บทที่ 165 ห่างเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น !
ผู้คนที่ยืนอยู่บนถนนต่างตกตะลึง จอมยุทธ์ใหญ่ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเองก็แสดงสีหน้าตกใจเช่นกัน มือของเขากุมดาบที่ส่องประกายแสงสีฟ้าเอาไว้ แล้วจ้องมองไปที่หลัวซิวอย่างระมัดระวัง
เขาเองก็มีผลการฝึกตนระดับจอมยุทธ์ใหญ่ แต่เมื่อลองถามตัวเองดูแล้ว เขาคงไม่สามารถฆ่าจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ช่วงท้ายทั้งสามคนได้อย่างรวดเร็วและหมดจดเช่นนี้
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ? กล้าฆ่าคนของสำนักเหลยหวู่เราบนท้องถนนเช่นนี้” จอมยุทธ์ใหญ่ผู้นี้รู้ตัวดีว่าตนเองนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ ขณะที่พูด เขาก็ค่อย ๆ เดินถอยร่นไป
ฆ่าผู้ฝึกตนของสำนักเหลยหวู่ในเขตการปกครองโตว้ไห่ ย่อมจะต้องมีผู้ฝึกจิตที่แข็งแกร่งออกมาฆ่าคนผู้นี้อย่างแน่นอน ไม่จำเป็นที่ตนเองจะต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง
อีกทั้ง ดูเหมือนว่าชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำคนนี้จะละม้ายคล้ายกับ “ซิวหลัว” ที่ปรากฏตัวขึ้นเมื่อช่วงก่อน ได้ยินมาว่า “ซิวหลัว” ผู้นั้น ใช้วิชาปราณกระบี่เปลวไฟดำด้วยเช่นกัน และเป็นร่างยุทธ์ชั้นสูง สามารถทำลายนักยุทธ์ชั้นกลางได้
มีคุณสมบัติหลายอย่างที่ตรงกัน เขาจึงเกือบจะมั่นใจอย่างสมบูรณ์ว่าคนผู้นี้คือซิวหลัวอย่างแน่นอน !
ซิวหลัวผู้นี้ แม้แต่ผู้ฝึกจิตครึ่งยังฆ่าได้ จึงสามารถฆ่าจอมยุทธ์ใหญ่ได้ง่ายดายเหมือนสุนัข !
เมื่อเห็นจอมยุทธ์ใหญ่ของสำนักเหลยหวู่ผู้นี้มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป หลัวซิวก็เดาออกทันทีว่าอีกฝ่ายคงจะเดาออกแล้วว่าคนเองนั้นคือซิวหลัว
แต่เขาก็ไม่สนใจหากฐานะนี้ต้องถูกเปิดเผย เพราะในไม่ช้าเขาก็จะไปเข้าร่วมการประลอง เพื่อเข้าชิงรายชื่อผู้ที่จะได้เข้าไปในแดนปริศนากับเสิ่นหยวนหนานแล้ว รอให้เขากลับมาอีกครั้งเสียก่อน ไม่แน่ว่าอาจมีกำลังที่จะต่อสู้กับราชายุทธ์ได้
ส่วนคนในครอบครัวของตนเอง มีองค์กรนักล่ายุทธ์คอยปกป้องอยู่ ต่อให้เหลยเว่ยหลงจะใจกล้าแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางกล้าแตะต้องเด็ดขาด
ส่วนจอมยุทธ์ใหญ่ที่อยู่ต่อหน้าคนนี้ หลัวซิวเองก็ไม่คิดจะไว้ชีวิต ตนเองได้ให้โอกาสหนีแก่เขาแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายเลือกที่จะลงมือ ก็มีเพียงแค่ความตายที่รออยู่เท่านั้น
สำแดงวิชาท่าร่างตามลมล่าจันทรา ดูเหมือนว่าหลัวซิวจะไปปรากฏตัวต่อหน้าจอมยุทธ์ใหญ่ผู้นั้นในทันที เพลิงมรณะค่อย ๆ แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาทีละสาย แล้วกลายเป็นแสงสว่างของเปลวไฟกระบี่ดำ ก่อตัวขึ้นเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ และสกัดกั้นหนทางในการถอยหนีของอีกฝ่าย
กระบวนท่านี้ เป็นทักษะยุทธ์ที่บันทึกอยู่ในกระบี่เพลิง
จอมยุทธ์ใหญ่ผู้นั้นระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นหลัวซิวลงมือ เขาก็ตั้งสติได้ในทันที ดาบที่อยู่ในมือของเขาส่องแสงประกายของสายฟ้าออกมา และฟันลงไปอย่างแรง
ดาบเล่มนี้เป็นของชั้นสูง ซึ่งเขาเพิ่งจะซื้อมาด้วยเงินเก็บออมทั้งหมดที่มีเมื่อไม่นานมานี้ ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตผู้แข็งแกร่งจำนวนมาก มักจะใช้ดาบในระดับนี้
ทว่า ของชั้นสูงที่เปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าของจอมยุทธ์ใหญ่ เมื่ออยู่ต่อหน้าของหลัวซิว ก็เป็นเพียงแค่ของไร้สาระเท่านั้น !
ร่างเนื้อของเขาบรรลุถึงจุดสูงสุดของร่างยุทธ์ชั้นสูงนานแล้ว ซึ่งอยู่ห่างจากร่างยุทธ์ขั้นสูงเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น !
เขาใช้นิ้วมือชี้ออกไป ดาบชั้นสูงก็สั่นอย่างรุนแรง พลังมหาศาลแผ่ซ่านออกไป ทำให้จอมยุทธ์ใหญ่สำนักเหลยหวู่กำดาบด้วยความเจ็บปวด แขนของเขาราวกับจะสูญเสียความรู้สึกไป
สิ่งนี้ทำให้จอมยุทธ์ใหญ่สำนักเหลยหวู่รู้สึกหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก เขาจึงรีบนำยันต์หยกออกมาจากแหวนเก็บของอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่เขายังไม่ทันจะได้บดขยี้ยันต์หยกเพื่อใช้งาน เปลวไฟกระบี่ดำก็รวมตัวกันเป็นตาข่ายใหญ่และคลุมลงมา ทำลายร่างกายจนแหลกเป็นชิ้น ๆ มีเลือดไหลออกมาราวกับสายน้ำ และล้มลงบนพื้นในที่สุด
นี่คือยันต์โจมตีขั้น 4 ที่ถูกปรับแต่งขึ้นโดยปรมาจารย์นักค่ายกล สามารถโจมตีได้เทียบเท่ากับการลงมือของปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิต
เขาคิดว่าจะใช้ยันต์นี้ ถึงแม้จะไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ แต่อย่างน้อยก็จะอาศัยจังหวะนี้ในการหลบหนี แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะลงมืออย่างรวดเร็วเช่นนี้ ยังไม่ทันจะได้ใช้ยันต์ ก็ถูกฆ่าตายเสียแล้ว
“หลัวซิว เจ้า……”
ลู่เมิ่งเหยาคิดไม่ถึงเลยว่าหลัวซิวจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ จอมยุทธ์ใหญ่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็เป็นเหมือนกับสุนัข ที่ถูกโจมตีจนตายในคราวเดียว
หรือว่าเขาจะเป็น “ซิวหลัว” ที่อยู่ในข่าวลือ ?
เมื่อเห็นหลัวซิวเก็บสมบัติของจอมยุทธ์ที่ถูกฆ่าตายทั้งสี่อย่างชำนาญ ลู่เมิ่งเหยาก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย ในช่วงที่แยกจากนางไป หลัวซิวผ่านอะไรมาบ้างกันแน่ ?
ระยะเวลาสั้น ๆ เพียงแค่หนึ่งปี จากการกลั่นร่างขั้น 2 บรรลุถึงจอมยุทธ์ใหญ่แดนพรสวรรค์ขั้น 9 นางจึงพอเข้าใจแล้วว่าทำไมในตอนนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะหนีไป เป็นเพราะเกรงว่าอาเล่อจะสนใจความลับที่ซ่อนอยู่ในตัวของเขา
หากเป็นเมื่อก่อน นางเชื่อว่าอาเล่อไม่มีทางทำอะไรหลัวซิวอย่างแน่นอน แต่หลังจากที่ประสบกับเหตุการณ์ครั้งนี้แล้ว นางกลับพบว่า อาเล่อผู้นั้นไม่ใช่คนดีอย่างที่ตนเองคิดเอาไว้
เพราะคนที่ตามจับนางทั้งสี่คน ล้วนแล้วแต่เป็นลูกสมุนของเล่อเผิงเฉิงทั้งสิ้น ถ้าหากไม่มีคำสั่งของเล่อเผิงเฉิง พวกเขาจะกล้าปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ได้อย่างไร ?
“ไปกันเถอะ พวกเราไปที่องค์กรนักล่ายุทธ์กันก่อน”
หลัวซิวเก็บแหวนเก็บของทั้งสี่ขึ้นมา จากนั้นจึงหันไปพูดกับลู่เมิ่งเหยาที่ยังคงยืนสับสนอยู่
“อืม……” ลู่เมิ่งเหยาใจลอยเล็กน้อย นางไม่ทันสังเกตว่าหลัวซิวพูดอะไร
“ข้าฆ่าคนของสำนักเหลยหวู่สี่คน ไม่ช้าจะต้องมียอมฝีมือระดับผู้ฝึกจิตขึ้นไปตามมาแน่นอน พวกเรารีบไปกันเถอะ”
หลัวซิวพูดขึ้นอีกหนึ่งประโยค จากนั้นจึงจูงมือของลู่เมิ่งเหยา แล้วเดินตรงไปยังองค์กรนักล่ายุทธ์
ฝูงชนที่ยืนมุงดูอยู่โดยรอบไม่มีใครกล้าขวาง เพราะผู้ร้ายคนนี้อาจจะเป็นซิวหลัว ที่ฆ่าจอมยุทธ์ใหญ่ได้เหมือนสุนัข !
ในเขตปกครองโตว้ไห่ สำนักเหลยหวู่ถือว่ามีอิทธิพลสูงสุด แม้แต่ยอมฝีมือระดับผู้ฝึกจิตก็ยังไม่กล้าล่วงเกินง่าย ๆ
แต่กองกำลังทั้งหมดในเขตการปกครองโตว้ไห่ ล้วนเกรงกลัวความยิ่งใหญ่ของสำนักเหลยหวู่ มีเพียงแก๊งใหญ่ทั้งสี่ที่ถือเป็นข้อยกเว้น
นักค่ายกลบนโลกนี้ เกือบจะทั้งหมดล้วนมาจากแก๊งนักค่ายกล
นักกลั่นยาบนโลกนี้ เกือบจะทั้งหมดล้วนมาจากแก๊งนักกลั่นยา
นักหลอมอาวุธบนโลกนี้ เกือบจะทั้งหมดล้วนมาจากแก๊งนักหลอมอาวุธ
กองกำลังต่าง ๆ เพื่อที่จะฝึกฝนนักค่ายกล นักกลั่นยา และนักหลอมอาวุธของตนเอง ล้วนแล้วแต่ส่งไปเรียนที่สามแก๊งใหญ่นี้ทั้งสิ้น
ส่วนองค์กรนักล่ายุทธ์ นักฝึกตนแทบจะทั้งหมดบนโลกนี้ ต่างก็มีรายชื่ออยู่ในแก๊ง เพื่อรับป้ายแบ่งระดับของนักล่าอสูรที่เหมาะสม
ส่วนนายท่านตระกูลกงซุน กงซุนเชียนจีผู้นั้น เป็นนักค่ายกลขั้น 5 ได้ยินมาว่าเป็นศิษย์คนโปรดของท่านหัวหน้าแก๊งของสาขาแก๊งนักค่ายกล
และในบรรดาแก๊งใหญ่ทั้งสี่นี้ องค์กรนักล่ายุทธ์ถือว่ามีฐานะที่สูงส่งกว่า และถือเป็นผู้นำของแก๊งใหญ่ทั้งสี่ !
องค์กรนักล่ายุทธ์ได้กำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นว่า ไม่ว่าศัตรูของเจ้าจะเป็นใคร เพียงแค่เจ้าเข้ามาในองค์กรนักล่ายุทธ์ ก็จะได้รับการคุ้มครองจากองค์กรนักล่ายุทธ์ หากใครกล้าเข้ามาลงมือในองค์กร ก็เท่ากับรนหาที่ตาย จะต้องถูกผู้แข็งแกร่งขององค์กรนักล่ายุทธ์ตามฆ่า
กฎข้อนี้ คุ้มครองผู้ฝึกตนทั้งหมดในโลก ซึ่งทำให้คนรู้สึกทั้งรักทั้งเกลียด
ในเวลาเดียวกันนี้ การปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งของซิวหลัว ก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็วราวกับพายุ
ผ่านไปสองเดือนกว่า “ซิวหลัว” กลับมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้บริเวณใกล้วัดกวนเหลย เป็นเพราะผู้แข็งแกร่งของสำนักเหลยหวู่ไม่อยู่ที่นั่นด้วย ดังนั้นในสายตาของคนส่วนใหญ่แล้ว เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่า “ซิวหลัว” ผู้นั้น จงใจที่จะใช้โอกาสนี้ยั่วยุสำนักเหลยหวู่
แต่ครั้งนี้ “ซิวหลัว” ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ใจกลางเมืองของเขตการปกครองโตว้ไห่ และฆ่าจอมยุทธ์ที่เป็นยอดฝีมือของสำนักเหลยหวู่ไปถึงสี่คน และหนึ่งในนั้นยังเป็นจอมยุทธ์ใหญ่อีกด้วย !
เขตการปกครองโตว้ไห่ ถือเป็นพื้นที่ของสำนักเหลยหวู่
***
“เมิ่งเหยา เรื่องของเจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเทียนซานเสว่มีที่มาที่ไปอย่างไร ?” หลังจากเข้าไปในองค์กรนักล่ายุทธ์ หลัวซิวก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามขึ้น
สำหรับคำถามนี้ ลู่เมิ่งเหยากลับเงียบไปทันที บนใบหน้าปรากฏร่องรอยของความหมองเศร้า ช่างดูน่าสงสารยิ่งนัก
อาจกล่าวได้ว่านางนั้นโชคร้าย เดิมทีเป็นผู้มีพรสวรรค์ แต่กลับเป็นโรคชีพจรขาดธาตุไฟ หลังจากรักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟอย่างยากลำบากจนหายดี สำนักเซียวเหยาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างกะทันหัน บิดาของนาง ลู่เฟยเฉิงมาเสียชีวิตลงในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ
นางยังไม่ทันจะคลายจากความโศกเศร้าที่ต้องสูญเสียผู้เป็นพ่อไป หลังจากมาถึงสำนักเหลยหวู่ กลับต้องมาเผชิญกับการสู่ขอจากเจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเทียนซานเสว่อีก ภายใต้แรงกดดันจากผู้อาวุโสของสำนักเหลยหวู่ ทำให้นางต้องจำใจหลบหนีออกมา
หากไม่ใช่เพราะได้พบกับหลัวซิวเข้า เกรงว่านางคงจะหนีมาไม่ถึงองค์กรนักล่ายุทธ์ ก็คงจะถูกจอมยุทธ์ทั้งสี่จับตัวกลับไปอย่างแน่นอน
“หลัวซิว ตอนนั้นเจ้าจากไปโดยไม่ลา เป็นเพราะกลัวว่าอาเล่อจะเกิดความละโมบในความลับที่ซ่อนอยู่ในตัวของเจ้าใช่ไหม ?”