บทที่ 158 เป็นผู้กล้าหาญ
ในที่สุดซูเฉินก็กินและดื่มจนพอใจ
ชายหนุ่มตบท้องของเขาเบา ๆ “ในที่สุดก็รู้สึกสบายตัวเสียที แล้วสถานการณ์ที่อื่นเป็นอย่างไรบ้าง ?”
“เจ้ากำลังพูดถึงที่ไหน ?” เจียงซีสุ่ยถามพลางหัวเราะเบา ๆ
“ทุกที่”
“หวังซานหยูพยายามที่จะลงมืออยู่รอบหนึ่งแต่ก็ถูกเจ้าเมืองอันไล่กลับไป ตระกูลเซินยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ส่วนตระกูลเว่ยได้ส่งคนมาสนับสนุนตระกูลหลิน แต่ถูกคนของเราขัดขวางเอาไว้”
“ผู้อาวุโสเว่ยดูจะเป็นคนที่มองการณ์ไกลออกอยู่บ้าง” ซูเฉินถอนหายใจ “ แล้วตระกูลหลู่ล่ะ ?”
เจียงซีสุ่ยกล่าวว่า “เจ้ากำลังถามถึงหลู่ชิงกวง ?”
ซูเฉินพูดอย่างโกรธเคือง “ไอ้บ้านั่นมันแทงข้างหลังข้ามา 2 หนแล้ว หากมันไม่นับข้าเป็นคนโง่ เช่นนั้นก็สมควรจะรู้ว่าข้าไม่มีทางจะล่อยมันไป อีกฝ่ายคงไม่อยากพลาดโอกาสดี ๆ แบบนี้หรอกใช่ไหม ?”
“อาจจะไม่ใช่พลาดเพราะไม่ต้องการ เจ้าเมืองอันส่งหลี่อี้หยางไปจับตาดูหลู่ชิงกวงเป็นการส่วนตัว เพื่อที่ทางนั้นจะได้ไม่มีโอกาสมาแว้งกัดเจ้าอีก”
ซูเฉินทุบโต๊ะดังลั่น “เพื่อช่วยข้า ? หรือเพื่อช่วยหลู่ชิงกวง ?”
เจียงซีสุ่ยถอนหายใจ “ใช้การช่วยเจ้าเป็นข้ออ้างในการช่วยมัน น่าเสียดายเวลาที่อวิ๋นเป้าและคนอื่น ๆ เสียไปกับการเตรียมการโต้ตอบ”
แผนการที่เขาเตรียมไว้กับหลู่ชิงกวง ได้ถูกอันซื่อหยวนขัดขวาง ทำให้ซูเฉินรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย
ความรู้สึกของเขาเปิดเผยชัดเจนอยู่บนใบหน้า สีหน้าของซูเฉินในยามนี้ดูโกรธเกรี้ยวและออกจะน่าเกลียดอยู่เล็กน้อย
ชายหนุ่มลุกยืนขึ้น “ไป !”
“ไปที่ใด ?” เจียงซีสุ่ยถาม
ซูเฉินตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้ากินและดื่มจนเต็มอิ่มแล้ว แต่ดูเหมือนว่าอารมณ์ของข้าจะยังไม่ดีขึ้นอย่างที่ควร ข้าอยากจะฆ่าคนระบายความรู้สึกแย่ ๆ นี้สักหน่อย !”
“เจ้าจะไปฆ่าหลู่ชิงกวง ?” เมื่อคุณชายเจียงตระหนักถึงความคิดของสหายเขาก็ถึงกับผงะไป “เจ้าคิดดีแล้ว ?”
“คิด ? คิดเรื่องอะไร ? ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าการเดินบนเส้นทางของวีรบุรุษ หมายถึงการมีความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวอยู่ใจจิตใจหรอกหรือ ? ในเมื่อข้าอยากจะสู้ ข้าก็จะสู้ ต้องคิดอะไรให้มันมากมายกัน ?”
“แต่นั่นดูไม่ใช่เจ้าเลย”
“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงจะลงมือหลังจากดื่มไปแล้ว ข้าจะยืมฤทธิ์เหล้าปลดปล่อยความบ้าคลั่งและอาละวาดสักหน่อย ไม่บ่อยนักหรอกนะที่ข้าจะหาความสุขใส่ตัวและปล่อยวางแบบนี้ ฟังดูน่าสนุกดีไม่ใช่เหรอ ? หากไม่กล้าที่จะทำพลาดหลังจากดื่ม ข้าจะกล้ากล่าวอ้างว่าตัวเองมีจิตใตที่กล้าหาญได้อย่างไร ?”
ขณะที่พูด เขาก็ยืนขึ้นและเดินลงบันไดไป
————————————————
หลู่ชิงกวง นั่งอยู่บนหลังม้าตัวสูงที่สี่แยกระหว่าง ถนนหมายเลข 13 และถนนหลัก
ดูเหมือนเขาจะกำลังพอใจกับตัวเองมากทีเดียว
ฝั่งตรงข้ามกับเขาคือชายชราหูใหญ่หน้าเหลี่ยม
ชื่อของเขาคือ อวี๋ฮัวเอี่ยน
หัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลอวี๋ สายเลือดของเขาคือสายเลือดแมงป่องน้ำแข็งยักษ์ และชายชราผู้นี้ก็ก้มหัวให้คนบนหลังม้าตรงหน้าเขา
ตระกูลอวี๋ยอมจำนนแล้ว
ตระกูลอวี๋ 1 ใน 10 ตระกูลสายเลือดชั้นสูงได้ยอมจำนนอย่างเป็นทางการแล้ว
หากจะกล่าวถึงสิ่งที่ทำให้หลู่ชิงกวงรู้สึกไม่พอใจก็คงจะเป็นเรื่องที่ว่า คนที่รับผิดชอบหน้าที่ส่วนใหญ่ในแผนการยอมจำนนครั้งนี้ไม่ใช่ตัวเขาเอง แต่เป็นชายหนุ่มที่เขาอิจฉาอย่างสุดซึ้งผู้นั้น
หลู่ชิงกวงจำไม่ได้แล้วว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ความเกลียดชังต่อซูเฉินเพิ่มขึ้นมากขนาดนี้
มันนานเกินกว่าที่จะจำได้ และเขาก็ไม่ได้คิดจะจำเช่นกัน
หัวหน้าหลู่จำได้แค่ว่านับตั้งแต่ที่ซูเฉินปรากฏตัว เขาก็ไม่ใช่ผู้มีอำนาจเป็นอันดับสองในเมืองธารน้ำใสนี้อีกต่อไป ไม่ใช่สัญลักษณ์ที่ทำให้ศัตรูหวาดกลัว ไม่ใช่คนที่อันซื่อหยวนพึ่งพามากที่สุด นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาผิดหวัง
แม้แต่เป้าหมายการไล่ล่าของหวังซานหยูก็ไม่ได้มุ่งเป้ามาที่เขาอีกแล้ว
ถึงนี่จะเป็นเรื่องดี แต่การถูกมองข้ามนี้ก็ทำให้เขาหงุดหงิดและรำคาญได้เช่นกัน
ดังนั้นหลู่ชิงกวงจึงเกลียดซูเฉิน เกลียดอีกฝ่ายที่ขโมยศักดิ์ศรีและสถานะของเขาไป
นี่คือเรื่องปกติทั่วไปไม่ใช่เหรอ ?
คนส่วนใหญ่มักจะเริ่มรู้สึกเกลียดชัง ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้เป็นปกติอยู่แล้ว
ดังนั้นเมื่อพันธมิตรตระกูลสายเลือดชั้นสูงวางแผนที่จะโจมตีซูเฉิน หัวหน้าหลู่จึงถอนกองทหารเกราะโลหิต และเมื่อพันธมิตรล้อมกำจัดซูเฉิน เขาจึงเลือกที่จะนิ่งเฉย
หลู่ชิงกวงไม่เคยกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้เกี่ยวกับการกระทำของเขา
ถ้าซูเฉินรู้เรื่องนี้ขึ้นมาแล้วยังไง ?
ฝั่งนั่นไม่มีหลักฐาน อันซื่อหยวนก็คุ้มหัวเขาอยู่ ไม่มีทางที่ซูเฉินจะทำอะไรได้อยู่แล้ว
แน่นอนว่าหัวหน้าหลู่ไม่ลืมที่จะจัดการกับตระกูลสายเลือดชั้นสูงเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
ตามแผนเดิมที่วางไว้ หลู่ชิงกวงตั้งใจที่จะปล่อยตระกูลอวี๋ไว้แล้วไปจัดการกับซูเฉินจากด้านหลัง หากมันจำเป็นจริง ๆ เขาก็พร้อมที่จะลงมือเอง
นี่เป็นครั้งที่สามที่หลู่ชิงกวงวางแผนจะกำจัดซูเฉิน เขาเชื่อว่าในครั้งนี้มันจะประสบความสำเร็จ
ทว่าทุกอย่างกลับถูกทำลายลงโดยบัณฑิตอี้หยาง
การปรากฏตัวของหลี่อี้หยาง ทำให้หลู่ชิงกวงไม่สามารถปล่อยศัตรูไปก่อนตามแผนได้
คำชักชวนและคำเตือนของบัณฑิตผู้นี้แสดงถึงความตั้งใจของอันซื่อหยวน
อันซื่อหยวนไม่ต้องการให้คนของเขามีปัญหากันเอง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญระหว่างพวกเขากับเหล่าตระกูลสายเลือดชั้นสูง
หัวหน้าหลู่จึงทำได้แค่อดทน
และในตอนนี้ตระกูลอวี๋ก็ได้ยอมจำนนอย่างเป็นทางการแล้ว
เหตุผลที่อวี๋ฮัวเอี่ยนยอมจำนน นั่นเป็นเพราะมีคนมาแจ้งข่าวให้เขาทราบว่า ซูเฉินได้มุ่งหน้าไปคิดบัญชีและกวาดล้างคฤหาสน์ตระกูลเหลียนอย่างหมดจด ด้วยตัวคนเดียว
ดังนั้นชายชราแช่อวี๋จึงตัดสินใจยอมจำนนทันที
นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หลู่ชิงกวงหงุดหงิด
เพื่อโน้มน้าวให้อวี๋ฮัวเอี่ยนยอมจำนน เขาได้เกลี้ยกล่อมชายชราด้วยคำสัญญาและคำพูดที่น่าฟังมากมาย แต่มันก็เทียบไม่ได้กับข่าวการลงมือเพียงครั้งเดียวของซูเฉิน
หัวหน้าหลู่รู้สึกราวกับถูกตบหน้าอย่างแรง
แม้แต่สายตาของชายชราแช่อวี๋ก็ยังเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย เมื่อเขามองไปที่ดวงตาคู่นั้นราวกับว่ามันกำลังพูดบอกว่า “เห็นไหม ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ? ว่าเจ้าไม่อาจไปยั่วยุซูเฉินได้ ถ้าเจ้าไปยั่วคนผู้นั้น ฝ่ายที่ต้องตายก็คือเจ้า ท่านเจ้าเมืองไม่มีทางจะปล่อยเจ้าได้ทำอะไร เพื่อช่วยให้เจ้ารอด”
“เพื่อช่วยให้เจ้ารอด”
“เพื่อช่วยเจ้า”
“ช่วยเจ้า”
คำพูดเหล่านี้สะท้อนอยู่ในหัวของหลู่ชิงกวง ราวกับเสียงระฆังที่ดังไม่หยุดหย่อนทำให้เขาหงุดหงิดอย่างมาก
สายตาของเขาที่มองไปยังอวี๋ฮัวเอี่ยนเริ่มเย็นชาและเฉยเมยมากขึ้นเรื่อย ๆ “ยอมจำนนตอนนี้มันจะมีประโยชน์อะไรกัน ? ในความคิดของข้า ข้าว่าข้าควรจะฆ่าพวกเจ้าให้เรื่องมันจบ ๆ ไปซะ”
อวี๋ฮัวเอี่ยนตกใจสับสน “หัวหน้าหลู่ ก่อนหน้านี้ท่านไม่ได้พูดเช่นนั้นนะ !”
“ก่อนหน้านี้ก็คือก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็คือตอนนี้ ข้าให้โอกาสเจ้าไปแล้วแต่เจ้าก็ไม่คิดจะรับ แล้วมายามนี้เจ้าได้รับข่าวและรู้สึกกลัวเลยอยากที่จะยอมจำนน แต่การยอมจำนนของเจ้ายังจำเป็นต่อพวกข้าอยู่อีกหรือ ?”
หลู่ชิงกวงถามขณะที่เขาเหล่ตามองชายชรา “ตระกูลเหลียนถูกกวาดล้าง ตระกูลไหลยอมจำนน ที่เหลืออยู่ก็มีเพียง 4 ใน 10 ตระกูลเท่านั้น เก็บพวกเจ้าไว้ก็ไม่มีความหมายอะไร มีแต่จะเปลืองเสบียงมากขึ้น หากฆ่าพวกเจ้าทิ้งไปเสียอาหารที่ต้องแบ่งไปก็จะน้อยลง น้อยลงหนึ่งปากปริมาณของส่วนแบ่งก็จะมากขึ้น แบบนั้นไม่ดีกว่าเหรอ !”
อวี๋ฮัวเอี่ยนตะโกน “เจ้ากรมซูส่งคนมาบอกว่าตราบใดที่ข้าเต็มใจที่จะยอมจำนน เราสามารถปล่อยให้อดีตเป็นอดีตไปได้ !”
บุคคลที่ส่งหนังสือแจ้งให้เขาทราบนั้นมาจากกรมพลังต้นกำเนิด เขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของซูเฉิน และเป็นผู้รับผิดชอบในการชักชวนตระกูลต่าง ๆ ให้ยอมจำนน
หลู่ชิงกวงกล่าวอย่างไม่แยแส “คำพูดของซูเฉินไม่ใช่คำพูดของข้า มันยอมรับการยอมจำนนแต่ข้าไม่”
ในตอนนี้เขากำลังอารมณ์เสียและต้องการระบายออกอย่างยิ่ง
หากเขาไม่สามารถระบายลงกับซูเฉินได้ ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะกองมันทั้งหมดไว้บนหัวของอวี๋ฮัวเอี่ยนแทน
เมื่อหลี่อี้หยางสังเกตเห็นสถานการณ์นี้เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
แต่สุดท้ายบัณฑิตหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไร
เขารู้ว่าหลู่ชิงกวงกำลังโกรธและต้องการที่จะระบาย แน่นอนว่านี่จะทำลายแผนการของซูเฉินและสร้างปัญหาให้กับอีกฝ่าย
แต่เรื่องนี้มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเสียหน่อย ?
การเข้าไปหยุดหลู่ชิงกวงในตอนนี้นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังอาจส่งผลให้เผือกร้อน ๆ มาล่วงใส่ตัวเองแทน
คราวนี้ตระกูลอวี๋คงต้องโทษที่โชคร้ายตกใส่หัวตัวพวกเจ้าเองแล้ว
หัวหน้าหลู่จิกหัวอวี๋ฮัวเอี่ยนให้เงยขึ้น
มืออีกข้างของเขาชักดาบและยกขึ้น
อวี๋ฮัวเอี่ยนรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก สีหน้าของเขาซีดเผือด ใจของเขาสั่นระรัว
ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังนั้น จู่ ๆ ชายชราก็ได้ยินเสียงของซูเฉินดังขึ้น
“ในเมื่อเจ้าไม่เห็นด้วยกับการยอมจำนนนี้ งั้นก็หลบไปอย่ามาขวางทางข้า หากเจ้ากล้าแตะต้องแม้แต่ผมเส้นเดียว ข้าจะตัดนิ้วของเจ้าเสีย และหากเจ้ากล้าทำมากกว่านั้น ข้าจะหั่นเจ้าเป็นชิ้น ๆ แล้วเอาไปทำอาหารให้สุนัขข้างถนน !”