ภาคที่ 3 บทที่ 157 การต่อสู้อย่างกล้าหาญ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 157 การต่อสู้อย่างกล้าหาญ

“อ้าก !”

เสียงร้องโหยหวนดังก้องไปทั่วทั้งคฤหาสน์ตระกูลเหลียน

ความสยองขวัญนี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่ท่าทีว่าจะหยุดลง จนทำให้ผู้ที่ผ่านทางมาได้ยินต่างก็พากันสั่นสะท้านด้วยความกลัว

หลังจากผ่านไปถึงครู่ใหญ่ ในที่สุดเสียงกรีดร้องที่ชวนหัวลุกเหล่านั้นก็ได้เงียบลง

จากนั้นประตูหน้าคฤหาสน์ก็ถูกเปิดออก

ซูเฉินเดินออกมาพร้อมกับร่างกายที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด

เมื่อยามที่มาถึงชายหนุ่มมาเยือนพร้อมกับชุดสีขาว แต่เมื่อยามที่เขาออกมาชุดสีขาว กลับกลายเป็นชุดสีแดงสด แม้แต่ดาบหั่นภูผาเองก็มีสภาพเสียหายหนักไม่ต่างกัน

เครื่องมือต้นกำเนิดล้ำค่าระดับสูงกำลังเผยให้เห็นถึงร่องรอยของการสึกหรอ

การต่อสู้ที่เพิ่งจบลงไปนั้น ต้องรุนแรงมากอย่างเห็นได้ชัด

เลือดบนร่างกายของซูเฉินมีทั้งจากศัตรูและของตัวเขาเอง

เขาได้รับบาดเจ็บทั้งหมด 37 จุด 12 จากในนั้นเป็นแผลบาดเจ็บสาหัส ถึงแม้จะมีปะการังใยสาหร่ายกับเกราะหนักลึกลับอยู่ มันก็ไม่สามารถป้องกันการโจมตีจากอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์อยู่ดี

อย่างไรก็ดี เขาก็ยังมีชีวิตอยู่

ทั้งยังคงแข็งแกร่งและเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา

ซูเฉินโยนขวดยายาฟื้นพลังระดับสูงขวดสุดท้ายที่เขาเพิ่งกระดกจนหมดทิ้งไป ราวกับไหเหล้าที่หมดแล้ว ก่อนจะเรอออกมาอย่างพึงพอใจ

วันนี้เขากินมาพอแล้ว

ขวดยาที่ถูกโยนออกไป ลอยโค้งผ่านอากาศและตกลงไปในแม่น้ำสายเล็กที่อยู่ใกล้ ๆ แบบพอดิบพอดี

เสียงขวดกระทบน้ำ เรียกให้กังเหยียนที่คอยยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกรู้ตัวและตรงมาหาซูเฉิน “ทุกอย่างจบแล้ว ?”

หน้าที่ของเขาคือการเฝ้าระวังเหตุไม่ขาดฝัน หากมีบุคคลภายนอกพยายามที่จะเข้าไป กังเหยียนก็จะหยุดอีกฝ่ายเอาไว้และให้กุยต้าซานกับคนอื่น ๆ ไปแจ้งให้ซูเฉินทราบเรื่อง

ซูเฉินไม่ได้โกหก เขามาที่คฤหาสน์นี้คนเดียว ลูกน้องสองสามคนที่พามาด้วยก็เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดโดยไม่คาดคิดเท่านั้น

โชคดีที่ไม่มีเรื่องอะไรเช่นนั้นเกิดขึ้น

“ทุกอย่างคลี่คลายแล้ว ?” กังเหยียนถามอีกครั้ง แม้เขาจะรู้ว่ามันเป็นคำถามที่ไรสาระ แต่เขาก็ยังคงถาม

“คนลงมือตาย ส่วนคนที่ไม่ได้ร่วมโจมตียังมีชีวิตอยู่” ซูเฉินกล่าวขณะที่เขาเช็ดเลือดจากมุมปากของเขา “เหลียนเจี่ยวยังมีชีวิตอยู่ พี่น้องบางคนนางเลือกคุกเข่ายอมจำนน หลังจากนี้เจ้าค่อยกลับไปเลือกหนึ่งในนั้นเพื่อสืบทอดตระกูลเหลียน”

“เหลียนเจียว ?”

“แล้วแต่เจ้าเลย”

“ยังไงท่านเคยทำให้นางท้องมาก่อน”

ซูเฉินหยุดเดินและเหลือบมองไปทางกังเหยียน “ข้าว่าเจ้าชักจะดูไม่เหมือนเผ่าหินผาขึ้นทุกวันนะ ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าควรจะเป็นพวกที่เงียบและจริงจังหรอกหรือ ?”

“ท่านอยากให้ข้าเป็นเผ่าหินผาประเภทนั้นเหรอ ? นายท่าน หากท่านต้องการข้าสามารถเปลี่ยนให้ท่านได้”

“อย่าเลย เจ้าเป็นเช่นนี้นะดีแล้ว” ซูเฉินตบบ่ากังเหยียนและพูดว่า “เจ้าทำดีแล้ว พยายามต่อไปเถิด”

ขณะที่พูดชายหนุ่มก็ขึ้นรถม้าที่เตรียมไว้ ก่อนจะใช้วิชาชะล้างกายเพื่อความสะอาดล้างตัว แล้วเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าชุดใหม่แทนที และกลับคืนสู่ภาพลักษณ์เดิมของคุณชายผู้สง่างามอีกครั้ง

“พาข้าไปที่ศาลาพันสมบัติ ไม่จำเป็นต้องรีบนัก” ซูเฉินกล่าว จากนั้นเขาก็เอนตัวลงนอนพักผ่อน

ครู่ต่อมาเขาก็ได้ยินเสียงของโจวหงเรียกเขาเบา ๆ “นายน้อยขอรับ นายน้อย”

ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และพบว่ารถม้าได้มาถึงศาลาพันสมบัติแล้ว

“เร็วจริง” ซูเฉินพูดพลางหรี่ตามองด้านนอก เขารู้สึกเหมือนเพิ่งจะหลับลงเพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้นเอง

“เป็นความผิดข้าเองที่เร่งรีบเกินไป นายน้อยโปรดอภัยให้ด้วย” โจวหงกล่าวอย่างรีบร้อน

ซูเฉินก้าวออกจากรถม้าและเดินตรงเข้าไปในศาลาพันสมบัติ และพบว่าเจียงซีสุ่ยกำลังเริ่มกินอาหารเครื่องดื่มที่สั่งไว้พร้อมแล้วอยู่

ชายหนุ่มไม่เกรงใจอะไรอีกต่อไป เขาคว้าหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารกินอย่างรวดเร็ว

“ไม่จำเป็นจะต้องรีบสวาปามถึงขนาดนั้น ทำอย่างกับอาหารมีไม่พอให้เราทุกคนไปได้” เจียงซีสุ่ยกฃหัวเราะ

“ข้ากวาดล้างตระกูลเหลียนเกือบหมดมาตัวคนเดียว พลังต้นกำเนิดกับปราณโลหิตของข้าก็ใช้ไปแทบเกลี้ยงแล้ว ยังไม่นับแผลอีกหลายจุด แม้แต่ยาที่ข้าเตรียมไว้ก็หมดไปแล้ว หากข้าไม่กินชดเชยไปให้มากพอ ร่างกายข้าได้แห้งขอดกันพอดี” ซูเฉินตอบ

“ข้ารู้ว่าครั้งนี้เจ้าทำงานหนักมากขนาดไหน ข้าถึงได้สั่งเนื้อทั้งหมดในมื้ออาหารนี้เป็นเนื้อสัตว์อสูรทั้งหมดไง ครบทั้งรสชาติและคุณค่าทางด้านสารอาหาร เหมาะสำหรับเจ้าเป็นอย่างยิ่ง” เจียงซีสุ่ยกล่าว

โดยปกติแล้วผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดไม่ได้มีความต้องการพื้นฐานเช่นคนทั่วไป แต่เพราะซูเฉินใช้พลังงานของเขาไปมากเกิน ทำให้ร่างกายต้องการสารอาหารชดเชยเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มกินอาหารตรงหน้าราวกับคนอดอยากมานาน

“ว่าก็ว่าเถอะ ในเมื่อเจ้าคิดจะก่อเรื่องขึ้น แล้วเหตุใดถึงไม่พาข้าไปด้วยเล่า ? เจ้าจำต้องจัดการทั้งหมดด้วยตัวเองเชียวหรืออย่างไรกัน ต่อให้เจ้าจะได้รับชื่อเสียงจากการกวาดล้างทั้งตระกูลด้วยตัวคนเดียวแล้วยังไง ? คุ้มไหม ?”

ซูเฉินเงยหน้าขึ้นมาจากกองอาหารตรงหน้า “เจ้าคิดว่าข้าทำเช่นนั้นเพื่อชื่อเสียงงั้นหรือ ?”

“ไม่ใช่เหรอ ?”

“แน่นอนว่าไม่” ชายหนุ่มกลืนขาสัตว์อสูรที่เคี้ยวอยู่ลงไปแล้วตอบว่า “ที่ข้าไปท้าทายตระกูลเหลียนคนเดียว ประการแรก เพราะข้าต้องการประเมินความแข็งแกร่งของตัวเองและดูว่าข้าก้าวหน้าไปมากแค่ไหนแล้ว ประการที่สอง เพราะมันยากที่จะได้เพิ่มพูนทักษะฝีมือ หากไม่ได้เผชิญกับการต่อสู้ที่ยากลำบากบ้าง ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ข้าได้เรียนรู้วิชาลับมาบาง แต่กลับรู้สึกว่ายังไม่มีเคยได้จะได้ใช้พลังอย่างเต็มที่เลย”

ซูเฉินหยุดชั่วครู่เพื่อดื่มเหล้าโลหิตอสูรอึกใหญ่ก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าถามอาจารย์ และท่านก็บอกว่า มันเป็นเพราะข้าไม่ค่อยได้เจอกับการต่อสู้ที่จริงจังมากนัก มีเพียงการสู้ในสถานการณ์แบบเอาชีวิตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเท่านั้น ที่จะสามารถกระตุ้นศักยภาพที่แท้จริงของคนเราออกมาได้อย่างเต็มที่ และช่วยฝึกฝนทักษะเหล่านี้ไปด้วยได้ในคราวเดียว ไม่กี่ปีที่ผ่านมาข้ามุ่งมั่นอยู่แต่กับวิธีที่จะแข็งแกร่งขึ้น หรือทักษะต้นกำเนิดที่เท่าเทียมกับทักษะสายเลือด แต่กลับขาดประสบการณ์จากสัญชาตญาณ… เสี่ยวเอ้อร์ เอาอสูรเกราะวงกตมาให้ข้าอีกตัว”

“เจ้าก็เลยออกไปสู้กับตระกูลเหลียนเพื่อหาประสบการณ์จากสัญชาตญาณ แล้วเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ?” เจียงซีสุ่ยถาม

“ไม่ดีนัก” ซูเฉินส่ายหัว

เขากลืนห่านทองคำครึ่งตัวลงไป จากนั้นก็ชี้ไปที่บาดแผลบนหน้าอกแล้วพูดว่า “ตรงนี้ ตรงนี้ และตรงนี้ ข้าถูกฟันด้วยดาบ ถูกแทงด้วยหอก แต่ก็ยังไม่เห็นรู้สึกถึงพลังที่ซ่อนอยู่ตรงไหนเลย และก็ไม่เห็นมีทักษะไหนก้าวหน้าสักอย่าง หลังจากการต่อสู้นองเลือด ในสายตาของข้ารู้สึกเพียงแค่ว่าชีวิตของมนุษย์นั้นเริ่มไร้ค่ามากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงข้าจะเข้าใจเกี่ยวกับทักษะต้นกำเนิดที่มีมากขึ้นก็จริง แต่มันก็ยังไม่ถึงขั้นที่อาจารย์ของข้าได้กล่าวเอาไว้”

“บางทีนั่นอาจเป็นเพราะเจ้ายังรู้ตัวว่า ที่ด้านนอกนั้นยังคงมีกังเหยียนและคนอื่น ๆ อยู่”

“นั่นเป็นเหตุผลประเภทไหนกัน ?” ซูเฉินหัวเราะ “เหตุใดการที่กังเหยียนและคนอื่น ๆ คอยเฝ้าอยู่ด้านนอกถึงส่งผลต่อการที่ข้าจะแข็งแกร่งขึ้นได้ ?”

“ปกติแล้วมันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร แต่การที่มีทุกคนอยู่ที่นั่น ก็หมายความว่าเจ้าเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับการต่อสู้อยู่แล้ว” เจียงซีสุ่ยตอบ

“ในเมื่อเจ้าได้เตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว ก็เท่ากับว่ามีการคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าจะชนะจึงได้เลือกที่จะสู้ หรือก็คือเจ้าไม่ได้คิดที่จะสู้โดยเอาชีวิตเข้าแลกแต่แรกอยู่แล้ว แม้ว่ามันจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากและทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บ แต่มันก็เป็นเพียงบาดแผลเท่านั้น ทั้งความยากลำบากและบาดแผลไม่ได้ร้ายแรงถึงตาย ดังนั้นเจ้าจึงยังไปไม่ถึงจุดที่หลังชนฝาแล้วต้องทุ่มทุกอย่างออกมา หากยังไม่หมดหนทางจนแทบจะสิ้นหวังเช่นนั้น แล้วเจ้าจะฝืนตัวเองให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตนได้อย่างไรเล่า ?”

ซูเฉินตกตะลึงและพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

เจียงซีสุ่ยกล่าวต่อ “เจ้าเคยชินกับการวางแผนและจะต่อสู้ก็ต่อเมื่อทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว แต่วีรบุรุษที่แท้จริงนั้นมีความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวอยู่ในจิตใจ พวกเขาสู้ก็ต่อเมื่อพวกเขาต้องการที่จะสู้ ในการต่อสู้ตัวต่อตัว ผู้ที่มีความกล้าหาญมากกว่ามักจะเป็นผู้ชนะ คนพวกนั้นไม่เคยคิดที่จะควบคุมสถานการณ์ หรือรอโอกาสเพื่อผลสำเร็จที่ดีกว่า เมื่อเจ้าคิดมากเกิน ความกล้าและบ้าบิ่นของเจ้าก็จะค่อย ๆ จางหายไป มันคงจะเป็นเรื่องแปลกถ้าเจ้าประสบความสำเร็จในการเดินบนเส้นทางของวีรบุรุษด้วยวิธีเช่นนี้ เจ้าคิดว่าตัวเองกำลังต่อสู้โดยเอาชีวิตเข้าแลก แต่จริง ๆ แล้วเจ้าก็แค่กำลังแสดงความแข็งแกร่งที่มีเท่านั้นเอง !”

ซูเฉินสับสนกับสิ่งที่เขาได้ยิน “ไม่ใช่ว่าการบุกโดยไม่มีแผนสำรองใด ๆ มันออกจะเสี่ยงเกินไปหรอกเหรอ ?”

เจียงซีสุ่ยหัวเราะ “นั่นแหละประเด็น ‘เส้นทางของวีรบุรุษ’ คือเส้นทางที่คนนับร้อยมุ่งตรงไปยังที่เดียวกัน และผู้ที่เหลือรอดเป็นคนสุดท้ายก็คือวีรบุรุษ เส้นทางแบบนี้ไม่เหมาะกับเจ้าเลย เจ้าน่าจะเดินไปบนเส้นทางการวิจัย ค้นคว้าและกลายเป็นนักวิชาการผู้มีอำนาจเหนือกว่าใคร ๆ ใช้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเจ้าเพื่อควบคุมฝั่งตรงข้ามที่ขวางหน้า การต่อสู้แบบหลังชนฝาไม่ใช่แนวของเจ้าเลยสักนิด ถ้าวันหนึ่งเจ้าตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นจริง ๆ แล้วจะหวนคิดถึงเส้นทางนี้ก็ไม่ผิด เมื่อถึงเวลานั้นมันคงไม่สายไปหรอกที่เจ้าจะระเบิดพลังที่ซ่อนอยู่ภายใน แล้วปลดปล่อยศักยภาพที่แท้จริงออกมาและเข่นฆ่าผู้คนนับพันคน”

ซูเฉินหัวเราะ “แล้วข้าจะลองคิดดู ! เอาไก่หางฟีนิกซ์ทอดมาให้ข้าอีกชาม !”