ตอนที่ 122 เวลาไหลเร็วราวสายน้ำ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

บทเรียนแรกหลังวันหยุดยาวของซ่างกวนซวี่ไม่มีสิ่งใดซับซ้อน เขาบอกเล่าประสบการณ์ในการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนภมายาของตนเอง รวมถึงสอนเกี่ยวกับเคล็ดลับและสิ่งที่พึงกระทำก่อนการก้าวข้าม เพราะในบรรดานักเรียนในชั้นเรียนนี้ยังมีอีกหลายคนที่ยังอยู่ขอบเขตมายารัตนะเก้าดารา

หากนับดูอย่างคร่าว ๆ นักเรียนใหม่ในชั้นเรียนของอาจารย์ซ่างกวนส่วนใหญ่ต่างก็ล้วนเป็นจอมยุทธ์นภมายา มีส่วนน้อยที่ยังคงอยู่ในขอบเขตมายารัตนะเก้าดารา และมีเพียงฉินอวี้โม่คนเดียวที่เข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชน ดังนั้นแล้วซ่างกวนซวี่จึงพยายามจะทำให้ทุกคนได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตนภมายากันทั้งหมดก่อน เพราะขอบเขตมายารัตนะกับขอบเขตนภมายานั้นแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง หากไม่ทำให้นักเรียนมีระดับพลังที่ทัดเทียมกันก็จะส่งผลให้ความสามารถในการเรียนรู้ของพวกเขาห่างชั้นกันมาก ซึ่งก็รังแต่จะส่งผลเสียต่อการพัฒนาของทุกคนเท่านั้น

ในวันต่อ ๆ มาหลังจากนั้น ฉินอวี้โม่ก็วนเวียนตั้งใจศึกษาในชั้นเรียนของอาจารย์ซ่างกวนซวี่สลับกับการเข้าไปเรียนรู้ในอยู่ชั้นเรียนช่างหลอมอย่างมุ่งมั่น

…จนกระทั่งครึ่งปีผ่านไปว่องไวราวกับลมพัด…

สิ่งที่ซ่างกวนซวี่สั่งสอนนักเรียนรุ่นเยาว์ของเขานั้นตรงไปตรงมา และเขาก็ไม่เคยคิดจะปิดบังความรู้หรือเคล็ดลับใด ๆ กับเหล่านักเรียนทั้งหลายเลย อาจารย์ผู้เข้มงวดทุ่มเทถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอดทั้งชีวิต

ภายใต้การชี้แนะของอาจารย์ซ่างกวน นักเรียนในขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราก็สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตนภมายาได้อย่างรวดเร็ว เวลานี้หากไม่นับรวมฉินอวี้โม่ นักเรียนทั้งชั้นเรียนได้กลายเป็นจอมยุทธ์นภมายากันทั้งหมด

หลังจากบรรลุสู่ขอบเขตมายาบรรพชนแล้ว ฉินอวี้โม่ก็พบความจริงที่ว่าการจะเลื่อนระดับขึ้นไปในแต่ละขั้นดาราเป็นไปได้อย่างยากลำบาก ในครึ่งปีที่ผ่านมานี้นางก้าวหน้าไปเพียงดาราเดียวเท่านั้นทำให้ตอนนี้ฉินอวี้โม่เป็นจอมยุทธ์มายาบรรพชนสองดารา

ตรงกันข้าม ความแข็งแกร่งของเสี่ยวโร่วกลับพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด สตรีผู้อ่อนวัยที่สุดในกลุ่มพัฒนาล้ำหน้าโอวหยางชิงเฟิงและสหายคนอื่น ๆ ไปแล้ว ตอนนี้สาวน้อยกลายเป็นจอมยุทธ์นภมายาแปดดารา ความแข็งแกร่งนางเป็นอันดับสองของชั้นเรียนรองจากฉินอวี้โม่

ฉินอวี้โม่ไม่ได้ประหลาดใจในความก้าวหน้าที่รวดเร็วอย่างผิดธรรมชาติของสาวใช้น้อย หากสมมติฐานของซิวที่ว่าเสี่ยวโร่วมีสายเลือดโบราณไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายเป็นจริง แน่นอนว่าพรสวรรค์ของนางก็ย่อมต้องมหัศจรรย์ผิดมนุษย์อยู่แล้ว

ผิดกับเยว่ชิงเฉิงและสหายคนอื่น พวกนางรู้สึกทึ่งกับความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเสี่ยวโร่วมาก นั่นทำให้นักเรียนทั้งชั้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเสี่ยวโร่วเองก็เป็นสัตว์ประหลาดเช่นเดียวกันกับคุณหนูของนาง

อย่างไรก็ตาม ในบรรดาสหายในชั้นเรียนทั้งหมดก็ไม่ได้มีผู้ใดรู้สึกริษยาในความสำเร็จนี้เลย ยิ่งไปกว่านั้นความก้าวหน้าของเสี่ยวโร่วกลับกลายเป็นแรงผลักดันที่กระตุ้นให้ทุกคนทุ่มเทฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง

เวลาที่ผ่านไปครึ่งปีนี้ โอวหยางชิงเฟิงและฉีอวี้ได้กลายเป็นจอมยุทธ์นภมายาเจ็ดดารา ขณะที่เยว่ชิงเฉิงและหลิงซวงนั้นด้อยกว่า ทว่าสตรีทั้งสองก็ยังเป็นถึงจอมยุทธ์นภมายาหกดาราแล้ว ส่วนลั่วอวิ๋นที่เคยด้อยกว่าสหายในกลุ่มก็ก้าวหน้าขึ้นได้อย่างรวดเร็วและชัดเจน เขาในตอนนี้กลายเป็นจอมยุทธ์นภมายาหกดาราเช่นเดียวกับคุณหนูช่างหลอมและโฉมงามตระกูลหลิง สหายอวี้โม่คนอื่น ๆ ต่างก็ไม่น้อยหน้า  พลังยุทธ์ของพวกเขาพัฒนาไปมากพอสมควร ต้องบอกเลยว่าการเข้ามาฝึกฝนภายในโรงเรียนราชสำนักนั้นทำให้พวกเขาก้าวหน้าได้เร็วกว่าโลกภายนอกอย่างเทียบกันไม่ได้

แต่สิ่งที่น่าตื่นตะลึงที่สุดก็คือฝีมือในด้านการหลอมของฉินอวี้โม่ ในหกเดือนที่ผ่านมา ด้วยการชี้แนะอย่างเอาใจใส่ของอาจารย์จงฮว๋า จากเดิมที่คุณหนูตระกูลฉินเป็นเพียงช่างหลอมระดับขั้นต้นก็ได้กลายเป็นช่างหลอมระดับอาวุโส ตอนนี้นางสามารถหลอมอาวุธระดับสูงและอุปกรณ์ระดับสูงได้บางส่วนแล้วด้วย

ฉินอวี้โม่รู้สึกประหลาดใจและมีความสุขมากกับความสำเร็จนี้ ทว่าคนที่ประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือจงฮว๋า ด้วยพรสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ใจถึงเพียงนี้ของฉินอวี้โม่ ผู้เป็นอาจารย์ช่างหลอมคาดเดาไม่ออกเลยว่าในอนาคตฝีมือของนางจะพัฒนาไปได้ไกลมากเพียงใด

ในครึ่งปีที่ผ่านมา ฉินอวี้โม่ไม่เคยพบหานโม่ฉือเลยสักครั้ง บุรุษน้ำแข็งของนางไม่เคยมาเยือนโรงเรียนราชสำนักอีกเลย ทว่าก็มีอยู่วันหนึ่งที่เขาให้คนนำจดหมายมาฝากให้มู่อวิ๋นเพื่อให้ท่านอธิการส่งมอบให้ฉินอวี้โม่

ที่แท้ก็เป็นเพราะหานโม่ฉือกำลังจะก้าวข้ามขอบเขต ช่วงนี้จึงนับเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของเขาและนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้บุรุษเคยเย็นชาไม่สามารถมาพบสตรีเจ้าของหัวใจได้ เมื่อรู้ว่าหานโม่ฉือใกล้จะทะลวงพลังแล้วฉินอวี้โม่ก็รู้สึกยินดีกับเขาด้วย อย่างไรก็ตาม ภายในหัวใจดวงน้อยยังคงคิดถึงเขาอย่างมากมาย

ทางด้านสถานการณ์ความขัดแย้งกับฝั่งอารามในช่วงครึ่งปีมานี้ถือว่าสงบมาก เพราะจนถึงตอนนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวที่เป็นอันตรายใด ๆ จากฝ่ายศัตรู ไม่มีคนยกทัพมาแก้แค้น และยังไม่พบไส้ศึกที่เข้ามาหาเรื่องนาง ส่วนความขัดแย้งภายในนั้น แม้ว่าสถานการณ์ระหว่างฝ่ายสนับสนุนอวี้โม่กับฝ่ายที่ต้องการให้นางออกจากโรงเรียนจะดุเดือดรุนแรง ทว่าก็ยังไม่มีการปะทะกำลังหรือลงมือลงไม้กันเกิดขึ้น มีเพียงการปะทะกันด้วยวาจาของทั้งสองฝ่ายที่มีให้เห็นให้เห็นอยู่ทุกวันจนกลายเป็นภาพชินตา

ในเรื่องนี้นับว่าน่าประหลาดเป็นอย่างยิ่ง ทางฝ่ายอารามทำราวกับว่าลืมเลือนเรื่องนี้ไปเสียแล้ว เพราะแม้จะผ่านมาถึงครึ่งปีแต่ก็ยังไม่มีผู้ใดตามมาเอาเรื่องฉินอวี้โม่ ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังไม่มีวี่แววที่อารามจะเปิดศึกกับโรงเรียนราชสำนัก ทางอารามไม่ส่งกำลังมาที่นี่อีกเลยเสมือนว่าพวกเขาไม่ต้องการจะมีเรื่องกับคุณหนูตระกูลฉินอีกต่อไป ความสงบเช่นนี้ถือเป็นเรื่องไม่ชอบมาพากลยิ่งนักและพวกเขาทุกคนก็ไม่อาจประมาทได้

ฉินอวี้โม่คิดว่านี่อาจจะเป็นเพียงความสงบเงียบก่อนพายุลูกใหญ่จะมาเท่านั้น อีกไม่นานนางก็คงต้องรับศึกใหญ่หลวง แต่ความน่าประหลาดใจอีกอย่างหนึ่งที่อดีตนักฆ่าสาวนึกสงสัยก็คือความเงียบอย่างไม่ปกติของหลิวหว่านเยียนและหวังรั่วอี สองสตรีที่เคยบาดหมางกับฉินอวี้โม่ในนครไป๋อวิ๋นก่อนหน้านี้ เรื่องนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกคลางแคลงใจอยู่เล็กน้อย

วันนี้เป็นวันหยุดของคุณหนูตระกูลฉิน ระหว่างที่นางกำลังพักผ่อนอยู่ภายในห้อง เยว่ชิงเฉิงก็เดินเข้ามาพร้อมด้วยรอยยิ้ม

“อวี้โม่ เจ้ารู้ข่าวใหญ่หรือยัง ?”

ใบหน้าของคุณหนูช่างหลอมดูเบิกบานยิ่งนัก รอยยิ้มกว้างฉายอยู่เต็มหน้า ดวงตาเป็นประกายสดใสราวกับว่านางได้รับรู้เรื่องบางอย่างที่ทำให้มีความสุขมากเหลือเกิน

“ข่าวอะไร ?”

เมื่อเห็นท่าทีเปี่ยมสุขของสหายสนิท ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“จะมีอะไรเสียอีกนอกจากงานฉลองปีใหม่ ! มีคนเล่าว่าทางโรงเรียนจะมอบวันหยุดให้พวกเราเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มและยังอนุญาตให้พวกเรากลับไปฉลองปีใหม่ที่บ้านได้ด้วย”

เยว่ชิงเฉิงมีความสุขมาก นางอยู่ภายในโรงเรียนราชสำนักมากว่าครึ่งปีแล้ว นางคิดถึงท่านพ่อ ท่านปู่ และคนอื่น ๆ ที่สมาคมช่างหลอมจะแย่อยู่แล้ว

“จริงหรือ ?”

เมื่อได้ยินข่าวจากสหายสาว ฉินอวี้โม่ก็ประหลาดใจ ทว่าคุณหนูสี่ตระกูลฉินก็อดยิ้มกว้างอย่างยินดีไม่ได้ จะว่าไปแล้วตั้งแต่มายังดินแดนมายาแห่งนี้นางก็ยังไม่เคยได้ฉลองปีใหม่มาก่อน การที่โรงเรียนมอบวันหยุดให้จะทำให้นางมีโอกาสได้สัมผัสบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองในวันปีใหม่กับครอบครัวอย่างสนุกสนาน ที่สำคัญเมื่ออยู่ในโลกแห่งนี้ ฉินอวี้โม่ก็จะได้ดื่มด่ำกับอารมณ์ความรู้สึกของการอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาของญาติพี่น้องและร่วมกันเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่อันอบอุ่น

“ใช่ ข่าวนี้รู้กันไปทั่วโรงเรียนแล้ว บางคนถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาเลยด้วยซ้ำ เหมือนว่าทุกคนจะจากบ้านกันมานานแล้วก็คงจะอยากกลับบ้านกันเต็มแก่เลยนั่นแหละนะ ฮิ ๆ ข้าเองก็ด้วย”

เยว่ชิงเฉิงพยักหน้ายิ้ม ๆ ในตอนที่เดินอยู่ข้างนอก ไม่ว่าจะเดินผ่านนักเรียนกลุ่มใดนางก็จะได้ยินแต่บทสนทนาในเรื่องนี้ คุณหนูตระกูลเยว่เข้าใจดีว่าการจากบ้านมานานนั้นรู้สึกอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะเหล่ารุ่นพี่ทั้งหลายที่อยู่ในโรงเรียนมานานกว่าพวกนาง นักเรียนรุ่นใหญ่เหล่านั้นยังไม่เคยได้รับวันหยุดยาวในเทศกาลปีใหม่เหมือนเช่นในปีนี้ แน่นอนว่าพวกเขาคงจะยินดีและมีความสุขมาก

“วิเศษจริง ๆ เช่นนั้นพวกเราก็จะได้กลับไปฉลองวันปีใหม่กับคุณชายใหญ่”

เสี่ยวโร่วที่อยู่ข้าง ๆ ฉินอวี้โม่กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขเช่นกัน

เมื่อได้ยินคำพูดของสาวน้อยข้างกาย ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มล้อเลียนแล้วกล่าว “เสี่ยวโร่ว เจ้าคิดถึงพี่ใหญ่ของข้าอย่างนั้นหรือ ?”

เมื่อสาวใช้น้อยได้ยินคำถามของคุณหนู ใบหน้านวลก็เปลี่ยนเป็นสีแดงดั่งมะเขือเทศสุกปลั่งในทันใด ทว่าเสี่ยวโร่วก็รีบดึงสติกลับมาได้ก่อนจะรีบตีหน้าตายกลบเกลื่อน “คุณหนู ท่านไม่คิดถึงคุณชายใหญ่บ้างเลยหรือ ?”

“แน่นอนว่าข้าต้องคิดถึง แต่ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าก็คิดถึงเหมือนข้า”

ฉินอวี้โม่อดไม่ได้ที่จะยิ้มล้อเลียนสาวน้อยคนสนิทอีกครั้ง นางพอจะรู้ว่าเสี่ยวโร่วคิดอย่างไรกับพี่ชายของนาง ใจนางก็อยากจะให้ทั้งสองได้สานสัมพันธ์กัน เสี่ยวโร่วเป็นเด็กดี ขณะที่พี่ชายของนางก็มีความรู้สึกที่ดีให้ นางมั่นใจว่าคนทั้งสองที่นางรักจะต้องเข้ากันได้ดี

ทว่าคุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินไม่ทราบเลยว่าเมื่อเสี่ยวโร่วและฉินอี้เฟยสร้างสายสัมพันธ์และตัดสินใจกันได้แล้ว พวกเขาทั้งคู่ก็ยังต้องฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่รออยู่ในอนาคต อย่างไรก็ตามนั่นเป็นเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้

แน่นอนว่าในเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเหล่านักเรียนของอาจารย์ซ่างกวนเข้าไปยังชั้นเรียนตามปกติ ท่านอาจารย์ที่ปรึกษาก็แจ้งข่าวเกี่ยวกับวันหยุดให้ทราบ

“สามวันหลังจากนี้ ทางโรงเรียนราชสำนักของเราจะประกาศวันหยุดอย่างเป็นทางการ พวกเจ้าทุกคนจะได้วันหยุดเป็นเวลาหนึ่งเดือน จงใช้วันหยุดนี้เพื่อฉลองปีใหม่กับคนในครอบครัวให้มีความสุขและพักผ่อนกันให้เต็มที่ แต่ทุกคนต้องไม่หยุดฝึกฝนท่าเสริมสมรรถภาพ เข้าใจหรือไม่ ?”

หลังจากอยู่ด้วยกันมานานถึงครึ่งปี ซ่างกวนซวี่และนักเรียนทั้งหลายก็สนิทสนมกันเสมือนสหายต่างวัย ทั้งอาจารย์และนักเรียนมีความสัมพันธ์ที่เรียกได้ว่าแน่นแฟ้นมาก

“พวกเราเข้าใจขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”

นักเรียนทุกคนตะโกนตอบรับคำเสียงสดใส เรื่องฝึกสมรรถภาพไม่ใช่ปัญหาเลย แค่คิดว่าจะได้กลับบ้านทุกคนก็มีความสุขกันมากแล้ว

“หากท่านพ่อของข้าทราบว่าข้าแข็งแกร่งขึ้นถึงเพียงนี้ ท่านคงจะมีความสุขมาก”

ลั่วอวิ๋นกำลังจินตนาการถึงใบหน้าของผู้เป็นบิดาเมื่อได้เห็นถึงการพัฒนาอันน่าตกใจของเขา

ผ่านไปอีกสามวัน ชั้นเรียนสามัญก็งดการเรียนการสอนทั้งหมด ทุกคนต่างก็ยุ่งอยู่กับการบอกลาเหล่าสหาย บรรยากาศภายในโรงเรียนราชสำนักตอนนี้ดูชื่นมื่นมีชีวิตชีวามากกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด

ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเดินไปยังชั้นเรียนข่ายอาคม ในช่วงครึ่งปีมานี้เสี่ยวโร่วคร่ำเคร่งกับการเรียนวิชาข่ายอาคมอย่างจริงจัง ทว่าฉินอวี้โม่กลับทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการเรียนวิชาการหลอม ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบครึ่งปีที่คุณหนูสี่ตระกูลฉินมาเยือนชั้นเรียนข่ายอาคม เมื่อมาถึงพวกนางทั้งสองก็กล่าวทักทายบุรุษชรานัยน์ตาฟ้าอาจารย์ผู้สอนวิชาข่ายอาคมอย่างสุภาพและจนถึงตอนนี้ฉินอวี้โม่ก็ยังไม่ทราบนามแท้จริงของผู้เฒ่าแสนประหลาดผู้นี้เลย

“ข้าต้องขออภัยท่านผู้อาวุโสด้วยที่ในช่วงครึ่งปีมานี้ ข้าไม่ได้มาที่ชั้นเรียนข่ายอาคมเลย ข้าให้สัญญาว่าหลังจากผ่านพ้นช่วงปีใหม่ ข้าจะงดเว้นการเข้าชั้นเรียนช่างหลอมแล้วหาเวลามาชั้นเรียนข่ายอาคมแทน”

ฉินอวี้โม่โค้งคำนับบุรุษชราผู้ลึกลับ ตอนนี้นางไม่จำเป็นต้องไปที่ชั้นเรียนช่างหลอมแล้ว นางตั้งใจจะเปลี่ยนมาเรียนรู้วิชาข่ายอาคมอย่างจริงจังบ้าง

“แม่นางอวี้โม่ ข้าทราบดีว่าในช่วงครึ่งปีมานี้แม่นางยุ่งกับการศึกษาวิชาการหลอม เมื่อเป็นเช่นนั้น ไฉนเลยเฒ่าผู้นี้จะตำหนิเจ้าได้”

ผู้เฒ่าลึกลับยิ้มใจดีให้สาวน้อยตรงหน้า เขาไม่มีเจตนาตำหนินางแม้แต่น้อย

“ตำราเล่มนี้ข้ามอบให้เจ้า ตอนเจ้ากลับไปที่บ้าน หวังว่าเจ้าจะหมั่นศึกษาและทำความเข้าใจ มันจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าอย่างแน่นอน”

อาจารย์ผู้เฒ่าส่งหนังสือเล่มหนึ่งให้ฉินอวี้โม่ เขาทราบดีว่านักเรียนทั้งสองกำลังจะกลับบ้านในช่วงวันหยุด

ฉินอวี้โม่รับมันไว้ด้วยมือทั้งสองข้างแล้วกอดเก็บไว้แนบกาย ไม่จำเป็นต้องเปิดดูเนื้อหาข้างในนางก็รู้ได้ว่าหนังสือเล่นนี้ทรงคุณค่ายิ่งนัก คุณหนูตระกูลฉินผู้ได้รับความเมตตากล่าวขอบคุณอาจารย์ผู้เฒ่าด้วยความนอบน้อม

เสี่ยวโร่วเคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อนแล้ว นางเข้าใจและจดจำเนื้อหาภายในได้แล้วหลายส่วน ต้องบอกเลยว่าพรสวรรค์ของสาวน้อยผู้นี้ไม่ธรรมดา ภายในเวลาเพียงหกเดือนนางก็สามารถวางข่ายอาคมอย่างง่ายได้แล้ว ต้องทราบก่อนว่าถึงจะเรียกขานกันว่าข่ายอาคมอย่างง่ายก็หาใช่จะทำสร้างกันได้โดยง่าย  หากจะให้เปรียบเทียบกับหลาย ๆ ทักษะอาชีพแล้ว ทักษะของผู้ใช้ข่ายอาคมถือเป็นหนึ่งในทักษะอาชีพที่ฝึกฝนได้ยากอย่างยิ่ง

“เสี่ยวโร่ว อย่าลืมสิ่งที่ข้าสอนเจ้าไปล่ะ เมื่อกลับบ้านแล้วก็จงตั้งใจฝึกฝนให้ช่ำชอง เจ้าเข้าใจใช่ไหม ?”

อาจารย์เฒ่าผู้ลึกลับหันไปกล่าวกับเสี่ยวโร่วก่อนที่สาวน้อยจะพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน เมื่อเห็นเช่นนั้นบนใบหน้าชราของผู้เป็นอาจารย์ก็ระบายยิ้มอย่างมีความสุข

“อาจารย์ ท่านจะกลับบ้านในช่วงปีใหม่นี้หรือไม่ ?”

ในช่วงครึ่งปีมานี้ เสี่ยวโร่วและอาจารย์เฒ่าผู้สอนวิชาข่ายอาคมสนิทสนมกันค่อนข้างมาก อาจารย์ผู้เฒ่าเอื้อเอ็นดูเด็กน้อยตาใสผู้ตั้งใจเรียนผู้นี้และมองนางไม่ต่างจากหลานสาวแท้ ๆ คนหนึ่ง เสี่ยวโร่วเองก็รู้สึกเหมือนเขาเป็นญาติผู้ใหญ่ที่นางไม่เคยมี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่สาวใช้น้อยจะนึกห่วงใยเรื่องของอาจารย์ของนาง

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าต้องกลับไปอย่างแน่นอน นานแล้วเหมือนกันที่ข้าไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเลย ข้าไม่รู้ว่าทางนั้นจะเป็นอย่างไรกันบ้าง”

ผู้เฒ่าลึกลับหัวเราะแล้วเอ่ยตอบ ทว่าในระหว่างเอ่ยวาจาดวงตาสูงวัยของเขากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกอันแสนซับซ้อน อย่างไรก็ตามทั้งเสี่ยวโร่วและฉินอวี้โม่ก็ไม่ทันได้สังเกตเห็น

“เอาล่ะ พวกเจ้าก็ไปบอกลาเหล่าสหายซะเถอะ ไว้เจอกันใหม่ปีหน้า”

ผู้เฒ่าลึกลับโบกมือพลางเอ่ยคำลาอย่างรวบรัดซึ่งนั่นก็ทำให้ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วจำต้องก้าวออกไปจากห้องเรียน หลังจากที่นักเรียนตัวน้อยทั้งสองออกไปได้เพียงอึดใจเดียว บุรุษชราลึกลับก็ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง บัดนี้บนใบหน้าของเขาไม่ได้มีรอยยิ้มอีกแล้ว แต่มันกลับเต็มไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย ภายในดวงตาสีฟ้าสดทั้งสองข้างแสดงความรู้สึกที่ซับซ้อนยากเกินจะอธิบาย

ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเดินทางไปยังห้องทำงานของอธิการเพื่อบอกลามู่อวิ๋น

ท่านอธิการพูดคุยกับสองสาวอย่างเป็นกันเองอยู่ไม่กี่ประโยคก่อนจะไล่ให้นักเรียนทั้งสองรีบกลับบ้าน ทว่าบุรุษผมสีประหลาดก็ไม่ลืมที่จะย้ำเตือนให้ฉินอวี้โม่ระวังคนจากอารามเอาไว้

หลังจากบอกลามู่อวิ๋นแล้ว สาวใช้น้อยก็กลับไปยังห้องพักเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บข้าวของเตรียมตัวเดินทางกลับตระกูลฉิน ขณะที่ผู้เป็นคุณหนูเข้าไปในหอคอยวิญญาณก่อนจะตรงไปยังชั้นที่หก

“วันปีใหม่ ? มันคืออะไรหรือ ?”

เมื่อได้ยินว่าฉินอวี้โม่จะกลับบ้านในช่วงปีใหม่ ไป๋ฉี่ก็ถามออกมาด้วยความสงสัย ใบหน้ากลมมนของเขาฉายแววใคร่รู้อย่างยิ่งยวด

ในช่วงหกเดือนมานี้ฉินอวี้โม่ขึ้นมาที่ชั้นหกของหอคอยวิญญาณและได้พบไป๋ฉี่อยู่หนึ่งถึงสองครั้ง แม้จะเคยพบกันแค่ไม่กี่ครั้งทว่าทั้งสองก็กลายเป็นสหายที่นับว่าสนิทกันมากแล้ว

“นี่เจ้าไม่รู้จักวันปีใหม่อย่างนั้นหรือ ?”

เมื่อได้ยินคำถามของไป๋ฉี่ ฉินอวี้โม่ก็ชะงักไป นางอดสงสัยไม่ได้ ในดินแดนมายาแห่งนี้มีคนที่ไม่รู้จักวันปีใหม่อยู่จริง ๆ หรือ ?

ไป๋ฉี่ส่ายศีรษะ เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าวันปีใหม่คืออะไร

ด้วยคำยืนยันจากปากที่เอ่ยออกมาภายใต้แววตาอันใสซื่อนั้นทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกสงสัยในตัวตนของคนร่างกะปุ๊กลุกผู้นี้มากยิ่งขึ้น ที่ผ่านมาอดีตนักฆ่าสาวสงสัยในตัวตนของไป๋ฉี่มาโดยตลอด เขาอยู่ในโรงเรียนแต่นางกลับไม่เคยได้ยินชื่อ ไม่เคยมีใครกล่าวถึงคนผู้นี้ ฝีมือของเขาสูงพอจะขึ้นมาถึงชั้นหกแต่กลับไม่มีรายชื่ออยู่บนทำเนียบใด ๆ มาจนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้จักวันปีใหม่อีก …หรือว่าไป๋ฉี่ผู้นี้จะไม่เคยออกไปจากหอคอยแห่งนี้เลย ?

“ไป๋ฉี่ นี่เจ้าเติบโตอยู่ในหอคอยวิญญาณนี่อย่างนั้นหรือ ?”

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็ถามออกไปด้วยความอยากรู้ นางเคยได้ยินมาบ้างว่ามีวิญญาณบางตนที่สามารถบำเพ็ญบารมีบ่มเพาะพลังอำนาจจนมีกายเนื้อเช่นเดียวกับมนุษย์ได้ถ้าหากมีพลังที่มากเพียงพอ …นี่หรือว่าไป๋ฉี่ผู้นี้แท้จริงแล้วจะไม่ใช่มนุษย์ เขาอาจจะเป็นเพียงวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ภายในหอคอยวิญญาณแห่งนี้ ?

“ใช่ !”

ไป๋ฉี่พยักหน้าและเอ่ยตอบออกไปเสียงใสแจ๋ว ทว่าหลังจากทำเช่นนั้นบุรุษตัวอ้วนกลมก็รีบเอามือสองข้างปิดปากเอาไว้ราวกับว่าเขาได้กล่าวสิ่งที่ผิดไป แววตาทั้งคู่ดูคล้ายมีแววแตกตื่นน้อย ๆ ปรากฏให้เห็น

“อวี้โม่ ข้าไปก่อนละ เมื่อเจ้ากลับมาจากวันหยุดวันปีใหม่อะไรนั่นแล้ว เจ้าก็กลับมาเล่าให้ข้าฟังบ้างล่ะว่าวันปีใหม่ที่เจ้าว่ามันเป็นยังไง”

กล่าวจบร่างของไป๋ฉี่ก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาฉินอวี้โม่

ฉินอวี้โม่ชะงักค้างไปชั่วขณะ เหตุใดเมื่อกล่าวคำว่า ‘ใช่’ ออกมาแล้วเขาต้องรีบหนีไปด้วยล่ะ ไป๋ฉี่ผู้นี้มีความลับอะไรอยู่กันแน่ ?

หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักก็ยังไม่อาจเข้าใจสิ่งใดเพิ่มเติมขึ้นมาได้ ฉินอวี้โม่จึงลุกขึ้นแล้วเดินกลับลงไปยังชั้นสามเพื่อบอกลาผู้อาวุโสหลิว

และด้วยความคลางแคลงใจในเรื่องของสหายตัวกลมแห่งชั้นที่หก หลังจากการกล่าวคำอำลาสั้น ๆ กับบุรุษอาวุโสผู้เฝ้าประตูเสร็จสิ้น ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยปาก

“ท่านผู้อาวุโสหลิว ข้าขอถามอะไรท่านสักข้อได้หรือไม่ ?”

ฉินอวี้โม่มองหลิวชางหลัว อย่างไรก็ตามนางลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนจะเอ่ยคำถามนี้ขึ้น

“เจ้าอยากจะรู้เรื่องไป๋ฉี่ใช่ไหม ?”

ผู้อาวุโสหลิวยิ้มมีเลศนัยราวกับเขาอ่านใจสาวน้อยตรงหน้าออก