“ระบบ เด็กแดงนี่อาตมาต้องดูแลเขาให้เป็นยังไงถึงสำเร็จภารกิจ? หรือว่าต้องทรมานทุกคืนเปลี่ยนให้เป็นเด็กน้อยว่านอนสอนง่ายที่สุด? แบบนี้มันไอ้นั่นไปรึเปล่า?” ฟางเจิ้งถือโอกาสปอกหน่อไม้หลายอันโยนเข้าไปในชามที่มีน้ำบริสุทธิ์เต็มชาม นี่คือชาของเขา รสชาติหวานอร่อยสดชื่น เป็นอีกรสชาติชีวิต
“นายคิดว่าไงล่ะ?” ระบบถามกลับ
ฟางเจิ้งถาม “อาตมาตัดสินใจเองได้เหรอ?”
“แน่นอนว่านายตัดสินใจเองไม่ได้ แต่ว่า นายคิดว่าเด็กแดงแบบไหนถึงจะสมบูรณ์แบบ?” ระบบถาม
ฟางเจิ้งคิดๆ ก็ใช่ อีกฝ่ายจ่ายบุญกุศลประกาศภารกิจ ถ้าเขาจะทำอย่างไรก็ได้นั่นต่างหากไม่ปกติ ฟางเจิ้งค่อยๆ จิบชา ตรึกตรองถึงปัญหานี้ วินาทีนั้นเขานึกถึงหลวงจีนหนึ่งนิ้ว เขาเหมือนจะเคยได้ยินปัญหาแบบนี้มาก่อน นั่นคือคำสนทนาระหว่างหลวงจีนหงเหยียนกับหลวงจีนหนึ่งนิ้ว…
ตอนนั้นวัดเอกดรรชนียังเป็นศาลเจ้าเอกดรรชนี ทรุดโทรมมาก ฟางเจิ้งกลับมาเห็นหลวงจีนหงเหยียนกับหลวงจีนหนึ่งนิ้วนั่งคุยกันอยู่ในลานวัด เขาไม่ได้เข้าไป แต่นั่งเหม่ออยู่หน้าประตู เขาไม่ชอบความรู้สึกอึดอัดเวลาเผชิญหน้ากับหลวงจีนหงเหยียน
‘เจ้าอาวาสอี้จื่อ เด็กคนนั้นมีนิสัยหัวดื้อมาแต่กำเนิด ท่านปล่อยให้เขาอยู่ใต้ภูเขาแบบนี้ คอยหาเรื่องไปทั่วมันดีจริงๆ รึ?’ หลวงจีนหงเหยียนถาม
หลวงจีนหนึ่งนิ้วยิ้ม ‘เขาเหรอ…เหอะๆ หงเหยียน ท่านว่าจะจัดการอย่างไรล่ะ?’
หลวงจีนหงเหยียนตรึกตรองอยู่เล็กน้อยแล้วตอบ ‘อย่างน้อยควรจะสั่งสอนบ้าง ให้เขารู้จักเก็บอุปนิสัย?’
‘นั่นจะยังเป็นเขาหรือ?’ หลวงจีนหนึ่งนิ้วถามอีก
หลวงจีนหงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย คิ้วขมวด ‘การบำเพ็ญเพียรเดิมทีคือความขมขื่นและเหงา ถ้าไม่สงบจิตใจลงจะบำเพ็ญเพียรตระหนักเต๋าได้อย่างไร?’
หลวงจีนหนึ่งนิ้วชี้ไปที่หินก้อนหนึ่ง ‘ท่านว่าหินก้อนนั้นบำเพ็ญเพียรได้หรือไม่?’
‘ไม่มีชีวิตจะบำเพ็ญเพียรได้อย่างไร?’ หลวงจีนหงเหยียนตอบ
หลวงจีนหนึ่งนิ้วพูดต่อ ‘ใช่ ไม่มีชีวิตก็บำเพ็ญเพียรไม่ได้ แต่อะไรคือสิ่งมีชีวิตล่ะ? อาตมาคิดว่าอุปนิสัยต่างหากคือสัญลักษณ์ของสิ่งมีชีวิต ทำลายนิสัยคนก็เท่ากับฆ่าคนนั้น เหมือนหินก้อนนี้ ถ้าทุกคนล้วนกลายเป็นหินที่มันเงาได้ แล้วใครจะเป็นโต๊ะ?’
หลวงจีนหงเหยียนเหมือนเข้าใจ ถามกลับ ‘อุปนิสัยก็เป็นสิ่งที่จะทำผิดได้ง่ายที่สุดเช่นกัน’
หลวงจีนหนึ่งนิ้วพยักหน้า ‘อาตมาคิดมาตลอดว่าฟ้าดินทุกสรรพสิ่ง ล้วนฝึกฝนอุปนิสัย ฝึกฝนความดีงาม แก้ความชั่วคงเหลือความดี รักษาเจตนาเดิม นั่นต่างหากคือหนทางที่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นทุกคนจะฝึกฝนตามอุปนิสัยของพระพุทธองค์กันหมด แล้วโลกนี้จะมีพระสังกัจจายน์จากไหน จะมีพระโพธิสัตว์หรือพระอรหันต์ที่มีอุปนิสัยต่างกันจากไหน? ต้องใจกว้างถึงจะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ พุทธศาสนาพัฒนามาหลายปีขนาดนี้ ที่รุ่งเรืองได้ยืนยาวนั่นเพราะมหาสมุทรรับแม่น้ำร้อยสาย ไม่ใช่ต้นไม้โดดเดี่ยวธงผืนเดียวที่ยกหางตัวเอง
ถึงเด็กคนนี้จะหัวดื้อ แต่เจตนาเดิมไม่เลวร้าย เขาไปลักขโมยผลไม้ป่าบ้านคนอื่น แต่กลับแบ่งผลไม้ป่าให้เด็กคนอื่นที่อยากกินหรือหิว ตอนที่ถูกจับได้ เขายังยืดอกออกไปถูกตี
เขาไล่ไก่ตีสุนัข แต่ตอนที่รถแล่นผ่าน เขาวิ่งออกไปช่วยสุนัข เขามีข้อเสียและก็มีข้อดี รวมกันแล้วถึงกลายเป็นตัวเขา
โลกนี้เพราะมีคนนานาประเภทมากมายถึงมีสีสัน ถ้าทุกคนเป็นสีเดียวกันมันคงจำเจเกินไป เขามีความผิด ค่อยๆ ชักพา เมื่อเขาแยกออกว่าอะไรถือถูกผิด ย่อมรู้ว่าควรทำอย่างไร ขืนฝืนขัดเกลาไปบางทีอาจเห็นผลเร็ว แต่มีโอกาสสูงมากที่จิตวิญญาณของเขาจะหายไปพร้อมกับการขัดเกลา’
‘อาตมาเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านถึงออกจากที่นั่นมาเป็นนักบวชที่ศาลเจ้าเล็กแบบนี้’ หลวงจีนหงเหยียนยิ้มแห้งๆ เขาพบว่าหลวงจีนหนึ่งนิ้วมีความคิดมากมาย ที่มากกว่านั้นคือเอียงไปทางคน ไม่ใช่พระพุทธ! อย่างน้อยก็ไม่ค่อยถูกกับความคิดการบำเพ็ญเพียรที่ทุกคนคิด ไม่สนเรื่องการชิงดีชิงเด่นกัน แต่มักจะมีขอบมุมบางอย่าง ปกติไม่มีอะไร แต่ถ้าสัมผัส ทุกคนจะรู้สึกไม่สบาย
หลวงจีนหนึ่งนิ้วยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไร
“คิดออกรึยัง?” ระบบพลันขัดความคิดฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “คิดออกแล้ว ตอนนี้อาตมาตั้งเงื่อนไขให้เด็กแดงไว้ง่ายมาก ไม่ฆ่าคน ไม่ฆ่าชีวิต ไม่ทำเรื่องเลวร้าย ว่านอนสอนง่าย แล้วเขาจะทำอะไรก็เชิญ”
“เอ่อ นอกจากนี้แล้ว นายไม่สนใจอะไรเลยเหรอ?” เห็นได้ชัดว่าระบบตกใจกับคำตอบของฟางเจิ้งมาก
“สนสิ เรื่องชีวิตประจำวันก็ต้องสนอยู่แล้ว? อีกอย่าง ใกล้แดงเป็นแดง ใกล้ดำเป็นดำ รับรู้บ่อยๆ จะซึมซับไปในตัวเอง ฉันเชื่อว่าเขาจะเข้าใจว่าอะไรควรมิควร ฉันคิดว่าพระโพธิสัตว์ก็คงไม่อยากได้เครื่องจักรสุธนกุมารหรอก?” ฟางเจิ้งหัวเราะแล้วดื่มน้ำชา
ระบบเงียบไปไม่ได้พูดอะไร ไม่รู้ว่าไปรายงานสถานการณ์หรือกำลังตรึกตรองถึงชีวิตคน
ระหว่างสนทนากันนั้น เด็กแดงแบกถังน้ำเข้ามา โยนถังไปในห้องครัว จากนั้นนั่งลงตรงหน้าฟางเจิ้ง กอดอกทำเสียงหึๆ “อาจารย์ เมื่อไรจะคืนพลังข้ามา?”
ถึงเด็กแดงจะไม่รู้ว่าพลังของตนหายไปได้อย่างไร แต่ขอเพียงไม่ใช่คนเขลา จะต้องรู้แน่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งยิ้ม “ที่นี่คือโลกมนุษย์ เอ็งจะเอาพลังไปทำอะไร?”
เด็กแดงอยากพูดมากว่ามีพลังก็จะฆ่าแกได้ไง ทว่าเขาไม่กล้าพูด แต่กล่าวอย่างเจ้าเล่ห์ “ถ้าศิษย์มีพลัง ไฉนต้องตักน้ำ? แค่กวักมือน้ำก็มาแล้ว! เหตุใดต้องลำบากขนาดนี้? อีกอย่าง ที่นี่มีแต่คนธรรมดา ศิษย์มีพลังจะได้ปกป้องความปลอดภัยของวัดเราได้ กระทั่งแสดงปาฏิหาริย์ดึงดูดผู้เลื่อมใสมากันนับไม่ถ้วน แสงธูปจะเยอะขึ้นไม่ใช่หรือ? แล้วก็ ศิษย์คือสุธนกุมาร ตอนแรกพระโพธิสัตว์ให้เชือกเงินทองกับศิษย์มาเส้นหนึ่ง ศิษย์เสกเงินทองของมีค่า โปรยให้กับคนที่ต้องการได้”
พอฟางเจิ้งได้ยินว่าเด็กนี่เสกเงินได้พลันสนใจนิดๆ ตอนนี้เขายากจนถึงขั้นเห็นเหรียญหนึ่งเหมายังต้องก้มเก็บ! แต่ก็รู้ดีว่าถ้าคืนพลังให้เด็กแดง จะสร้างปัญหามากกว่าประโยชน์!
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงหัวเราะหึๆ “ศิษย์ เอ็งพูดได้ดี วางใจ อาจารย์จะคืนพลังเมื่อถึงเวลาสมควร แต่ว่าตอนนี้พวกเราควรไปกินข้าวแล้ว…”
เด็กแดงมองห้องครัว ก่อนมองฟางเจิ้ง กัดฟันพูดด้วยสีหน้าเศร้า “เจ้าคงไม่ให้มหา…อะแห่ม ให้ข้าทำอาหารหรอก? ข้าทำอาหารไม่เป็น…”
“ไม่เป็นไร ให้ศิษย์พี่สามนายสอนแล้วกัน” ฟางเจิ้งหัวเราะแล้วมองไปยังลิงที่กำลังกวาดพื้น
ลิงพูดทันที “วางใจ ตอนนี้ฉันทำอาหารเก่งมาก ต้องสอนนายได้แน่”
เด็กแดงอยากจะตบลิงนี่ให้ตาย แกหุบปากตอนนี้ไม่มีใครว่าเป็นใบ้หรอก
สุดท้ายเด็กแดงก็ยังทำอาหารอย่างว่าง่าย ฟางเจิ้งมองเงาแผ่นหลังเด็กแดงพลางยิ้มน้อยๆ เจ้านี่เหมือนเขาตอนเด็กจริงๆ เพียงแต่เขาไม่เหมือนหลวงจีนหนึ่งนิ้วเลย หลวงจีนหนึ่งนิ้วในตอนนั้นไม่เคยตำหนิเขา ไม่เคยว่าอะไรเขา เพียงแค่ตอนที่ก่อเรื่องจะพาฟางเจิ้งไป ให้เขาดูด้วยตัวเอง ตระหนักด้วยตัวเอง
…………………