มู่เฉียนซีหันมองจิ่วเยี่ยที่อยู่บนเวทีการประลอง “เด็ก ๆ มานี่ซิ ไปเชิญเยี่ยอ๋องเข้าไปในห้องรับรองรับชมการประลอง” นางหยุดกล่าว ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่ออีกว่า “จิ่วเยี่ย ดูเหมือนว่าตำแหน่งคู่หมั้นของเจ้าช่างมีประโยชน์ยิ่งนัก”
หากสองคนนั้นร่วมมือกัน นางจะไม่มีวันแพ้อย่างแน่นอน ทว่านางอาจจะต้องเปิดเผยไพ่เด็ดจำนวนมากของนางออกมา ผู้เฒ่าเหล่านั้นยังไม่ทันได้ชักไพ่ใบเด็ดออกมา หากนางเปิดเผยไพ่เด็ดของนางออกไปก่อน ก็คงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่
จิ่วเยี่ย “อืม มันมีประโยชน์มาก”
ขณะที่ข้ารับใช้ของตระกูลมู่กำลังจะเชิญจิ่วเยี่ยไปที่ห้องรับรอง ทันใดนั้นร่างของจิ่วเยี่ยอันตรธานหายไปเสียก่อน เขาไม่อยากนั่งร่วมกับผู้อื่น เพราะเขานั้นมีที่ที่ดีที่สุดให้กับตัวเองแล้ว
จื่อโยวปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ จิ่วเยี่ย เขากล่าวขึ้นว่า “เยี่ย ข้าจะบอกเจ้าให้ หากแม่นางของเจ้าหลุดออกมาจากคนกลุ่มนั้นได้ คืนนี้หากเจ้าไม่เอาตัวเจ้าเองมอบเป็นของขวัญให้แก่นาง อย่างน้อยเจ้าก็ต้องเอาปิ่นปักผมของนางมาให้ได้ เพราะตระกูลของนางมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือ หลังจากงานพิธีที่นางเติบโตเป็นผู้ใหญ่ หากบุรุษขอปิ่นปักผมนาง นั่นแสดงว่าบุรุษผู้นั้นกำลังขอนางแต่งงาน หากนางยอมให้ปิ่นปักผมนั่นก็หมายความว่านางตอบตกลงที่จะแต่งงานกับบุรุษผู้นั้น”
“เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว ต่อให้แม่นางของเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือผู้ใด เจ้าก็สามารถเอาปิ่นปักผมของนางไปเอาตัวนางกลับมาเป็นพระชายาของเจ้าได้”
ในเรื่องเกี้ยวพาราสีสตรี ต่อให้บางครั้งจื่อโยวอาจจะทำนอกกรอบไปบ้าง ทว่าบางครั้ง ความคิดเห็นของเขาก็ไม่เลวเลย
จิ่วเยี่ยพยักหน้า “อืม ข้ารู้แล้ว”
บนเวทีการประลอง มู่เฉียนซีรู้สึกเสมือนมีอากาศเย็นวาบอยู่ด้านหลังนาง ทั้งยังรับรู้ถึงกลิ่นอายของการแก้แค้นเอาคืนในชั่วขณะ นางหันไปมองมู่เทียน จากนั้นคิ้วนางก็ขมวดมุ่น มู่เทียนผู้นี้ดูท่าทางแปลกประหลาดยิ่งนัก
ในเวลานั้นเองมู่เทียนก้าวเท้าขึ้นสู่เวทีการประลอง กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ท่านผู้นำตระกูลมู่ โปรดชี้แนะ”
ทันใดนั้นพลังปรมาจารย์ยุทธ์ระดับหนึ่งพลันแผ่กระจายออกมา
ทุกคนต่างตกตะลึง อายุน้อยเพียงนี้กลับสามารถทะลวงพลังเป็นถึงปรมาจารย์ยุทธ์ได้แล้ว หนุ่มน้อยผู้นี้ซ่อนพลังได้แนบเนียนอย่างยิ่ง
มู่เฉียนซียิ้มมุมปากเล็กน้อย ดูเหมือนว่าบรรดาท่านผู้เฒ่าเหล่านั้นพยายามที่จะกดดันนางในงานเลี้ยงของนาง ช่างมากอุบายนัก!
ทันใดนั้นมู่เทียนก็ได้หายไปจากด้านหน้าของมู่เฉียนซี เขาเหวี่ยงมีดสั้นและหมุนร่างไปรอบ ๆ นางอย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนผู้ที่ชมดูอยู่อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างด้วยความตะลึง หากมีดสั้นปักลงบนร่างของมู่เฉียนซีเข้า ไม่ตายก็คงจะบาดเจ็บอย่างสาหัสเป็นแน่
นี่เป็นเพียงแค่การท้าประลองของคนในตระกูลเท่านั้น ฝ่ายหนึ่งก็ไม่ได้เป็นนักฆ่ามือสังหารหรืออะไร แต่อีกฝ่ายเป็นถึงท่านผู้นำตระกูล ช่างบังอาจดีแท้
ถึงแม้จะเชื่อมั่นในตัวหลานสาว ทว่าสีหน้าของมู่อวู่ซวงยังคงเคร่งขรึมราวกับกำลังซ่อนพายุฝน กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายออกมาจากร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง กลิ่นอายความเย็นยะเยือกจากเขาทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนตัวสั่นไปถึงกระดูก
แล้วยังมีเยี่ยอ๋องอีก! กลิ่นอายความเย็นยะเยือกของเขาทำให้ผู้คนหวาดกลัวไปจนถึงจิตวิญญาณ
แทบทุกผู้คนในที่นั้นหายใจไม่ทั่วท้อง กลิ่นอายของมู่อวู่ซวงในเวลานี้น่ากลัวเกินไป หากวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับท่านผู้นำตระกูลมู่ ทุกคนในที่นี้ต้องถูกมู่อวู่ซวงส่งไปแดนนรกโดยไม่ต้องสงสัยเลย
ขณะที่มีดสั้นนั้นกำลังจะปักลงที่ร่างของมู่เฉียนซี มู่เฉียนซีนางหลบคมมีดสั้นนั้นอย่างรวดเร็วราวสายลมวสันตฤดู
มู่เทียนไม่ลดละความพยายาม เขาจับคว้าเอามีดสั้นไล่ตามมู่เฉียนซีหมายใจจะฟันแขนของนางให้ขาดกระเด็น!
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
เข็มยาของมู่เฉียนซีพุ่งตรงไปที่ร่างของมู่เทียน นางแค่นเสียงกล่าววาจาดูแคลน “เหอะ! ฝีมือต่ำต้อยนัก”
พลังปรมาจารย์ยุทธ์แผ่กระจายออกมาสกัดกั้นเข็มยาของมู่เฉียนซีออกไป มู่เทียนโกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ เขาไล่ตามมู่เฉียนซีอย่างเอาเป็นเอาตาย
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
เข็มยาชุดแรกถูกมู่เทียนสกัดกั้นไว้ได้ ทันใดนั้นเข็มยาอีกชุดพุ่งกลับหาเขาอีกครั้ง เขาจำต้องเร่งมือแล้ว ใช้พลังปราณสกัดกั้นเข็มยาทั้งหมดของมู่เฉียนซีออกไปก่อนจะกล่าวเสียงเย็นชา “ท่านผู้นำตระกูลมู่ หากท่านผู้นำเล่นเพียงของเล่นเหล่านี้ เช่นนั้นคนในตระกูลมู่คงผิดหวังในตัวท่านยิ่งนัก”
ทุกคนมองมู่เทียนด้วยความประหลาดใจ ประสบการณ์การลงสนามประลองของมู่เฉียนซีผู้นำตระกูลมู่ถือว่ามีมาก ทว่ามู่เทียนผู้นี้กลับหลบหลีกการโจมตีของนางได้ ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและความโหดร้ายของเขาอีกด้วย
มันช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก หลังจากที่มู่เฟิงอวิ๋นหายตัวไปตระกูลมู่ก็เก็บซ่อนตัวผู้เก่งกาจเอาไว้นานนับสิบปี ทั้งยังเก็บซ่อนความผิดปกติได้ลึกเช่นนี้
มู่เฉียนซีถูกพลังที่แข็งแกร่งของเขากดดัน เหล่าบรรดาผู้เฒ่าต่างยิ้มมุมปากด้วยความสะใจ
การประลองในวันนี้มู่เฉียนซีจะต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบ เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลมู่นั้นเป็นใครกันแน่
พวกเขาไม่ยอมให้ทั้งตระกูลมู่ตกอยู่ในกำมือของสตรีอายุน้อยผู้นี้เพียงผู้เดียวเด็ดขาด ต่อให้นางมีพรสวรรค์และเป็นอัจฉริยะระดับใดก็ตาม พวกเขาก็ไม่ยอม
— ตูม! ตูม! ตูม! —
มู่เฉียนซีถูกต้อนใกล้จะจนมุม นางต้องหลบการโจมตีหลายครั้งและยังหาช่องว่างโจมตีกลับไม่ได้เลย
ทุกคนกล่าวพลางทอดถอนใจ “ไร้หนทางแล้ว พลังของมู่เทียนผู้นี้อุกอาจยิ่งนัก ไม่เพียงแต่มีพลังแข็งแกร่งกว่าผู้นำตระกูลสามระดับ แต่การต่อสู้ของเขาก็ทรงพลังเช่นกัน”
“ท่านผู้นำตระกูลมู่ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แน่”
เมื่อเห็นสตรีตรงหน้าถูกตนไล่ต้อน มู่เทียนไล่โจมตีนางอย่างฮึกเหิมมากขึ้น อีกทั้งยังกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า “ท่านผู้นำตระกูล ท่านไม่คิดว่าข้าจะมีพลังที่แข็งแกร่งและเก่งกาจเช่นนี้ใช่หรือไม่ล่ะ ? หึ ๆ”
มู่เฉียนซียิ้มบาง ๆ พลางกล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว หากเจ้าไม่เก่งกาจ ตาเฒ่านั่นคงไม่ส่งเจ้าออกมาหรอก ข้าไม่ได้แปลกใจอะไรเลย มันเป็นไปตามที่ข้าคิดเอาไว้ต่างหากเล่า”
ดวงตามู่เทียนเปล่งประกายแสงเย็นวาบ “รึ ? เช่นนั้นท่านผู้นำตระกูลก็รับการโจมตีของข้าให้ดีแล้วกัน”
“พลังผลาญฟ้า!”
ทันใดนั้นมีดสั้นพุ่งเข้าหาร่างของมู่เฉียนซี ทว่า…
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “เจ้ามีมีดข้ามีกระบี่ ย่อมเสมอภาคกัน!”
มู่เฉียนซีฉวยเอากระบี่มังกรเพลิงออกมาสกัดกั้นคมมีดของมู่เทียนเอาไว้ได้ ถึงอย่างไรแล้วนางก็เชื่อในพลังของกระบี่มังกรเพลิงเล่มนี้มาก
เมื่อทุกคนเห็นเช่นนี้ต่างก็ตะลึงกันอีกครั้ง “นี่ข้าตาฝาดไปหรือไม่! ท่านผู้นำตระกูลเอากระบี่ขึ้นสนิมมาต่อสู้กับอาวุธวิญญาณระดับห้า”
“ชะ… ใช่ กระบี่ขึ้นสนิมเช่นนี้อาจจะหักเมื่อใดก็ได้ ท่านผู้นำตระกูลมู่มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่ซื้ออาวุธวิญญาณดี ๆ มาใช้”
“สนิมมากเช่นนี้มีหวังหักแน่ นางไม่รอดแน่นอน!”
พลังอันแข็งแกร่งรวมตัวกัน ทันใดนั้นกระบี่มังกรเพลิงลุกเป็นไฟ พุ่งเข้าหาอาวุธวิญญาณของมู่เทียนทันที
— ตูม! —
เสียงดังสนั่นเมื่ออาวุธของทั้งสองปะทะกัน
— เปรี้ยง! —
ทันใดนั้นเวทีประลองแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เหลือเพียงแต่ซากปรักหักพัง
ทุกคนเบิกตากว้าง ดวงตาแทบถลนออกนอกเบ้า “ทรงพลังเกินไปแล้ว!”
ทั้งมีดและกระบี่ที่ปะทะกันนี้ทำให้ผู้คนที่ชมการประลอง ยากที่จะเชื่อว่าฝ่ายหนึ่งเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ระดับหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งเป็นจอมภูตระดับเจ็ด แต่ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าก็คงจะต้องเป็นปรมาจารย์ยุทธ์
ภายใต้กลุ่มควันในความเงียบ ไม่นานนักร่างของมู่เทียนค่อย ๆ คลานออกมาจากกลุ่มควัน เสื้อผ้าอาภรณ์ของเขาถูกไฟแผดเผาจนขาดรุ่งริ่ง หมวกที่เขาสวมนั้นก็ได้ถูกเผาจนสิ้นซาก
เมื่อทุกคนเห็นร่างนั้นคลานออกมา ตะลึงงันกันเป็นแถบ ๆ
“นั่นมัน……”
มีคนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นว่า “ประเดี๋ยวก่อน! เหตุใดข้าถึงได้คุ้นหน้าคุ้นหน้าพ่อหนุ่มผู้นี้นัก”
“เขาน่าจะมีความสัมพันธ์กับท่านผู้เฒ่าหก ข้าเคยเจอท่านผู้เฒ่าหกมาก่อน ใบหน้าคล้าย ๆ กับพ่อหนุ่มผู้นี้”
ใบหน้าของมู่เทียนดูเหมือนท่านผู้เฒ่าหกแห่งตระกูลมู่ยิ่งนัก แต่เขาถือว่าเด็กกว่ามาก
ต่อมาร่างมู่เฉียนซีปรากฏต่อหน้าทุกผู้คน ผมของนางยุ่งเหยิงเล็กน้อย ทว่าสภาพโดยรวมของนางมิได้ดูน่าอับอายขายหน้าเหมือนมู่เทียน
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นว่า “ผู้เฒ่าใหญ่ เหตุใดมู่เทียนจึงหน้าตาเหมือนผู้เฒ่าหกเช่นนี้ ชี้แจงให้ข้าฟังซิ”
มิใช่ใบหน้าเหมือนกันธรรมดา ๆ แต่เหมือนราวกับพิมพ์เดียวกันเลยทีเดียว
.