ตอนที่ 270 สถานการณ์เมืองหลวง จะพบกับเจ๊หร่านต้องรอคิว

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เฉิงเจวี้ยนหยิบตะเกียบขึ้น ได้ยินดังนั้นแล้ว ก็พูดกับนายท่านเฉิงด้วยน้ำเสียงที่ยินดีอย่างยิ่ง “ครับ พรุ่งนี้ท่านจะยังต้องไปดูทิวทัศน์เมืองอวิ๋นเฉิง พวกผมคงต้องขอตัวไปก่อน” 

 

 

นายท่านเฉิงเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็มองไปที่พ่อบ้านเฉิง 

 

 

พ่อบ้านเฉิงเก็บสมุดเล่มเล็กในมือ 

 

 

“นายท่าน ผมคิดว่าที่ดินที่อยู่หลังสวนของพวกเรา อาคารโบราณด้านหลังซึ่งตอนที่คุณชายและพวกคุณชายลู่ยังเด็กไปเล่นดีมากเลยทีเดียว” พ่อบ้านเฉิงแนะนำนายท่านเฉิงอย่างใส่ใจ 

 

 

นายท่านเฉิงยื่นมือไปเคาะโต๊ะ แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมบ้าง “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น อย่างนั้นก็กลับเมืองหลวงเถอะ เธอไปจัดการตั๋วเครื่องบิน” 

 

 

พ่อบ้านเฉิง “…” 

 

 

ในเมื่อจะกลับพร้อมกัน ตั๋วเครื่องบินก็ให้พ่อบ้านเฉิงเป็นคนจัดการแล้วกัน 

 

 

** 

 

 

ที่บ้านเฉียวเซิง 

 

 

เครื่องบินที่บินไปเมืองหลวงจากเมืองอวิ๋นเฉิงมีไม่มาก สวีเหยากวงเร่งรีบ ไปถึงบ้านเฉียวเซิงกลางดึก หลังจากงานเลี้ยงเข้ามหาวิทยาลัยฉินหร่านจบลง 

 

 

เขาไปไม่ทัน และไม่ได้เจอใครในห้องเรียนเดียวกัน 

 

 

เฉียวเซิงกำลังเมามาย คุณแม่เฉียวดึงตัวเขาลุกขึ้นมา เขาเดินลงไปที่ชั้นล่างโดยที่สติยังไม่กลับคืนดีนัก เขาหาวนอน “คุณชายสวี เจ๊หร่านจะไปที่เมืองหลวง” 

 

 

สวีเหยากวงชะงัก “เมืองหลวงเหรอ” 

 

 

“อืม” เฉียวเซิงยื่นมือไปหยิบหมอนอิงบนโซฟา แล้ววางข้างไว้บนหมอน พูดถึงตรงนี้แล้ว เขาก็มองไปยังสวีเหยากวง “ฉันคิดว่านายจะไม่กลับมาจริงๆ เสียแล้ว” 

 

 

“ฉันแค่อยากจะถามเธอสักหน่อย” สวีเหยากวงมองไปด้านนอก พูดเพียงครึ่งเดียว ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร เขาเม้มปาก แล้วไม่ได้พูดอะไรต่ออีก 

 

 

“แต่เจ๊หร่านวิชาฟิสิกส์สอบได้คะแนนเต็มเชียวนะ!” เฉียวเซิงคิดถึงข้อสอบวิชาวิทยาศาสตร์อันซับซ้อนนั้น แล้วนึกถึงคะแนนอันน่าสะพรึงของฉินหร่านก็ได้สติตื่น เขาหัวเราะเสียงเบา “ได้ยินว่าครูประจำชั้นมัธยมหนึ่งห้องหนึ่งลงเงินค่าขนมทั้งเดือนเดิมพันกับเธอ รวยขึ้นพริบตาในคืนเดียวเลย” 

 

 

“วิชาฟิสิกส์สอบได้คะแนนเต็มครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เพราะว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมีคนจากตระกูลโจวเข้าร่วมมาด้วย” สวีเหยากวงมองไปยังเฉียวเซิง “รู้เรื่องที่เมืองหลวงแล้วหรือยัง” 

 

 

เฉียวเซิงยังมึนงง “แม่ฉันเล่ามานิดหน่อย” 

 

 

สวีเหยากวงรับแก้วน้ำที่คุณแม่เฉียวยกมาให้ แล้วกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ตระกูลในเมืองหลวงมีนับหมื่นนับพัน พัฒนาเป็นระบบความสัมพันธ์ยาวยืด แบ่งออกเป็นสี่พวก ตระกูลเฉิง ตระกูลสวี ตระกูลโจว ตระกูลฉิน สี่กลุ่มใหญ่นี้มีตระกูลเฉิงเป็นหัวหน้า สำหรับตระกูลฉิน ตระกูลโจว พลังชีวิตได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนักเมื่อไม่กี่ปีมานี้ อ่อนแอลงไป จนแทบจะถูกตระกูลโอวหยางเข้าแทนที่” 

 

 

เฉียวเซิงไม่เคยไปเมืองหลวง แต่หลังจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัย คุณแม่เฉียวได้บอกเหตุการณ์ที่เมืองหลวงกับเขา “ไม่ได้มีตระกูลลู่และตระกูลเจียงด้วยหรือ” 

 

 

“ตระกูลลู่และตระกูลเจียงเป็นพรรคพวกเดียวกับตระกูลเฉิง ไม่กี่สิบปีมานี้ค่อนข้างโดดเด่นอย่างมากในเมืองหลวง ตระกูลโจวและตระกูลฉินเป็นเพราะว่าอ่อนแอลง จนเกือบถูกผู้คนลืมเลือน คนส่วนใหญ่จะรู้จักเพียงว่าที่เมืองหลวงมีตระกูลเฉิง ตระกูลลู่ ตระกูลสวี ตระกูลเจียง และตระกูลโอวหยางห้าตระกูลเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่ามีระบบพรรคพวกสี่ตระกูลใหญ่” สวีเหยากวงพูดน้ำเสียงเรียบ “โรงเรียนมัธยมใหญ่หลายแห่งถูกแทรกแซงเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยติดต่อกันถึงสามปี ก็เพื่อแบ่งสรรความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ…สภาพของห้าตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงตอนนี้ถูกทำให้รวน” 

 

 

ความง่วงในตาของเฉียวเซิงหายไปสนิท เขาไม่รู้ว่าแค่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยหนึ่งครั้งจะมีการต่อสู้ช่วงชิงกันถึงเพียงนี้ มิน่าล่ะสองสามปีมานี้การสอบเข้ามหาวิทยาลัยจึงยากขึ้นทุกปี 

 

 

เรื่องของเมืองหลวงตอนนี้ยังอยู่ห่างจากเขาอีกตั้งสองเดือน ตอนนี้เขามีเรื่องอย่างอื่นที่อยากทำ 

 

 

พวกคนที่อยู่รายล้อมฉินหร่าน… 

 

 

เฉิงเจวี้ยน ลู่จ้าวอิ่ง รวมอาจารย์ใหญ่สวีด้วย ตระกูลใหญ่ทั้งห้าในตอนนี้ของเมืองหลวงรวมได้กว่าครึ่ง 

 

 

** 

 

 

ตอนบ่าย 

 

 

ที่บ้านตระกูลฉิน ตำบลหนิงไห่ 

 

 

ฉินฮั่นชิวและคนในครอบครัวอาศัยอยู่ที่ตำบล ซื้อบ้านขนาดสองห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น พื้นที่ไม่ได้ใหญ่มาก 

 

 

คุณแม่ฉินตอนนี้กำลังกินข้าวร่วมกับคนครอบครัวน้าชายของเธอ 

 

 

“ฟางเยี่ยห้าร้อยสามสิบคะแนน คาบเส้นไปสามสิบคะแนนแน่ะ” บนโต๊ะอาหาร คนทั้งหลายต่างแสดงความยินดีกับคนบ้านตระกูลฟาง 

 

 

ชายหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่ประจำที่ถือแก้วเหล้า ตอบกลับด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง “ก็งั้นงั้นแหละ ไม่ได้สอบได้ดีเท่าไหร่” 

 

 

“ฟางเยี่ย อนาคตต้องได้เป็นใหญ่เป็นโตแน่! ต้องได้ไปอยู่ในเมืองใหญ่แน่” คุณแม่ฉินยกแก้วเหล้าขึ้นมองไปยังฟางเยี่ยแล้วพูดขึ้นอย่างมีมารยาท จากนั้นก็ลูบหัวฉินหลิง “ดูพี่ฟางเยี่ยเป็นตัวอย่างให้ดีนะ!” 

 

 

คุณพ่อฟางมองไปที่ฉินฮั่นชิว “ฮั่นชิวฉันว่านะ นายดูแลฉินหลิงของบ้านนายให้ดี อนาคตอย่าให้มัวแต่เอ้อระเหยอยู่ในตำบลเล็กๆ อย่างนี้ เดี๋ยวจะไม่มีอนาคตเหมือนนาย” 

 

 

“ครับๆ” ฉินฮั่นชิวเพียงหยิบตะเกียบขึ้น แล้วกินข้าวเรียบๆ 

 

 

คุณพ่อฟางมองเขาหนึ่งที ยิ่งรู้สึกว่าเขาช่างไร้อนาคตนัก แต่น้องสาวดันชอบเขา 

 

 

“จอหงวนการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้แซ่ฉิน” คุณพ่อฟางพูดต่อ “ก็เป็นแซ่เดียวกับบ้านของพวกเธอ ฉินหลิง เธอ…” 

 

 

คุณพ่อฟางพูดยังไม่ทันจบ ด้านนอกก็มีคนเคาะประตูเรียกเขา “คุณฟาง! คุณฟาง! รีบออกมาเร็ว นายกเทศบาลตำบลมาครับ!” 

 

 

นายกเทศบาลตำบลหรือ 

 

 

ตระกูลฟางและตระกูลฉินหลายปีมานี้ ไม่ได้พบนายกเทศบาลตำบลหนิงไห่เลย 

 

 

คุณพ่อฟางพูดขึ้นอย่างตกใจ “นายกเทศบาลตำบลมาหาฉันมีเรื่องอะไร” 

 

 

เขากำลังเดินออกไปด้านนอกประตู ก็เห็นนายกเทศบาลตำบลและยังมีกลุ่มคนที่มามุงดูอยู่ด้านหลังเขา 

 

 

คะแนนสอบระดับจอหงวนในการเข้ามหาวิทยาลัยของฉินหร่านเพิ่งจะออกมาเมื่อวาน แต่ข่าวก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองอวิ๋นเฉิงในคืนเดียว ตำบลหนิงไห่อยู่ห่างไกล เอกสารที่ออกมาตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ นายกเทศบาลตำบลเช้าวันนี้เพิ่งจะได้รับข่าวว่าจอหงวนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นคนจากตำบลหนิงไห่ของพวกเขา จึงรีบสั่งให้คนไปหาธงป้ายมาแขวน 

 

 

“คุณคือคุณฉินสินะ” นายกเทศบาลตำบลเดินผ่านคุณพ่อฟางไป ตรงไปข้างกายฉินฮั่นชิว “ขอแสดงความยินดีกับคุณด้วย ที่เลี้ยงดูสั่งสอนจอหงวนคนที่สองของตำบลเรา ฉินหร่านสอบได้เจ็ดร้อยสี่สิบเจ็ดคะแนนเป็นอันดับจอหงวนของประเทศ! นี่คือเงินรางวัลของตำบลจำนวนสองหมื่นหยวน ยังมีนักข่าวตามหลังผมมาอีกสองสามคน เดี๋ยวพวกคุณไปดูแลหน่อยแล้วกัน พวกเขาอยากจะสัมภาษณ์ครอบครัวจอหงวนน่ะ…” 

 

 

คนบ้านตระกูลฉินและตระกูลฟางนิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ 

 

 

ฉินหลิงมองไปที่ป้ายแขวนที่ถูกคนแบกไว้บนบ่า ยังมีทองผ้าแพร ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอย่างรังเกียจ “พ่อครับ ผมกลับบ้านก่อนแล้วกัน” 

 

 

ทว่าฉินฮั่นชิวไม่ได้ตอบเขา 

 

 

ถนนในตำบลหนิงไห่ไม่ได้ใหญ่มากนัก เป็นเพียงตำบลเล็กๆ ในพื้นที่ห่างไกล ทั้งหมดมีถนนเพียงสามสาย บ้านตระกูลฉินเดินข้ามถนนสองสายก็ถึงแล้ว 

 

 

ฉินหลิงถือกุญแจกลับบ้าน 

 

 

กำลังข้ามถนนเส้นหนึ่ง ก็มองเห็นชายวัยกลางคนยืนอยู่ที่ปากทาง ฉินหลิงขมวดคิ้ว แล้วเลี่ยงไปเดินถนนอีกเส้นกลับบ้าน 

 

 

ชายวัยกลางคนผู้นั้นเห็นฉินหลิง ก็รีบตามเข้ามาทันที “หนู รอก่อน ลุงไม่ใช่คนร้าย ลุงมาจากเมืองหลวง…” 

 

 

น่ารำคาญจัง 

 

 

ฉินหลิงเอามือทั้งคู่อุดหู แล้วมุ่งหน้าเดินต่อ  

 

 

** 

 

 

วันรุ่งขึ้น  

 

 

สนามบินเมืองหลวงเวลาบ่ายสอง 

 

 

ฉินหร่านและคนอื่นลงเครื่อง ตระกูลเฉิงได้จัดเตรียมรถ MPV สีดำคันหนึ่งไว้เรียบร้อยแล้ว 

 

 

นายท่านเฉิงเดินไปด้านหน้าสุดด้วยสีหน้าบึ้งตึง 

 

 

เฉิงเจวี้ยนลากสัมภาระเดินตามฉินหร่าน แว่นดำหนีบอยู่บนสันจมูก ร่างกายสูงโปร่ง เดินสูงตระหง่านอยู่ท่ามกลางฝูงชน  

 

 

“คุณพ่อ พวกคุณพ่อกลับบ้านหลังเดิมก่อน” เฉิงเจวี้ยนเข็นสัมภาระ น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย 

 

 

นายท่านเฉิงเหยียดหลังตรง ยังคงเดินต่อไปอย่างมั่นคง ได้ยินคำพูดนั้น เขาก็หยุดฝีเท้าลง “แล้วนายล่ะ” 

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองเขาหนึ่งที แล้วเลิกคิ้ว “แล้วคุณพ่อเห็นผมกลับไปพักสักกี่ครั้งกันเชียว” 

 

 

นายท่านเฉิงเดินหน้าไปด้วยท่าทีเงียบงันยิ่งขึ้น สักพักใหญ่ ก็ถามขึ้นอีกครั้งว่า “แล้วพวกเธอจะไปพักกันที่ไหน” 

 

 

“ถิงหลาน” คอนโดมิเนียมหรูหราแห่งหนึ่งด้านข้างมหาวิทยาลัยเมืองหลวง เป็นบริเวณที่ดีที่สุดที่อยู่รอบมหาวิทยาลัยเมืองหลวง หากจะซื้อไว้สักห้อง ราคายังแพงกว่าบ้านเดี่ยวแถบชานเมืองเสียอีก 

 

 

“งั้นเดี๋ยวไปส่งพวกเธอที่ถิงหลานก่อนแล้วกัน” 

 

 

ฉินหร่านเดินตามหลังเฉิงเจวี้ยน เอามือกดปีกหมวกลง แล้วเดินตามไปอย่างใจเย็น 

 

 

เสียงข้อความโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เป็นอาจารย์เว่ยถามที่อยู่ของเธอ 

 

 

ฉินหร่านถามที่อยู่จากเฉิงเจวี้ยน เมื่อได้คำตอบแล้วก็ตอบข้อความของอาจารย์เว่ย 

 

 

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ทั้งหมดก็ไปถึงคอนโดถิงหลาน เป็นคอนโดมิเนียมแบบดูเพล็กซ์ 

 

 

ขนาดใหญ่ถึงสี่ร้อยแปดสิบตารางเมตร 

 

 

หลังจากเดินทางมายังเหน็ดเหนื่อย นายท่านเฉิงนั่งลงบนโซฟาในคอนโด ไม่ได้เดินทางต่อไปอย่างทันที พ่อบ้านตระกูลเฉิงมองเขาหนึ่งที ฉินหร่านขึ้นไปเก็บสัมภาระที่ชั้นสอง  จากนั้นก็ไปล้างหน้าที่ห้องน้ำ 

 

 

ยังไม่ทันล้างเสร็จ โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น 

 

 

คือฉางหนิง 

 

 

ฉินหร่านยื่นมือไปคว้าผ้าขนหนู เช็ดมือจนแห้ง แล้วจึงรับสาย “มีเรื่องอะไร” 

 

 

“มาที่เมืองหลวงแล้วหรือ” ฉางหนิงที่อยู่อีกฝั่งถามตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อม 

 

 

“ฉันเพิ่งมาถึง นายก็รู้แล้วหรอ” ฉินหร่านน้ำเสียงอ่อนตาม 

 

 

อีกฝั่งหนึ่งของสาย ฉางหนิงกำลังเดินอยู่บนโถงทางเดิน มือซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกง หัวเราะออกมาก่อนพูดว่า “ขอโทษที มันคือความคุ้นเคยในหน้าที่ หมู่นี้คนจำนวนมากล้วนแต่จับตามองความเคลื่อนไหวของเธออยู่” 

 

 

“อ๋อ” ฉินหร่านเดินออกไปด้านนอก แล้วเอาของในกระเป๋าเป้ที่แบกอยู่เทออกมา แล้วรื้อค้น 

 

 

“ตระกูลสวี ตระกูลโจว ตระกูลโอวหยาง ตอนนี้มีเพียงตระกูลเหล่านี้” ฝ่ายฉางหนิงไม่ค่อยจะใส่ใจเท่าไหร่ “ข้อมูลรายละเอียดเดี๋ยวฉันจะส่งให้เธออีกที” 

 

 

สักครู่หนึ่ง เขาก็ถามขึ้นอีกว่า “เธอเอาฉันมาพ่วงด้วย ต้องการจะทำอะไร” หลายตระกูลคอยจับจ้องเธอถึงขนาดนี้เลยหรือเธอตอนนี้รู้สึกได้ว่าการมาเมืองหลวงครั้งนี้ดูจะไม่สวยเสียแล้ว 

 

 

แน่นอน คนที่ถูกติดตามค้นหาไม่ใช่หมาป่าเดียวดาย แต่เป็นฉินหร่าน 

 

 

“ใครจะไปรู้ ส่งข้อมูลมาให้ฉันก็พอ” ฉินหร่านมองไปยังข้าวของที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ก็รู้สึกขี้เกียจที่จะเก็บกวาด เธอเปิดประตูเดินลงไปชั้นล่าง “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว แค่นี้นะ” 

 

 

“เดี๋ยวก่อน” ฉางหนิงรีบพูดขึ้น “แล้วจะเจอกันเมื่อไหร่” 

 

 

ฉินหร่านเอามือจับท้ายทอย ท่าทีสุขุมอย่างมาก “ต้องรอคิวนะ”