บทที่ 201.2 หากไม่มีเรื่องจุกจิกรบกวนใจ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 201.2 หากไม่มีเรื่องจุกจิกรบกวนใจ โดย ProjectZyphon

จู่ๆ เฉาซีก็นึกถึงบ้านบรรพบุรุษที่ถูกคนอื่นซ่อมแซมให้จนแตกต่างไปจากในความทรงจำ ยกตัวอย่างเช่นหากเป็นวันที่ฝนตกหนัก เนื่องด้วยริมขอบหลังคาที่เปิดกว้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมของบ้านหลังโทรมที่เขาอยู่อาศัยตอนเด็กมีน้ำหยดซึมซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกปีจึงผุพังไม่เหลือสภาพไปนานแล้ว อีกทั้งพวกเขายังไม่มีเงินให้ซ่อมแซม พอฝนตกบนพื้นก็เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝน แต่หากเป็นหลังคาเปิดกว้างของตระกูลคนมีเงิน ไม่ว่าจะฝนหรือหิมะ ‘โชคลาภร่ำรวย’ ก็ล้วนตกลงไปในบ่อน้ำที่อยู่ด้านล่างเพดานเปิดทั้งหมด ไม่มีทางที่จะปล่อยให้พื้นดินรอบเพดานเปิดเปียกชื้น นั่นเรียกว่าการรับลมและน้ำอย่างสะอาดเอี่ยม ตามคำพูดของพวกคนเฒ่าคนแก่ในเมืองเล็ก บรรพบุรุษสั่งสมคุณความดี ประทานข้าวสารมาให้หนึ่งร้อยเม็ด ลูกหลานก็จะใช้ถ้วยใหญ่ซึ่งก็คือบ่อน้ำบนพื้นดินนี้รับเอาไว้หนึ่งร้อยเม็ดเต็มๆ ไม่ขาดไปสักเม็ด ไม่เหมือนบ้านของเฉาซีตอนเด็กที่อย่างมากก็ได้แค่รับข้าวไว้ครึ่งถ้วย

ตอนนี้บ้านบรรพบุรุษที่พังถล่มได้รับการซ่อมแซมแล้ว ก็ถือว่ามีโชคดีหลังรับเคราะห์ หากเชื่อตามคำโบราณเรื่องผีเรื่องเจ้า ก็ถือว่าได้รับการปกป้องจากร่มเงาบรรพบุรุษ

เฉาซีพูดพึมพำ “บ้านที่ทำความดีย่อมมีเรื่องน่ายินดี หรือว่าข้าควรจะเชื่อสักหน่อย?”

จิ้งจอกสีแดงเพลิงตัวหนึ่งที่นั่งอยู่บนซุ้มประตูพูดแดกดัน “คนอื่นเชื่อเรื่องนี้ก็แล้วไปเถอะ แต่เจ้าเฉาซีก็จะเชื่อด้วย? หากเจ้าเชื่อจริงๆ ก็คงไม่มีทางเดินมาถึงวันนี้!”

เฉาซีไม่ได้เงยหน้า เพียงหัวเราะหยัน “นั่นก็เพราะข้าเฉาซีดวงแข็ง มีความสามารถมาก ดังนั้นจึงไม่ต้องเชื่อก็ได้ แต่หากเป็นสายสกุลเฉาในแจกันสมบัติทวีปที่ไม่ได้เรื่องได้ราวสายนี้ หากข้าไม่เชื่อซะบ้าง เกรงว่าวันใดพวกเขานึกจะล่มจมก็คงล่มจมไปจริงๆ”

เฉาจวิ้นเอ่ยเย้า “เชื่อจริงๆ หรือ? ทำไม หรือท่านบรรพบุรุษคิดจะสั่งสมคุณความดีกับเขาบ้างแล้ว? แบบนั้นพระอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกเป็นแน่”

เฉาซีหันหน้ามามองเฉาจวิ้น “ตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้น เจ้าไม่ต้องคิดอยากจะได้แล้ว หากตัดใจไม่ได้จริงๆ กลับไปข้าจะชดเชยให้เจ้าด้วยตัวเอง”

รอยยิ้มของเฉาจวิ้นเริ่มเย็นชา “ทำไม?”

เฉาซีทิ้งไว้หนึ่งประโยค “เพราะข้าคือบรรพบุรุษของเจ้า”

เฉาจวิ้นพลันหัวเราะเสียงดัง “งั้นก็เอาตามนี้! คนทำดีย่อมได้ดี ท่านบรรพบุรุษต้องมีอายุยืนยาวเป็นหมื่นปีแน่นอน!”

จิ้งจอกสีแดงเพลิงที่ยืนอยู่บนแผ่นป้ายปรบมือรัวๆ เพื่อแสดงความยินดี แต่ปากกลับพูดประชดไม่หยุด “ว้าว เหมือนภาพของบิดาผู้เมตตากับบุตรผู้กตัญญูเลย ท่านบรรพบุรุษมือใหญ่ใจกว้าง คนที่เป็นลูกหลานก็กตัญญูว่านอนสอนง่าย อบอุ่นใจยิ่งนัก ไม่ไหวๆ น้ำตาข้าจะไหล…”

เฉาซีแค่นเสียงหึหนึ่งที คร้านจะสนใจจิ้งจอกปากเสียตัวนี้ หมุนตัวได้ก็สะบัดชายแขนเสื้อก้าวยาวๆ จากไป

เมื่อผู้เฒ่าเดินออกไปจากที่ว่าการ ท้องฟ้าก็มืดครึ้มเหมือนฝนจะตกลงมาจริงๆ

เขากลับมาถึงบ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิง ฝนฤดูใบไม้ผลิโปรยปรายก็มาเยือนโดยไม่คาดคิด และยิ่งนานก็ยิ่งตกหนัก

เฉาซีนั่งอยู่ในห้องโถงเล็กๆ เพียงลำพัง ห้องนี้ไม่มีกรอบป้ายหน้าห้อง และคนจิ๋วควันธูปที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะถือกำเนิดขึ้นมาก็ถูกคนกินไปนานแล้ว

เหลือเพียงบ้านผุพังที่ตั้งอยู่อย่างเดียวดาย

เฉาซีพลันลุกขึ้นยืน เดินไปหยิบถ้วยใบใหญ่ใบหนึ่งมาจากชั้นวางในห้องครัว แล้วเดินมาที่ข้างบ่อน้ำซึ่งตรงกับเพดานสี่เหลี่ยมเปิดอ้า เขานั่งยองลงบนพื้น สองเท้าเหยียบอยู่บนหินไข่ห่างที่ปูไว้ในบ่อน้ำ ใช้ถ้วยขาวรองรับน้ำฝน

พอรองน้ำฝนได้เกือบครึ่งถ้วย เฉาซีกระดกขึ้นดื่มหนึ่งคำแล้วสาดน้ำที่เหลือลงไปในบ่อทันที สบถพึมพำ “พวกบัณฑิตดีแต่พูดอะไรเลื่อนเปื้อน น้ำของบ้านเกิดอร่อยเท่าเหล้าเสียที่ไหน”

เฉาซีถอนหายใจ นั่งเหม่อลอย

สุดท้ายผู้เฒ่ายกถ้วยขึ้น หันหน้ากลับไปมองก็คล้ายจะเห็นสตรีลักษณะแก่กว่าวัยคนหนึ่งกำลังทำงานอยู่ในห้อง พอเขาหันมามอง นางก็เหมือนจะหยุดงานในมือลง กอดไม้กวาดเอาไว้ ยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ส่งยิ้มมาให้บุตรชายของตน ลูกอยากจะตอบแทน แต่พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว คนเป็นมารดาไม่เคยได้สุขสบาย แต่ขอแค่ลูกชายได้ดิบได้ดี อะไรก็ยอมทน

ผู้เฒ่าที่เสวยสุขกับความร่ำรวยหรูหราทุกอย่างจนครบถ้วนมานานนม ไม่รู้ว่ากี่ร้อยปีแล้วที่ตัวเองไม่เคยรู้สึกเสียใจแบบนี้ น้ำตากลบดวงตาของเขา ปากพึมพำเบาๆ “ท่านแม่ ท่านแม่คนโง่ของข้า”

……

เนินเขาทางใต้ของภูเขาพีอวิ๋น สำนักศึกษาหลินลู่กำลังเริ่มดำเนินการก่อสร้าง ราวกับว่าทุกวันจะต้องมีอาคารมีหอเรือนสูงผุดขึ้นมา ต้าหลีให้ความสำคัญกับสำนักศึกษาแห่งนี้มาก ฮ่องเต้สกุลซ่งถึงกับให้สร้างในระดับที่เท่าเทียมกับศาลเทพขุนเขาเหนือ ลำพังเพียงแค่พระราชโองการก็มีถึงสองฉบับ โดยส่งไปให้กับที่ว่าการมณฑลและที่ว่าการเขตการปกครอง

เจียวเฒ่าแห่งแคว้นหวงถิงที่ใช้ชื่อว่าเฉิงสุ่ยตงสวมชุดสีเขียว ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของอาจารย์ผู้มากความรู้

บุคคลที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเจียวเฒ่าผู้นี้ซึ่งหากรวมฮ่องเต้ต้าหลีและราชครูชุยฉานเข้าไปแล้วก็ยังมีน้อยจนนับนิ้วได้ ดังนั้นต่อให้ผลงานของเฉิงสุ่ยตงจะโด่งดัง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในแถบทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป แต่การที่ให้ซื่อหลางรองเจ้ากรมตำแหน่งเล็กๆ ของแคว้นหวงถิงมารับตำแหน่งรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาก็ยังตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของคนในราชสำนักต้าหลีอยู่ดี ในราชสำนักรู้สึกว่าเฉิงสุ่ยตงไม่มียศตำแหน่งในระบบการศึกษาของลัทธิขงจื๊อ น้ำหนักเบาเกินไป ไม่อาจทำให้ผู้คนยอมสยบได้ ขุนนางบู๊ก็ยิ่งไม่พอใจ ตาแก่หงำเหงือกจากแคว้นหวงถิงคนหนึ่ง แค่มีชีวิตรอดอยู่ได้ก็ไม่เลวแล้ว นี่ยังคิดจะมาเป็นอาจารย์ของเหล่าเมล็ดพันธ์บัณฑิตต้าหลีอีกรึ?

เจียวเฒ่ายืนเคียงบ่าอยู่กับเว่ยป้อ มองที่ตั้งสำนักศึกษาที่ฝุ่นคลุ้งตลบ จอแจไปด้วยเสียงผู้คนที่กำลังทำงานก่อสร้าง นี่ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาสองคนมาพบหน้ากันเป็นการส่วนตัว

เจียวเฒ่าปลงอนิจจัง “เจ้าเว่ยป้อลุกติดไฟท่ามกลางกองขี้เถ้ามอดได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ช่างอยู่เหนือการคาดการณ์จริงๆ”

ในอดีตเคยเป็นเทพขุนเขาเหนือของแคว้นเสินสุ่ย จากนั้นก็ถูกต้าหลีทุบทำลายร่างทองทิ้งลงก้นแม่น้ำ ภายหลังกว่าจะถูกคนเก็บเศษซากไปประกอบเป็นร่างทองที่ไม่สมประกอบ ฝืนรักษาควันธูปไม่ให้ขาดสายได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่คาดคิดว่าหายนะจะหล่นลงมาจากฟ้า จู่ๆ ก็ถูกเซียนสองคนที่เล่นหมากล้อมถอดร่างทองทิ้ง ตกต่ำกลายมาเป็นเทพเจ้าที่ที่ลำดับชั้นต่ำเตี้ยที่สุด ยังเทียบกับพ่อปู่แม่ย่าลำคลองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ทว่ามาถึงท้ายที่สุดกลับได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นเทพขุนเขาเหนือของภูเขาพีอวิ๋นอีกครั้ง

คาดว่าเทพแห่งขุนเขาดั้งเดิมของต้าหลีคงต้องมีใจอยากสู้กับเว่ยป้อให้ตายกันไปข้างอยู่บ้าง

ในอดีตเจียวเฒ่าเคยเดินทางไกลไปเยือนหลายๆ สถานที่ จึงได้รู้จักกับเว่ยป้อมานานแล้ว

ฝนเม็ดเล็กโปรยลงมาจากฟากฟ้า ฝุ่นผงจึงถูกกดทับกลับลงไปบนพื้นดิน

แน่นอนว่าเจียวเฒ่ากับเว่ยป้อไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเม็ดฝนกระเด็นมาโดนร่าง

เว่ยป้อยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาโบกเบาๆ ม่านฝนเบื้องหน้าก็กระเพื่อมตามไปด้วย เขายิ้มบางเอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้นคนบนโลกจะอิจฉาว่าเทพเซียนดีกว่าไปทำไม? แล้วนับประสาอะไรกับที่เทพยังอยู่ข้างหน้า เซียนยังอยู่ด้านหลัง”

เจียวเฒ่าถามเบาๆ “ฮ่องเต้ต้าหลีจะลงมาที่เขตการปกครองหลงเฉวียนจริงรึ?”

เว่ยป้อยิ้มตาหยี ตอบอย่างไม่ปิดบัง “ก็จริงน่ะสิ อีกไม่นานก็คงมา ถึงเวลานั้นเจียวเฒ่าอย่างเจ้าได้พบโอรสสวรรค์มังกรที่แท้จริง จะต้องสนุกมากแน่ เจ้าเตรียมของขวัญพบหน้าไว้พร้อมหรือยัง?”

เจียวเฒ่ายิ้ม “เตรียมไว้แล้ว แต่ไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง”

เว่ยป้อชี้ไปทางเมืองเล็ก ถามว่า “จะตีกันหรือไม่ ถ้าตีกัน เจ้าจะลงมือไหม?”

เจียวเฒ่าลังเลไปชั่วขณะ สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่มองว่าที่เทพขุนเขาผู้ยิ่งใหญ่เป็นคนโง่ “ขึ้นเรือโจรแล้วยังจะทำยังไงได้อีก?”

เว่ยป้อรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย “แค่อย่าตีกันจนภูเขาพีอวิ๋นของข้าพังก็พอ”

เจียวเฒ่าหัวเราะเสียงดัง “มองเป็นบ้านของตัวเองเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?”

เว่ยป้อหัวเราะหึหึ “ข้าคนนี้ได้ใหม่แต่ไม่ลืมเก่าหรอกนะ”

เว่ยป้อชี้ไปที่เทพชุดขาวข้างกาย “ไม่ลืมเก่าได้อย่างเจ้าก็นับว่าหายาก”

เว่ยป้อหัวเราะเสียงดังกังวาน “นั่นย่อมเป็นเพราะประสบการณ์เจ้ายังไม่มากพอ”

ฟังความนัยที่แฝงอยู่ในประโยคนี้ออก เจียวเฒ่าก็หุบยิ้ม เอ่ยเตือน “เรื่องบางเรื่องคนอื่นทำได้ แต่พวกเราพูดไม่ได้”

เว่ยป้อพยักหน้ารับ แล้วก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ข้าต้องไปที่ภูเขาลั่วพั่วสักหน่อย คงไม่อยู่ตากฝนเป็นเพื่อนเจ้าแล้ว”

……

เหนือลำคลองหลงซวี เม็ดฝนตกกระทบลงในน้ำลำคลองเสียงดังจักๆ

เบื้องใต้สะพานหินโค้ง สตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งที่มีเส้นผมสีนิลหนาดกเหมือนหญ้าน้ำลอยตัวอยู่เหนือท้องน้ำ ร้องไห้กระซิกๆ นางคิดถึงหลานชายของตน แล้วพอนึกถึงสภาพอเนจอนาถที่ร่างทองครึ่งหนึ่งของตัวเองถูกทำลายไปก็ยิ่งเสียใจ ขนาดอยู่ในถิ่นของตัวเองยังยากลำบากขนาดนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลานชายที่อยู่ไกลถึงภูเขาเจินอู่ และต้องฝึกตนท่ามกลางเทพเซียนและภูตผีปีศาจมากมายเลย

ก่อนหน้านี้นางยังสามารถออกตรวจตราลำคลองหลงซวีอย่างเบิกบานได้ทุกวัน คิดว่าเมื่อตนเป็นสุนัขที่อาศัยบารมีจิ้งจอกรังแกคนอื่น รวมไปถึงใช้การข่มขู่ที่หน้าไม่อายทั้งหลายรวบรวมสมบัติที่ทั้งมีค่าและไม่มีค่ามาได้มากมายแล้ว สักวันหนึ่งจะต้องมอบทั้งหมดให้แก่หลานชาย เขาจะได้ไม่ต้องหงุดหงิดเรื่องการหาเงินบนเส้นทางของการฝึกตน แต่ตอนนี้เมื่อได้รับความเจ็บปวดมหาศาล ต้องทำลายร่างทองของตนที่ต้นกำเนิดลำคลอง ทำให้เทพลำคลองที่ยังไม่มีศาลให้เสวยสุขกับควันธูปผู้นี้กระจ่างถึงคำว่าวิถีสวรรค์ยากคาดเดา การฝึกตนเป็นเรื่องยากลำบากอย่างแท้จริง ช่วงนี้นางจึงมาหลบอยู่ใต้สะพานหินโค้ง ใช้น้ำตาอาบหน้าทุกวัน

แต่แล้วสตรีแต่งงานแล้วก็หยุดเสียงสะอื้น ข่มกลั้นความตื่นตะลึงในใจ พุ่งตัวว่ายไปยังตำแหน่งที่ใกล้กับริมฝั่ง เปิดทางให้กับผู้บังคับบัญชาท่านหนึ่งอย่างรวดเร็วและว่าง่าย

แน่นอนว่าสตรีแต่งงานแล้วต้องรู้จักองค์เทพแห่งแม่น้ำเถี่ยฝูผู้นั้น อีกฝ่ายมีนามว่าหยางฮวา มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นเทพแม่น้ำระดับสูงซึ่งอายุน้อยที่สุดของบุรพแจกันสมบัติทวีป นางมีเส้นผมสีทองที่ยาวถึงหนึ่งจั้ง สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า มักจะกอดกระบี่ยาวเล่มหนึ่งไว้ในอ้อมอก อารมณ์ร้ายอย่างถึงที่สุด ภูตผีที่ผ่านทางมาซึ่งตายด้วยน้ำมือนางมีมากมายเกินจะนับได้หมด

ลำคลองหลงซวีคือช่วงน้ำตอนบนของแม่น้ำเถี่ยฝู แน่นอนว่าต้องถือเป็นน่านน้ำของแม่น้ำเถี่ยฝู ดังนั้นการที่หยางฮวาจะมาตรวจตราลำคลองจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องสมเหตุสมผลแล้ว เพียงแต่ว่าหลังจากหยางฮวาได้รับตำแหน่งเทพแม่น้ำก็ไม่เคยขึ้นมาที่น้ำตกอันเป็นจุดตัดระหว่างลำคลองและแม่น้ำเลย วันนี้เป็นครั้งแรก เทพลำคลองที่ตอนมีชีวิตอยู่ชื่อว่าหม่าหลันฮวา แม้จะกลายมาเป็นเทพแล้วก็ยังคงมีนิสัยเหมือนหญิงชาวบ้านขี้ขลาดดังเดิม นางก้มหน้าพูดจาทักทายตามมารยาทอย่างขลาดๆ พอเงยหน้าอีกครั้งก็เห็นว่าหยางฮวาทะยานไปไกลหลายสิบลี้แล้ว

ในใจสตรีแต่งงานแล้วเจ็บแค้น รู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้ไม่รู้จักมารยาทเอาเสียเลย ต่อให้เป็นผู้บังคับบัญชาที่อยู่เหนือนาง แต่ไม่คิดจะทักทายกันสักคำก็ไม่เกินไปหน่อยหรือ

ดังนั้นสตรีแต่งงานแล้วจึงเริ่มบ่นกับตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองถูกคนรังแก

สุดท้ายสตรีแต่งงานแล้วกลัวว่าหลานชายของตนจะถูกคนอื่นมองไม่เห็นหัวแบบเดียวกัน นางจึงยกมือข้างหนึ่งกดไปที่หัวใจ มืออีกข้างเช็ดน้ำตา จากนั้นก็ว่ายกลับไปที่รังของตัวเองราวปลาหลีส่ายสะบัดหาง ได้เห็นสมบัติทั้งหลายของตน แล้วคิดว่าวันหน้าพวกมันจะกลายมาเป็นสินสอดทองหมั้นที่อู้ฟู่ของหลานชาย นางถึงได้อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง ถึงได้รู้สึกว่าชีวิตที่ยากลำบากยิ่งกว่าตายนี้พอจะมีความหวังรออยู่เบื้องหน้าบ้าง

——————————-