ตอนที่ 187 เป็นคู่หมั้น

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ในชั่วพริบตา มู่ฮ่าวปลดปล่อยพลังปราณของเขาออกมา พลังอันทําให้ทุกคนต้องตกตะลึง

“จอมยุทธ์ระดับเก้า เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะอายุเพียงแค่ยี่สิบปีเท่านั้นเองมิใช่รึ ?! ทว่าความแข็งแกร่งของเขาถึงขั้นจอมยุทธ์ระดับเก้า”

“ตระกูลมู่มีมู่เฉียนซีและมู่หรูเหยียนที่เก่งกาจมาก คาดไม่ถึงว่ามู่ฮ่าวผู้ไม่มีชื่อเสียงโด่งดังจะมีพรสวรรค์มากเช่นนี้”

“โอ้!…”

เมื่อได้ยินเสียงร้องอุทานของทุกคน ผู้อาวุโสสูงสุดลูบเครา ยิ้มอย่างเป็นมิตรและพึงพอใจ

“การต่อสู้ในวันนี้มีโอกาสน้อยมากที่จะชนะผู้นำตระกูลมู่!  ผู้นำตระกูลพ่ายแพ้โดยผู้ที่มีเชื้อสายเดียวกัน ชื่อเสียงเช่นนี้คงไม่ดีแน่ ”

“ตอนนี้ผู้นำตระกูลมู่เผชิญปัญหาใหญ่แล้ว”

ผู้อาวุโสสูงสุดรู้ว่าความแข็งแกร่งของมู่เฉียนซีสูงถึงจอมภูตระดับเจ็ด เขาจะไม่ส่งคนที่อ่อนแอกว่านางมาสู้กับนางอย่างแน่นอน จอมยุทธ์ระดับเก้าถือเป็นพื้นฐานที่สุด

มู่ฮ่าวก้าวเท้าลงบนพื้น เขาพุ่งตรงไปที่มู่เฉียนซีไม่รอช้า มู่เฉียนซีไม่หลบหลีก นางพุ่งตรงมาเผชิญหน้ามู่ฮ่าวราวกับไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด นางรู้ดีว่ามู่ฮ่าวถูกผู้อาวุโสสูงสุดส่งมาทดสอบนาง ไพ่ที่จะทำให้ผู้อาวุโสใหญ่ชนะได้ ย่อมไม่ใช่มู่ฮ่าวผู้นี้อย่างแน่นอน

“ผนึกมังกรวารี!” มู่เฉียนซีตะโกน

มังกรยักษ์ธาตุวารีพุ่งผ่านอากาศและพุ่งเข้าใส่มู่ฮ่าวโดยพลัน

ทุกคนกล่าวเสียงเข้ม “ผู้นำตระกูลมู่เป็นจอมภูตธาตุวารี อีกทั้งการที่นางสามารถข้ามระดับได้ก็เป็นสิ่งพิเศษอย่างยิ่ง บางที… ผู้ที่พ่ายแพ้ในวันนี้อาจจะเป็นมู่ฮ่าวก็ได้”

แม้มู่ฮ่าวจะหลบหลีกกระบวนท่าผนึกมังกรวารีด้วยพลังทั้งหมดของเขา แต่เขาก็ยังคงถูกพลังธาตุวารีซัดให้ล่าถอยออกไป

หลังจากต่อสู้กัน มู่เฉียนซีรู้แล้วว่าแม้ชายหนุ่มตรงหน้าจะมีระดับที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งเขายังแข็งแกร่งอย่างแท้จริง แต่ประสบการณ์การต่อสู้ของเขายังไม่เพียงพอ… คู่ต่อสู้เช่นนี้นางไม่เห็นอยู่ในสายตา

มู่เฉียนซีเริ่มใช้พลังวิญญาณ

“ผนึกมังกรวารี!”

“วารีสะท้านสวรรค์!”

“บุปผาหลั่งสายฝน!”

หลังจากสามกระบวนท่าที่แข็งแกร่งเช่นนี้จบลง มู่ฮ่าวมึนงงยังไม่ทันจางหาย พลันเห็นกระดูกบนร่างของตัวเองแตกเป็นเสี่ยง ๆ อย่างน่ากลัว ทว่าเขาไม่มีเวลามามัวตกใจ ร่างสีม่วงพุ่งเข้าใส่เขาด้วยความเร็วดั่งสายฟ้าแลบ เท้าเล็ก ๆ นั่นเขาแทบมองไม่ทัน เห็นอีกทีนางก็เตะเขาตกลงจากเวทีประลองแล้ว

ผู้ที่มองดูอยู่ตะลึงลาน จอมยุทธ์ระดับเก้าไม่มีพลังที่จะตอบโต้ผู้นำตระกูลมู่ที่เป็นจอมภูตระดับเจ็ดได้  หากคิดจะเอาชนะนาง เกรงว่าคงต้องบรรลุถึงระดับจอมยุทธ์ใหญ่เสียก่อนกระมังจึงจะสามารถทําได้ แต่จอมยุทธ์ใหญ่ด้วยวัยเพียงเท่านี้ จะหาได้ที่ใดกัน ?

“เจ้าขยะ!” ผู้อาวุโสสูงสุดลอบสบถออกมา

หลายวันมานี้เขาลอบสังเกตผู้นําตระกูลมู่ผู้นี้ พลังที่แข็งแกร่งของนางมหาศาลเกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดเดาได้ การท้าประลองข้ามระดับก็เหมือนกับการดื่มน้ำต้มสุก อันที่จริงเขาก็ไม่ได้คาดหวังว่ามู่ฮ่าวจะชนะตั้งแต่แรก

แม้ว่าจะไม่สามารถเอาชนะได้ แต่ก็ถือว่าได้ลองเพื่อให้เห็นขอบเขตความสามารถของมู่เฉียนซี สุดท้ายผลออกมาเป็นเช่นนี้ เขาไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าขยะมู่ฮ่าวนี่จะทำเรื่องง่าย ๆ เช่นนี้ไม่ได้

มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้น “ว่าอย่างไรล่ะ ? ยังมีใครหน้าไหนอยากท้าประลองกับข้าอีกหรือไม่ ?”

มุมปากทุกคนพลันกระตุก ในวัยเดียวกันกับมู่เฉียนซี มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถกลายเป็นจอมยุทธ์ใหญ่และจอมภูตใหญ่ได้เร็วถึงเพียงนี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าท้าทายมู่เฉียนซีอีก

ทว่าทันใดนั้น ท่ามกลางความประหลาดใจของทุกผู้คน หญิงผู้หนึ่งยืนขึ้น กล่าวว่า “พวกข้าสองคนเอง”

“สองคนรึ ?” ทุกคนต่างตกตะลึง สองคนคิดจะสู้กับคนคนเดียว มันจะไร้ยางอายเกินไปแล้ว…

มันจะมากเกินไปแล้ว!

ผู้อาวุโสสี่ยืนขึ้น เขาหัวเราะก่อนจะกล่าวว่า “ผู้นำตระกูล หลานสาวของข้าและสามีของนาง พวกเขาทั้งสองตั้งแต่ยังเล็กชอบต่อสู้ด้วยกัน หากสู้ด้วยกัน พลังการต่อสู้จะแข็งแกร่งที่สุดและจะลดลงเมื่อแยกกัน”

“เจ้าดูสิว่าเจ้าสามารถจัดการมู่ฮ่าวได้ในชั่วพริบตา ความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งสองพอ ๆ กันกับมู่ฮ่าว เห็นได้ชัดว่าคู่ต่อสู้เพียงคนเดียวไม่มีผลต่อความท้าทายของเจ้า ดังนั้นให้ทั้งสองไปสู้ด้วยกัน เจ้าคิดว่าอย่างไร ?”

ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “อันที่จริงท่านผู้นําตระกูลสามารถหาคู่หูได้ เพียงแต่ตอนนี้เป็นพิธีฉลองการเป็นผู้ใหญ่ของผู้นําตระกูล แน่นอนมันมีความหมายพิเศษ หากผู้นําตระกูลหาคู่หู เกรงว่าจะดึงดูดผู้คนให้วิพากษ์วิจารณ์ในทางเสื่อมเสีย”

ทันทีที่ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวจบ  อากาศรอบ ๆ ตัวเขาเย็นลง ชายร่างสง่ากลิ่นอายเสมือนเทพมารปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ มู่เฉียนซี  ความหนาวเย็นที่น่าหวาดกลัวนี้ทําให้ทุกผู้คนรู้สึกต้องการจะวิ่งหนีออกไป บางคนตกใจจนเกือบจะเป็นลมแป็นแล้ง

“สวรรค์… โอ้สวรรค์! นั่นคือเยี่ยอ๋อง ซวนหยวนจิ่วเยี่ย!”

“เยี่ยอ๋องมา จบกัน…”

พวกเขาคร่ำครวญเบา ๆ เหงื่อออกตัวสั่นงันงกไปหมด

จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างช้า ๆ น้ำเสียงเยียบเย็นข่มขวัญยิ่งนัก “ข้าเป็นคู่หมั้นของมู่เฉียนซี”

เงาร่างสองร่างนั้นยืนอยู่บนเวทีประลองยุทธ์ คนหนึ่งเสมือนดั่งปีศาจ อีกคนหนึ่งดูสูงศักดิ์สงบนิ่ง เวลานั้นทุกคนพบว่าพวกเขาสองคนเข้าคู่กันอย่างน่าประหลาด  ปีศาจดังกล่าวยืนอยู่ข้าง ๆ สตรีผู้นำตระกูลมู่ ทว่านางสามารถรักษาสีหน้าปกติไว้ได้

ซวนหยวนหลี่เทียนมองด้วยแววตาริษยา เขาอยากจะเป็นผู้ชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นางเสียจริง

เมื่อเข้าสู่พิธีเฉลิมฉลองเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มู่เฉียนซีดูน่าหลงใหลกว่าแต่ก่อนนัก และเขายังพบว่าตนเองนั้น  ลึก ๆ แล้วตกหลุมรักนางอย่างช่วยไม่ได้ น่าเศร้าที่เวลานี้นางดูหมิ่นเขา นางที่ควรเป็นคู่หมั้นของเขา กลับเป็นคู่หมั้นของคนอื่นไปเสียแล้ว

อา…

ฟันของผู้อาวุโสสามสั่นกระทบกันดังกึก ๆ  มิใช่เรื่องล้อเล่นใช่หรือไม่ ?  เยี่ยอ๋องเป็นคู่หูของมู่เฉียนซี แล้วมู่ซวนจะสู้พวกเขาได้อย่างไร ?

ใบหน้าของมู่ซวนและสามีของนาง—ไป่เหิง แข็งทื่อ

มู่เฉียนซีเลิกคิ้ว กล่าวว่า “เป็นอะไรไปเล่า ? จิ่วเยี่ยเป็นคู่หูของข้าแล้วอย่างไร หรือว่าพวกเจ้าไม่กล้าท้าประลองแล้ว ?”

“เหอะ! ในเมื่อท้าประลองกับข้าแล้ว ทางที่ดีพวกเจ้าควรรักษาคำพูดของพวกเจ้าไว้จะดีกว่า ไม่เช่นนั้นข้าจะโกรธเอาได้ และผลที่ตามมามันจะร้ายแรงนัก”

‘สองคนนี้ช่างเหลือเกินจริง ๆ ท้าประลองกับผู้นำตระกูลก็ยังคงไม่ลืมแสดงความรักต่อกัน  นี่มันช่าง…น่าสังเวช’ ทุกคนบ่นอยู่ในใจ

ผู้อาวุโสสามคิดไม่ถึงว่ามู่เฉียนซีมีคู่หมั้นคนใหม่แล้ว  คู่หมั้นคนนี้ยังเป็นถึงองค์ชายเก้าที่เชี่ยวชาญในการทําลายเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทําลายล้างทุกสำนัก

มู่ซวนกําหมัดแน่น กล่าวว่า “ในเมื่อท้าไปแล้ว เช่นนั้นมู่ซวนจะต้องรับมือสู้อย่างแน่นอน วางใจได้เลย!”

สามีภรรยาคู่นี้เดินไปยังเวทีประลอง  มู่เฉียนซีเดินไปข้าง ๆ จิ่วเยี่ยก่อนจะกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย ฝ่ายหญิงให้ข้าจัดการ ส่วนชาย เจ้าดูเขาไว้ให้ข้า”

“อืม” จิ่วเยี่ยพยักหน้าเล็กน้อย สีหน้าเฉยเมยไม่แสดงออกถึงสิ่งใด

เวลานี้เยี่ยอ๋องยืนอยู่บนขอบของเวทีประลอง แต่ไป่เหิงกลับรู้สึกว่าสายตาของเทพแห่งความตายผู้นี้จับจ้องมาที่ร่างของเขา ทําให้เขาไม่กล้าขยับกายแม้เพียงเล็กน้อย

มู่ซวนกัดฟันกล่าว “ท่านผู้นำตระกูล รับมือให้ดี!”

“หลิงอวิ๋นสังหาร!”

ดาบเล่มนี้ร่วงหล่นลงอย่างรวดเร็ว มันดูดุดันอย่างหาที่เปรียบมิได้  ทว่าเห็นได้ชัดว่าสถานการณ์การต่อสู้ของมู่ซวนไม่ดีนัก บนแท่นต่อสู้มีเยี่ยอ๋องยืนอยู่ เกรงว่านอกจากมู่เฉียนซีแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถสู้ได้อย่างเต็มที่

มู่เฉียนซีเวลานี้ก็มิใช่ยืนอยู่นิ่ง ๆ นางปิดกั้นด้วยกระบวนท่าเดียว

“ผนึกมังกรวารี! ”

“อ๊า มู่ซวนร้องโหยหวนประหนึ่งเป็นไก่ตกน้ำร้อน เขาร่วงหล่นลงจากเวทีไปแล้ว

“ผนึกมังกรวารี!”

มู่เฉียนซีระดมพลังและส่งไปอีกกระบวนหนึ่ง เสียงระเบิดดังขึ้นจากด้านของไป่เหิงที่แข็งทื่ออยู่ ทั้งสองคนถูกพลังตบตกลงไป

มู่เฉียนซีกล่าว “เหล่าผู้อาวุโสจงฟัง หากพวกเจ้าบอกว่าคุณภาพอัจฉริยะของตระกูลมู่เป็นเช่นนี้  เช่นนั้นข้าก็ไม่อยากที่จะเสียพลังต่อแล้ว”

ในตอนนั้นเอง เด็กหนุ่มในชุดคลุมสีดําสวมหมวกบนศีรษะเดินออกมา เสียงนุ่มนวลกล่าวว่า… “ในเมื่อพวกมันทําไม่ได้ เช่นนั้นก็ให้ข้าจัดการเองเถอะ”

“ข้ามู่เทียน ข้าต้องการท้าประลองกับผู้นำตระกูล”

.