“ยังมองอีก?!” เด็กแดงพูดจบก็จะลงมือ
หมาป่าเดียวดายกล่าวเสียงเบาว่า “ขอเตือนอย่างหวังดีนะ ถ้านายทำอะไรไม่คิด อาจารย์จะโกรธมาก ถ้าเขาโกรธก็จะสวดมนต์…”
เด็กแดงตัวสั่นโดยพลัน ถลึงตามองหมาป่าเดียวแวบหนึ่ง ก่อนพูดอย่างเหี้ยมโหด “ไม่ช้าเร็วข้าจะถลกหนังเจ้า เอาไปทำพรมปูพื้น!”
พูดจบก็ไม่สนใจเซี่ยหมิงที่ทำหน้ามึนงงข้างๆ แต่แบกถังน้ำใหญ่ลงเขาไป เซี่ยหมิงขยี้ตา กระทุ้งเสี่ยวเหลยพลางเอ่ยว่า “ฉันไม่ได้ตาฝาดใช่ไหมวะ เด็กนี่อายุกี่ขวบ หกขวบ? เจ็ดขวบ? ไม่อยากเชื่อว่าจะแบกถังน้ำใหญ่ขนาดนี้ได้? แม่เจ้าเว้ย มีพลังเทพโดยกำเนิดเหรอ?”
“ฉันกลัวว่าเขาลงไปตักน้ำแล้วจะเอาขึ้นมาไม่ได้นี่สิ เอาเถอะ รีบไปทำงาน เสร็จงานแล้วพวกเราจะได้กลับไปพักสักระยะ” เสี่ยวเหลยตอบ
เซี่ยหมิงพยักหน้า ยิ้มพูดว่า “แต่ฉันคิดว่าเด็กนี่เหมือนจะไม่ธรรมดามากเลยนะ เออ ในหมู่บ้านมีเด็กน้อยสวมตู้โตวแบบนี้ไหม?”
เสี่ยวเหลยชะงักงัน “เหมือนจะไม่มีนะ เขาออกมาจากวัดเอกดรรชนี หรือว่าในวัดนอกจากหลวงพี่ฟางเจิ้งแล้วยังมีเด็กคนนี้ด้วย แต่ไม่เห็นเคยได้ยินเลย…”
“ช่างเถอะ ไม่ต้องคิดแล้ว รีบไปทำงานกันเถอะ”
สองคนพึมพำกันว่าควรทำอะไรก็ไปทำอย่างนั้น อัตราความเร็วของกลุ่มคนงานสูงขึ้นเรื่อยๆ เส้นทางภูเขาก็ใกล้จะถึงสุดทางแล้ว ยิ่งถึงช่วงหลังมากเท่าไร ความต้องการของกลุ่มคนงานก็ยิ่งสูงขึ้น ตอนนี้เห็นเหมือนใกล้จะได้เสร็จงาน จึงกลัวว่าจะใช้ลูกเล่นลวงอะไร
คนงานกลางภูเขาเห็นเด็กแดงแบกถังใหญ่สูงหนึ่งเมตรมา เวลาเดินบางครั้งต้องเขย่งเท้าถึงจะมั่นใจว่าถังน้ำจะไม่ตกพื้น ทุกคนเห็นแบบนั้นก็ตกใจก่อน เด็กตัวแค่นี้แบกถังน้ำใหญ่ขนาดนี้เลย? จากนั้นจึงค่อยหัวเราะ เทียบระหว่างเด็กกับถังน้ำแล้วเกิดความรู้สึกชอบใจมาก ดูน่ารักมาก
แต่เด็กน่ารักคนนี้เวลาพูดจากลับไม่น่ารักเลย “มองอะไร ถ้ามองอีกข้าจะควักลูกตาพวกเจ้า โยนพวกเจ้าลงไปในหม้อตุ๋นซะ!”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน จากนั้นหัวเราะเสียงดัง ไม่ได้ถือสาคำพูดเด็กน้อยเลย
หัวหน้าคนงานยังเดินเข้าไป หัวเราะเบาๆ พร้อมพูด “ว้าว เจ้าหนู เก่งนี่นา ชื่ออะไรเหรอเรา บอกอาหน่อยได้ไหม…ถังน้ำนี่เป็นของปลอมล่ะสิ คงทำเปลือกจากกระดาษมั้ง”
ระหว่างที่หัวหน้าคนงานพูดก็ลองยกถังน้ำดู ก่อนจจะตะลึงค้างไป นี่มันของจริง! ผิวเหล็ก! ถังเปล่าสองใบนี้ไม่เบา ผู้ใหญ่ไม่มีปัญหาอะไร แต่นี่…นี่มันเด็กนะโว้ย!
เด็กแดงอยากตบเจ้าสารเลวกลุ่มนี้ตรงหน้าให้ตายนัก แต่ติดที่ข้างหลังยังมีผู้คุมงานตามมาด้วย อีกทั้งคำพูดฟางเจิ้งเพิ่งบาดหูอยู่ ถ้าเขากล้าฆ่าคนคงโดนโทษหนึ่งปี หรือกระทั่งนานกว่านั้น แบบนี้ทนรับไม่ไหวแน่ เด็กแดงแค่นเสียงหึๆ ทำเป็นมองไม่เห็นจะได้ไม่ทุกข์ใจ ไม่มองคนเหล่านี้ เอาแต่รีบวิ่งไปยังตาน้ำพุ ตักน้ำมาเต็มสองถัง ก่อนเดินขึ้นเขาไปภายใต้สายตาตกตะลึงของคนงาน
เด็กแดงเห็นคนที่เมื่อครู่ยังหยอกล้อว่าเขาแบกไม่ไหวตะลึงงันกันหมด ก็นึกพอใจอยู่เล็กน้อย…ตะโกนในใจด้วยความโมโหจัดว่า ‘ไม่อยากเชื่อว่ามหาราชาเซิ่งอิงผู้ผ่าเผยอย่างข้าต้องตกอับเป็นขยะหาที่ยืนต่อหน้าพวกมนุษย์ เฮ้อ…’
แต่พอนึกถึงการถูกบังคับต่างๆ และการถูกหลอกหลังกลับวัดเอกดรรชนี เด็กแดงพบว่าแบบนี้ก็ดี
รอจนเด็กแดงเดินจากไปแล้ว พวกคนงานมองหน้ากัน ต่างขยี้ตา บุหรี่ในปากหัวหน้าคนงานถึงกับหล่นลงพื้น “ไอ้ห่า ฉันตาฝาดไปหรือเปล่าวะ เด็กนี่แบกน้ำมากขนาดนั้นได้ซะงั้น…มันกี่กิโลฯ กัน?”
“ผู้ใหญ่ธรรมดาอาจจะไม่ไหวเลย ถังน้ำสูงหนึ่งเมตรมันหนักมากนะ”
“เด็กนี่กลายเป็นปีศาจแล้วเหรอ?”
“คงไม่เป็นโรคประหลาด แบบที่จริงโตเป็นผู้ใหญ่แล้วหรอกนะ กระดูกเลยแข็ง…”
“มีเหตุผล ตอนนั้นอู่ต้าหลาง[1]ขายขนมเปี๊ยะนึ่งต้องหาบของไม่เบาเหมือนกัน”
……….
ทุกคนตรึกตรองดู เหมือนว่าจะมีแค่คำอธิบายเดียวที่อธิบายได้เข้าใจชัดเจน
แต่ไม่นานนัก เด็กแดงก็ลงเขามาอีก ทุกคนเห็นเด็กแดงวิ่งราวกับเหาะเหิน ทะยานไปข้างตาน้ำพุแล้วตักน้ำขึ้นไปอีกรอบ ไปๆ มาๆ รวมหลายรอบด้วยกัน ระหว่างนั้นไม่มีหยุดพักเลย แต่ละคนต่างตะลึงจนอ้าปากค้างหุบไม่ได้ พากันร้องเสียงดังว่า เด็กประหลาด!
ในที่สุด เมื่อเด็กแดงวิ่งได้หกรอบ หัวหน้าคนงานก็อดไม่ไหวแล้ว “น้องชาย แรงดีจริงๆ นะ! อายุเท่าไรแล้วเรา”
“น้องบิดาเจ้าสิ! อายุน้อยอย่างเจ้าให้เป็นหลานข้ายังเคืองเลย!” เด็กแดงมองค้อนแวบหนึ่ง ก่อนจะสะบัดผมเปียเล็กๆ วิ่งหายลับไป
ทุกคนเห็นแบบนั้นก็ต่างหัวเราะเสียงดังทันใด หัวหน้าคนงานทำหน้าเก้อกระดาก ด่ายิ้มๆ ว่า “เจ้านี่กินดินระเบิดเป็นอาหารรึไง”
หัวหน้าคนงานจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กแดงกินอัคคีฌานเป็นอาหาร ของแรงกว่าดินระเบิดเยอะ
เมื่อรู้ว่าเด็กแดงมีนิสัยฉุนเฉียว อีกทั้งตัวเขาเองยังยอมรับว่าตนอายุเยอะแล้ว ทุกคนจึงมองว่าเขาเป็นผู้ป่วยโรคคนแคระไป ดังนั้นตอนที่เด็กแดงลงมาอีกครั้ง เขาพลันรู้สึกว่าสายตาของทุกคนต่างออกไปเล็กน้อย เดิมทีมีความเคารพและตกใจ แต่ตอนนี้มีความเห็นใจเพิ่มมาเสี้ยวหนึ่ง
แต่เด็กแดงขี้เกียจจะสนใจมนุษย์ปุถุชนเหล่านี้ จึงไม่ได้กล่าวอะไร แต่ไปตักน้ำต่อ
ส่วนบนยอดเขา ฟางเจิ้งมองน้ำในนาข้าวผลึกที่เยอะขึ้นเรื่อยๆ ยิ้มดีใจกว่าเดิม “ไม่เลวๆ สมกับเป็นปีศาจน้อยชนรุ่นหลังของมหาปีศาจ เรี่ยวแรงและความเร็วแบบนี้ จิ๊ๆ…มีประสิทธิภาพกว่าอาตมาอีก อาตมาตัดสินใจแล้วว่าจากนี้ไปจะมอบเรื่องตักน้ำเข้านาข้าวให้จิ้งซินทำ”
พูดจบ ฟางเจิ้งสะบัดแขนเสื้อ เดินกลับวัดเอกดรรชนีไป
ขณะนี้เอง เด็กแดงกลับมาแล้ว เขาพุ่งเข้าไปในวัด เทน้ำลงในโอ่งพุทธ ก่อนตักออกมาเทใส่นาข้าวผลึก หมาป่าเดียวดายหาเวลาปลีกตัวไปหาฟางเจิ้ง เอ่ยว่า “อาจารย์ ศิษย์น้องสี่ปากร้ายมาก เจอใครก็แทบจะด่าว่าตลอดทาง แค่เจอหน้าเมื่อไรก็อยากโยนไปตุ๋นในหม้อ…เด็กนี่โหดเกินไปแล้ว…”
ฟางเจิ้งพยักหน้า เขาให้หมาป่าเดียวดายตามเด็กแดงไปด้วย ถึงจะให้ดูเจตนาของเด็กแดงก็ตาม แต่ที่มากกว่านั้นคือเป็นหูเป็นตาให้ ดูว่าเด็กแดงดื้อแค่ไหน ทว่าดูจากตอนนี้ เด็กนี่ไม่ใช่แค่ดื้อธรรมดาจริงๆ! การจะกำราบให้เขาบำเพ็ญเพียรตระหนักในเต๋าอย่างว่าง่ายนั้นยากแล้ว…
‘มิน่าพระโพธิสัตว์ถึงใจกว้างขนาดนั้น ให้มาตั้งหมื่นบุญกุศล เด็กนี่คือขั้นสุดของขั้นสุดจริงๆ’ ฟางเจิ้งปลงอนิจจังในใจนับหมื่นครั้ง
ในตอนนี้เอง มือถือฟางเจิ้งดังขึ้น เขาหยิบมาดูก็เห็นเบอร์แปลก และกดรับสายโดยไม่ได้คิดอะไรมากทันที…
“ฮัลโหล พ่อเหรอ?” ปลายสายเป็นเสียงเด็กแปลกหูดังมา
ฟางเจิ้งตะลึงงัน พ่อ? เขามองไปรอบๆ มองจีวรตนเอง ตนยังเป็นนักบวชอยู่นี่ ไม่มีภรรยา และก็ยังไม่ได้สึกด้วย โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าไม่ใช่ความฝันแน่แล้ว จึงค่อยตอบไปว่า “ไม่ใช่นะ ประสกน้อยโทรผิดแล้ว”
ในเมื่อโทรผิด ฟางเจิ้งก็ไม่อยากพูดอะไรมาก กดวางสายไป
…………………………………………..
[1]อู่ต้าหลาง เป็นตัวละครเรื่องบุปผาในกุณฑีทอง ลักษณะเป็นชายร่างเตี้ยอัปลักษณ์ และเป็นสามีของสาวงามพันจินเหลียน ต่อมาถูกภรรยากับชายชู้วางยาพิษจนตาย