ้นยิ้มตาหยีด้วยความเคยชิน

เฉาซีกลับรู้สึกหน่ายใจ กว่าตนจะทำให้ตระกูลกลายมาเป็นตระกูลใหญ่ที่มีลูกหลานเฟื่องฟูได้ไม่ใช่ง่ายๆ ทำไมมาถึงท้ายที่สุดกลับมีแต่พวกไร้ประโยชน์ ได้เป็นนายพลเอกเสาหลักของราชวงศ์หนึ่งก็ยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลงแล้ว?

เฉาซีอารมณ์เสียอย่างหนัก เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าก็เท่านั้น

—————————–