ตอนที่ 269 จอหงวนแห่งชาติ เตรียมตัวเดินทางสู่เมืองหลวง

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

หนิงฉิงและคนอื่นลงจากรถ 

 

 

ที่จอดรถของโรงแรมอวิ๋นติ่งในวันนี้ดูเหมือนจะเต็ม 

 

 

หนิงฉิงพาทั้งสองคนเดินไปยังประตูใหญ่  

 

 

ฉินอวี่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูอยู่สักครู่ เธอได้เชิญสวีเหยากวง แต่สวีเหยากวงกลับไม่ได้ตอบเธอกลับมาเลย เธอหรี่ตาลง แล้วไม่ได้มองโทรศัพท์ต่ออีก  

 

 

ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว แต่เป็นเพราะว่าเป็นต้นฤดูร้อน พระอาทิตย์จึงยังไม่ตกเต็มที่ ไฟบนถนนยังไม่สว่าง 

 

 

แต่ตัวหนังสือที่อยู่บนจอสีเงินบนประตูใหญ่โรงแรมกลับเห็นชัดโดดเด่นเป็นพิเศษ 

 

 

ฉินอวี่มองหนึ่งที  ซึ่งตอนนั้นกำลังฉายสลับมาเป็นคำแสดงความยินดีของเธอพอดี “ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับฉินอวี่ที่สอบได้คะแนนสูงถึงหกร้อยสี่สิบเก้าคะแนน!” 

 

 

เพียงมองแค่หนึ่งครั้ง ฉินอวี่ก็ละสายตายังไม่ได้ใส่ใจ 

 

 

หลินหว่านหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปหนึ่งใบ จากนั้นก็แชร์ลงในโซเชียลเน็ตเวิร์ก แล้วจึงมองไปที่ฉินอวี่ “พวกเราไปกันเถอะ”  

 

 

ทั้งสองคนเดินนำไปก่อนสองก้าว  ในขณะที่เดินไปถึงประตูทางเข้าโรงแรม ก็ไม่พบหนิงฉิงแล้ว 

 

 

ฉินอวี่มองไปข้างหลังอย่างประหลาดใจอย่างมาก หนิงฉิงหยุดนิ่งอยู่ที่ประตูใหญ่ กำลังเงยหน้าขึ้นมองคำแสดงความยินดีบนจอสีเงิน แววตาจ้องไม่ไหวติง 

 

 

“แม่คะ?” ฉินอวี่มองไปพร้อมกับหลินหว่าน ต่างรู้สึกประหลาดใจ เธอเดินเข้าไปหนึ่งก้าว  อยากจะดูว่ากำลังมองอะไรอยู่กันแน่ “ดูอะไรอยู่ทำไมสีหน้าอย่างนั้น” 

 

 

เธอเดินไปข้างตัวหนิงฉิง แล้วมองตามสายตาของหนิงฉิงไป 

 

 

ภาพที่ฉายอยู่บนหน้าจอยังไม่ทันเปลี่ยน คำแสดงความยินดีปรากฏอยู่อย่างชัดเจน… “ทางโรงแรมและพนักงานทุกคนขอแสดงความยินดีกับฉินหร่าน จอหงวนประจำเมืองที่ได้คะแนนสอบสูงถึงเจ็ดร้อยสี่สิบเจ็ดคะแนน!” 

 

 

คะแนนสอบบอกมา ฉินอวี่ไม่ได้ใส่ใจว่าใครจะได้เป็นจอหงวนการสอบเข้ามหาวิทยาครั้งนี้ จอหงวนของเมืองอวิ๋นเฉิง ถ้าไม่ใช่สวีเหยากวง ก็คงเป็นพานเสี่ยวหมิง ทั้งสองคนนี้ฉินอวี่ไม่ได้ใส่ใจนัก 

 

 

แต่บนหน้าจอที่แสดงอยู่นี้มันคืออะไรกัน 

 

 

ฉินหร่านได้เป็นจอหงวนแห่งเมืองคะแนนถึงเจ็ดร้อยสี่สิบเจ็ดคะแนนอย่างนั้นหรือ เป็นฉินหร่าน! เป็นไปได้อย่างไรกัน? 

 

 

ฉินอวี่รู้สึกหัวหมุน เริ่มคิดอย่างฟุ้งซ่าน หรือจะเป็นคนชื่อเหมือน ต้องเป็นคนชื่อเหมือนสิ… 

 

 

ข้อสอบในปีนี้ยากถึงขนาดนี้ ฉินหร่านจะสอบได้เจ็ดร้อยสี่สิบเจ็ดคะแนนเลยหรือ ฉินอวี่ถึงกับสงสัยว่าตัวเธอกำลังฝันไป 

 

 

เธอสอบได้หกร้อยสี่สิบเก้าคะแนนก็ถูกคนตระกูลหลินคุยโวกันไม่หยุดแล้ว คะแนนยิ่งสูงความแตกต่างยิ่งมาก เจ็ดร้อยสี่สิบเจ็ดคะแนนและหกร้อยสี่สิบเก้าคะแนนไม่เพียงต่างกันเก้าสิบแปดคะแนน แต่มันเป็นช่องว่างที่ไม่อาจจะกระโดดข้ามเสียด้วยซ้ำ… 

 

 

หนิงฉิงไม่ได้พูดอะไร เธอได้แต่เพียงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อเข้าเว็บไซต์โรงเรียนเหิงชวน 

 

 

เป็นเพราะรู้สึกตกใจอย่างมาก นิ้วมือของเธอจึงสั่นเทิ้มเบาๆ กดจิ้มอยู่สองสามครั้ง ในที่สุดหน้าเว็บไซต์ก็ปรากฏ 

 

 

ข่าวที่เด้งขึ้นมาอันดับแรกบนหน้าเว็บไซต์ก็คือหน้าผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัย 

 

 

อันดับที่หนึ่ง อันดับที่สองและอันดับที่ห้าล้วนแต่อยู่ที่โรงเรียนเหิงชวน 

 

 

หนิงฉิงจ้องนิ่งไปยังชื่ออันดับที่หนึ่งบนหน้าเว็บไซต์ที่ปรากฏอยู่บนโทรศัพท์มือถือ ฉินหร่านห้องเก้าเหิงชวน… 

 

 

เธอแทบจะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวดัง “ตุบๆ” อย่างชัดเจน ดังจนแทบจะทะลุออกจากอก  

 

 

“มันเกิดอะไรขึ้น” เป็นเพราะเรื่องที่บริษัท หลินฉีจึงมาถึงช้าเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าสามคนนี้จะยืนอยู่ที่หน้าทางเข้าโรงแรมไม่ไปไหน  

 

 

หนิงฉิงหูอื้อ ไม่ได้ยินเสียงรอบข้างใดๆ ได้แต่จ้องไปที่โทรศัพท์มือถือ จึงไม่ได้ตอบหลินฉี 

 

 

ท่าทีของเธอเช่นนี้ทำให้หลินฉีรู้สึกแปลกใจ 

 

 

ตอนนี้คำแสดงความยินดีบนหน้าจอได้เปลี่ยนไปเป็นคนอื่นไปแล้ว หลินฉีจึงไม่ทันได้เห็น 

 

 

แต่เขาสังเกตเห็นมือถือในมือของหนิงฉิง 

 

 

เดินเข้าไปข้างตัวเธอ แล้วก้มหน้าลงมอง ใบหน้าที่อ่อนโยนแต่ไหนแต่ไรมาของเขาพลันพังทลาย “นี่…นี่คือหรานหร่านหรอ” 

 

 

** 

 

 

พวกตระกูลหลินทั้งงานต่างดูราวกับว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะด้วยเรื่องคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยของฉินหร่าน  

 

 

ซึ่งพวกฉินหร่านไม่รู้ตัวเลย 

 

 

“เด็กวัยรุ่นพวกนี้ช่างคึกคักกันเสียจริง” เมื่อได้เห็นเด็กๆ เหล่านี้ตรงข้ามกับห้องวีไอพีของห้องเก้า นายท่านเฉิงจึงได้เดินออกมา ดึกขนาดนี้ถ้าเป็นวันปกติ นายท่านเฉิงคงนอนไปนานแล้ว วันนี้กลับยังตาสว่างสดชื่น 

 

 

ในห้องวีไอพีเล็กโดยมากแล้วเป็นคนสูงอายุ พอถึงสี่ทุ่มก็เริ่มแยกย้ายกัน นายท่านเฉิงจึงนั่งพูดคุยกับพวกเฉิงเจวี้ยน 

 

 

“เธอสนิทสนมกับคนบ้านตระกูลสวีตั้งแต่เมื่อไหร่” นายท่านเฉิงนั่งอยู่บนโซฟา ในมือถือแก้วชาบำรุง มองไปยังเฉิงเจวี้ยนด้วยสีหน้าแจ่มใส 

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่ได้นั่งดูสง่าเหมือนเขา เอนตัวอย่างเอื่อยเฉื่อยบนโซฟา ดูสะลึมสะลือเล็กน้อย “ผมไม่ได้สนิทสนมอะไรเป็นพิเศษกับพวกเขา” 

 

 

ถูกนายท่านเฉิงถามเช่นนี้ เขาถึงกับตาตื่น 

 

 

จากนั้นก็ใช้มือค้ำโซฟาลุกขึ้นยืน ก้มหน้าลงจัดระเบียบแขนเสื้อ แล้วพูดขึ้นอย่างไม่รีบร้อนว่า “ผมไปดูฝั่งตรงข้ามสักหน่อยนะครับ” 

 

 

นายท่านพยักหน้า รอจนเฉิงเจวี้ยนออกไป นายท่านเฉิงจึงได้มองไปที่เฉิงมู่ 

 

 

เฉิงมู่อธิบายอย่างราบเรียบว่า “นายท่านครับ ก็แบบนี้แหละ คุณสวีสนิทกับคุณหนูฉินอย่างมาก” 

 

 

มือที่ถือแก้วชาของนายท่านเฉิงสั่นเบาๆ เขาหรี่ตาอย่างดูน่าเกรงขาม “ทำไมเธอไม่บอกฉันอย่างนี้ตั้งแต่แรก” 

 

 

เฉิงมู่ “…ผมเพิ่งรู้ทีหลังเองครับ” 

 

 

นายท่านเฉิงกระแทกแก้วชากับโต๊ะดัง “ตุบ” “แล้วทำไมหลังจากนั้นนายไม่บอกฉัน” 

 

 

“…แต่ท่านเองหลังจากนั้นก็ไม่ได้ถามผมนี่ครับ” เฉิงมู่รู้สึกชาไปทั้งหน้า 

 

 

นายท่านเฉิง “…” 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งที่นั่งอยู่ข้างนายท่านเฉิงแทบจะปรบมือให้กับเฉิงมู่ นี่เฉิงมู่เขากล้าต่อปากต่อคำกับนายท่านเฉิงเลยหรือ 

 

 

นายท่านเฉิงมองไปที่เฉิงมู่ด้วยสายตาเย็นชาหนึ่งที 

 

 

จากนั้นก็เริ่มครุ่นคิด 

 

 

ความคิดของเขาไม่เหมือนกับพวกลู่จ้าวอิ่งและเฉิงมู่  สองสามปีมานี้อาจารย์ใหญ่สวีแทบจะไม่ได้มาที่เมืองหลวง พวกนายท่านเฉิงต่างรู้สึกประหลาดใจต่อพฤติกรรมของเขา 

 

 

ตอนนี้เฉิงมู่บอกว่าฉินหร่านรู้จักกับอาจารย์ใหญ่สวี  

 

 

นายท่านเฉิงยกแก้วชาขึ้น ความคิดหนึ่งค่อยๆ ผุดขึ้นในหัว… 

 

 

เมื่อคิดเช่นนั้น เขาก็มองไปที่ฝั่งตรงข้ามอย่างอดใจไม่ได้  

 

 

“นายท่าน ชาเย็นแล้วครับ ผมเปลี่ยนแก้วใหม่ให้ดีไหม” พ่อบ้านเฉิงยื่นมือไปหยิบชาของนายท่านเฉิง 

 

 

“ไม่ต้อง” นายท่านเฉิงส่ายหน้า หายใจเข้าลึกๆ แล้วหายใจออกมา “ประมาณนี้กำลังดี” 

 

 

งานเลี้ยงบนชั้นดาดฟ้าดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนถึงเวลาเที่ยงคืน 

 

 

นี่ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่คนมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าหลังจากเรียนจบ จากนี้ไปทุกคนคงจะแยกย้ายไปตามทางของตน อยากจะมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาคงยาก ดังนั้นทุกคนในห้องเก้าจึงไม่ได้รีบร้อนกลับ 

 

 

จนกระทั่งถึงเวลาตีหนึ่งจึงได้แยกย้ายกัน พ่อบ้านเฉิงเรียกรถมาขบวนหนึ่ง แล้วส่งเด็กเหล่านี้กลับบ้านกันทีละคน 

 

 

** 

 

 

คะแนนของทั้งประเทศออกมาแล้ว  

 

 

คะแนนของฉินหร่านเป็นอันดับหนึ่งอย่างสมเกียรติ สวีเหยากวงตามมาติดๆ เป็นอันดับสอง เรื่องที่อวิ๋นเฉิง ปรากฏจอหงวนและลำดับสองของประเทศทำให้สื่อมวลชนให้ความสนใจอย่างหนัก แม้กระทั่งในเวยป๋อก็กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา 

 

 

วันที่สองหลังจากคะแนนออก นักข่าวเมืองอวิ๋นเฉิงก็ออกตามหากันทั่ว 

 

 

โทรศัพท์จากเหิงชวนโทรเข้าหมายเลขมือถือของฉินหร่านอยู่ไม่ขาด 

 

 

ในหมายเลขโทรศัพท์ของโรงเรียน มีเบอร์โทรของครูประจำชั้นที่ปรึกษาอย่างเกาหยางอย่างขาดไม่ได้ ฉินหร่านไม่ได้บล็อกเบอร์นี้ไป แต่ก็รู้สึกรำคาญพอสมควร 

 

 

ที่สนามบินเมืองหลวง อาจารย์เว่ยเพิ่งจะลงจากเครื่องบิน ก็เอาโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาฉินหร่าน 

 

 

เขามีงานแสดงงานหนึ่ง เพิ่งจะมาถึงอวิ๋นเฉิง จึงไปงานเลี้ยงเข้ามหาวิทยาลัยของฉินหร่านไม่ทัน แต่ก็โทรศัพท์หาฉินหร่านเพื่อแสดงความยินดี 

 

 

ตอนนี้กลับถึงประเทศแล้วจึงรอที่จะโทรศัพท์ให้ฉินหร่านไม่ไหว 

 

 

“เมื่อไหร่จะมาสมาคมที่เมืองหลวง” อาจารย์ใหญ่เว่ยยื่นสัมภาระให้คนที่อยู่ด้านข้าง น้ำเสียงอ่อนโยน “ช่วงนี้ยังต้องรออีกสักพักหรอ” 

 

 

ฉินหร่านเพิ่งจะตื่น มือข้างหนึ่งของเธอกำลังแปรงฟัน อีกข้างหนึ่งถือโทรศัพท์มือถือ รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย “พรุ่งนี้ค่ะ พรุ่งนี้เดี๋ยวหนูไป” 

 

 

รู้สึกรำคาญเสียจริง แต่ละวันมีคนโทรเข้ามาไม่ซ้ำหน้า 

 

 

ฉินหร่านคิดว่าเมืองหลวงในเวลานี้เป็นสถานที่หลบภัยจริงๆ แล้ว 

 

 

ตอนแรกฉินหร่านวางแผนที่จะกลับไปที่ตำบลหนิงไห่สักครั้ง แต่สภาพเช่นนี้ ฉินหร่านวางแปรงสีฟันลง เธอลองคิดดูแล้ว หมู่บ้านหนิงไห่ต้องแขวนป้ายรออยู่แน่นอน  

 

 

ได้ยินฉินหร่านพูดเช่นนี้ อาจารย์เว่ยก็ตาเป็นประกาย เสียงสูงขึ้นมาทันที “ได้ๆ เดี๋ยวพวกฉันทางนี้จะเตรียมตัวทันที!” 

 

 

อาจารย์เว่ยวางสายโทรศัพท์ แล้วเริ่มทำการวางแผน 

 

 

พิธีไหว้ครูและอื่นๆ ต้องระบุไว้ในกำหนดการ ยังมีเรื่องสมาชิกใหม่ของสมาคมในปีนี้ ต้องวางแผนใหม่ 

 

 

สำหรับเรื่องการเรียนไวโอลินอย่างเป็นระบบของฉินหร่าน อาจารย์เว่ยสองสามปีมานี้ได้วางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว 

 

 

อาจารย์เว่ยวางแผนอย่างละเอียดยิบในใจ 

 

 

ผู้ช่วยจากสมาคมไวโอลินเมืองหลวงที่กำลังถือสัมภาระมองไปที่อาจารย์เว่ย รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย อาจารย์เว่ยเป็นบุคคลสำคัญในวงการไวโอลินของเมืองหลวง ท่าทีของเขาแต่ไหนแต่ไรยากที่จะคาดเดาได้ น้อยมากที่จะเห็นเขามีท่าทียินดีเช่นนี้ มีเรื่องอะไรน่ายินดีอย่างนั้นหรือ  

 

 

** 

 

 

ที่เมืองอวิ๋นเฉิง 

 

 

ฉินหร่านเพิ่งจะล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาชั้นล่าง 

 

 

ที่ชั้นล่าง พ่อบ้านเฉิงซื้อหนังสือนำเที่ยวเล่มหนึ่งคอยตามนายท่านอย่างกระตือรือร้น นายท่านเฉิงถือแก้วชา คอยฟังเขาบรรยายถึงสถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อสองสามที่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย “นายท่าน พรุ่งนี้ไปที่พักของคนมีชื่อแห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เพิ่งได้รับการบุกเบิก” 

 

 

ในท่านตอบว่า “อ๋อ” ด้วยน้ำเสียงเรื่อยเฉื่อย “ที่นั่นฉันรู้จักแล้ว ทิวทัศน์สวยทีเดียว” 

 

 

พ่อบ้านตระกูลเฉิงมองเขาปราดหนึ่ง  ไม่ได้ตอบกลับ  

 

 

เฉิงเจวี้ยนเมื่อใกล้ถึงเวลาแล้วก็กลับมาจากการวิ่งออกกำลังกายตอนเช้า 

 

 

เขาขึ้นไปเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว คนใช้เพิ่งจะเตรียมอาหารเช้าของเขาและฉินหร่านเสร็จพอดี 

 

 

“พรุ่งนี้ฉันจะไปเมืองหลวง” ฉินหร่านดื่มนม จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ เธอนั่งตัวตรง มองไปที่เฉิงเจวี้ยนแล้วพูดขึ้น  

 

 

เฉิงเจวี้ยนรู้ว่าอาจารย์เว่ยกลับมาวันนี้ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ จึงให้เฉิงมู่ไปเตรียมตั๋วเครื่องบิน 

 

 

คำพูดของทั้งสองนั้นเหมือนกับระเบิดที่โยนใส่นายท่านเฉิงลูกหนึ่ง 

 

 

เขาสะดุ้ง “พรุ่งนี้จะไปเมืองหลวงหรือ ด่วนอะไรขนาดนี้ จะไปทำไมกัน”