ตอนที่ 123 จู่โจมตระกูลฉิน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“ผู้อาวุโสหลิว ไป๋ฉี่ใช่มนุษย์หรือไม่ ? แล้วเขาออกไปจากที่นี่ไม่ได้หรือ ?”

ฉินอวี้โม่ถามผู้อาวุโสหลิวออกไปตรง ๆ อย่างอดใจไม่อยู่ นางเชื่อว่าการคาดเดาของนางไม่ผิดพลาด ไป๋ฉี่ผู้นั้นต้องไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน

“ฮ่า ๆ ไว้เจ้ากลับมาที่โรงเรียนอีกครั้งข้าจะบอกก็แล้วกัน ตอนนี้ข้ายังตอบเจ้าไม่ได้หรอก”

ผู้อาวุโสหลิวหัวเราะ เขาไม่ได้ตอบคำถามของฉินอวี้โม่

“ก็ได้ ข้าเข้าใจแล้ว”

เมื่อได้ฟังคำตอบนั้นคุณหนูตระกูลฉินก็พยักหน้าโดยไม่ถามซักไซ้สิ่งใดต่อ ก่อนจะขอตัวลาจากผู้อาวุโสหลิว

“ท่านอธิการ เราควรจะปกปิดสาวน้อยผู้มีสัมผัสว่องไวผู้นี้ต่อไปดีหรือไม่ ?”

หลังจากที่ฉินอวี้โม่ออกจากหอคอยวิญญาณไม่นานนัก หลิวชางหลัวก็ออกมาเช่นกัน บุรุษอาวุโสตรงไปยังห้องทำงานของอธิการโรงเรียนแล้วบอกเล่าเรื่องที่ฉินอวี้โม่ถามให้ท่านอธิการได้รับทราบ เขาอยากจะรู้เหลือเกินว่าอธิการมู่อวิ๋นจะมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร

“บอกความจริงกับนางตอนนางกลับมาที่โรงเรียน ข้าเชื่อว่านางน่าจะพอคาดเดาบางสิ่งได้แล้ว ยิ่งกว่านั้นสาวน้อยผู้นี้ไม่ธรรมดา บางทีนางอาจจะช่วยพวกเราได้”

มู่อวิ๋นยิ้ม เขาเองก็เห็นด้วยว่าควรจะบอกฉินอวี้โม่เกี่ยวกับเรื่องของไป๋ฉี่

หลังจากการบอกลาเหล่าอาจารย์เสร็จสิ้น ฉินอวี้โม่และนักเรียนใหม่แห่งชั้นเรียนอาจารย์ซ่างกวนทั้งหลายก็มารวมตัวกันในห้องเรียนอีกครั้งเพื่อเอ่ยคำล่ำลาต่อกัน ปีนี้เป็นปีที่พวกเขามีความสุขมาก ไม่เพียงได้เข้ามาเป็นนักเรียนของโรงเรียนราชสำนักเท่านั้น ทว่าพวกเขายังได้อยู่ในชั้นเรียนที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกด้วย

“พวกเจ้ากลับไปอยู่บ้านก็อย่าลืมฝึกฝนด้วยล่ะ อย่าขี้เกียจยืดยาดรอจนโรงเรียนเปิดอีกครั้งนะ ไม่งั้นอวี้โม่คงได้ทิ้งพวกเราไปไกลแน่ !”

เยว่ชิงเฉิงประกาศกับสหายร่วมชั้นด้วยรอยยิ้มกว้าง

ซึ่งสหายทุกคนก็พยักหน้ารับอย่างเริงร่า

ในวันรุ่งขึ้นถือเป็นวันหยุดอย่างเป็นทางการของโรงเรียนราชสำนัก เนื่องจากตั้งแต่พรุ่งนี้ไม่มีการเรียนการสอนใด ๆ แล้ว ดังนั้นนักเรียนโรงเรียนราชสำนักส่วนใหญ่จึงเลือกเดินทางกลับกันตั้งแต่วันนี้

ฉินอวี้โม่และสหายที่อยู่ในเมืองไป๋อวิ๋นพร้อมด้วยฉินอี้เฉียงและฉินอี้เพ่ย ทุกคนเดินทางกลับไปยังนครไป๋อวิ๋นพร้อมกัน

“พี่อวี้โม่ ช่วงเทศกาลท่านอย่าลืมมาทานมื้อค่ำที่วังพร้อมกับข้านะ”

องค์หญิงฉีฉีกล่าวกับฉินอวี้โม่ด้วยแววตาคาดหวัง องค์หญิงน้อยต้องการจะย้ำเตือนเพื่อให้มั่นใจว่าพี่สาวที่นางชอบมากจะไม่ลืมนัดรับประทานอาหารค่ำกับนางในวังหลวง

“ไม่ต้องห่วง ข้าต้องไปแน่”

ฉินอวี้โม่พยักหน้า คุณหนูตระกูลฉินให้คำมั่นกับสหายน้อยผู้สูงศักดิ์ ก่อนที่องค์หญิงฉีฉี องค์ชายฉีอวี้ หลิงเฟิง และหลิงซวงจะเดินทางกลับไปยังพระราชวังที่เป็นที่พัก

หลังจากบอกลากันที่หน้าประตูเมือง คุณหนูคุณชายตระกูลต่าง ๆ ผู้เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มสหายอวี้โม่ก็แยกย้ายกันกลับไปยังจวนของตนเอง

นอกจากทางตระกูลฉินไม่ทราบมาก่อนว่าคนรุ่นเยาว์ทั้งสี่ที่กำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนราชสำนักจะกลับมาบ้านในวันนี้ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดมายืนรอต้อนรับพวกเขาที่นอกจวน

อย่างไรก็ตาม สามพี่น้องและเสี่ยวโร่วน้อยก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ พวกเขาผลักประตูเข้าไปด้านในเหมือนเมื่อครั้งยังอยู่จวนตามปกติ

เมื่อพ่อบ้านของตระกูลเห็นคุณชายอี้เฉียง คุณหนูอีกสองคน และสาวน้อยเสี่ยวโร่วเข้ามาในจวน เขาก็ตกใจไม่น้อย แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความยินดีอย่างยิ่ง บุรุษพ่อบ้านส่งรอยยิ้มให้ทั้งสี่คนอย่างชื่นมื่นก่อนจะกุลีกุจอวิ่งเข้ามาต้อนรับ

“คุณชายรอง คุณหนูสาม คุณหนูสี่ พวกท่านกลับมาได้อย่างไรหรือขอรับ ?”

พ่อบ้านกล่าวถามออกไปด้วยความประหลาดใจเพราะไม่มีผู้ใดมาแจ้งเรื่องนี้กับเขาเลย เขารีบส่งคนไปแจ้งข่าวกับนายท่านฉินเฟินผู้นำตระกูล ขณะที่ตัวเขาอยู่ต้อนรับคุณหนูคุณชายทั้งสาม

“พ่อบ้านฝูจะอะไรซะอีก ก็ทางโรงเรียนมอบวันหยุดปีใหม่ให้พวกเราหนึ่งเดือนน่ะสิ พวกเราถึงกลับกันมาได้”

ฉินอี้เพ่ยยิ้มอย่างมีความสุข นางไม่ได้กลับมาที่บ้านเกือบจะสองปีแล้ว

“วิเศษจริง ๆ นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดี เทศกาลปีใหม่ของปีนี้ทายาทสายหลักจะได้อยู่กันพร้อมหน้าเสียที”

พ่อบ้านผู้นี้มีนามเรียกขานว่าฝู เขาคือผู้ที่คอยดูแลรับใช้ตระกูลฉินอย่างซื่อสัตย์มานานหลายปี กล่าวได้ว่าคุณชายรองและคุณหนูสามเติบโตมาภายใต้การดูแลของเขาคนนี้ทำให้คนรุ่นเยาว์ทั้งสองมีความผูกพันกับพ่อบ้านฝูผู้นี้มาก

“ฮ่า ๆ ๆ เสี่ยวโม่เอ๋อร์ของข้ากลับมาแล้ว !”

เมื่อได้ทราบข่าวผู้เฒ่าฉินเฟินก็รีบออกมาจากเรือนส่วนตัวเพื่อต้อนรับหลานชายหญิงด้วยตนเองในทันที แน่นอนว่าผู้ที่เขาคิดถึงมากที่สุดก็คือหลานสาวคนสุดท้องที่เพิ่งจะได้คืนมาสู่อ้อมกอดได้ไม่นาน

“ท่านปู่ พอเสี่ยวโม่เอ๋อร์มาอยู่ที่นี่ท่านก็ลืมพวกเราเลยนะ”

หลังจากได้ยินคำทักทายแรกของผู้เป็นปู่ ฉินอี้เพ่ยก็เอ่ยวาจาตัดพ้อพร้อมกับทำท่าทางกระเง้ากระงอดแสนงอน ทว่าทั้งน้ำเสียงและแววตาของนางกลับยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข

“ฮ่า ๆ ๆ เสี่ยวเพ่ยเอ๋อร์อิจฉาน้องหรือเนี่ย ?!”

เมื่อได้เห็นกิริยาคล้ายต้องการจะออดอ้อนของหลานสาวคนโต ฉินเฟินก็อดหัวเราะไม่ได้ วันนี้เขามีความสุขมากจริง ๆ

ฉินหยางเองก็มาถึงบริเวณด้านหน้าจวนแล้ว เมื่อได้เห็นใบหน้าของบุตรชายและบุตรสาวที่ไม่ได้เจอกันนานหลายปี ผู้เป็นบิดาก็ดูมีความสุขอย่างเหลือล้น

“พี่ใหญ่ไม่ได้อยู่ที่จวนหรือเจ้าคะ ?”

เพราะไม่เห็นฉินอี้เฟยปรากฏตัว ฉินอวี้โม่ก็คาดเดาว่าเขาอาจจะอยู่ข้างนอก อย่างไรก็ตาม เพราะไม่ได้เจอพี่ใหญ่มานานเกินกว่าครึ่งปีแล้วคุณหนูสี่จึงรู้สึกคิดถึงและอยากพบหน้า ที่สำคัญในสถานการณ์ที่ศัตรูพร้อมจะจู่โจมตลอดเวลาเช่นนี้ เมื่อกลับมาแล้วไม่พบพี่ชาย ฉินอวี้โม่จึงอดเป็นห่วงไม่ได้

“พี่ชายเจ้าออกไปที่สมาคมโอสถตั้งแต่เช้า ข้าว่าอีกเดี๋ยวเขาก็คงกลับมาแล้วล่ะ”

ผู้เฒ่าฉินเฟินเอ่ยอธิบายเพื่อให้หลานสาวคลายความกังวล

ฉินอวี้โม่พยักหน้าพร้อมกับยิ้มรับหวานหยด ก่อนที่สมาชิกตระกูลฉินทั้งหลายจะเดินเข้าไปนั่งพักและสนทนากันในห้องรับรองของเรือนหลัก

“ไปอยู่โรงเรียนกันมานานเช่นนี้ ไหนลองรายงานข้ามาซิว่าพัฒนาการของพวกเจ้าเป็นอย่างไรแล้วบ้าง หากว่าพวกเจ้าไม่ก้าวหน้าเลยจะต้องถูกข้าลงโทษ”

แม้ว่าจะทำทีคล้ายเป็นผู้อาวุโสแสนเข้มงวดที่เตรียมจะลงโทษผู้เยาว์ในตระกูลที่ไร้วินัย ทว่าทั้งน้ำเสียงและท่าทางรวมไปถึงใบหน้าอันยิ้มแย้มแจ่มใสของผู้นำตระกูลฉินกลับเป็นไปในทางตรงข้าม ตอนนี้ผู้เฒ่าฉินเฟินดูอารมณ์ดียิ่งนัก

ฉินอี้เฉียง ฉินอี้เพ่ย ฉินอวี้โม่ และเสี่ยวโร่วต่างรายงานระดับความแข็งแกร่งของตัวเองกันทีละคน

เมื่อทราบว่าฉินอี้เฉียงบรรลุขอบเขตมายาบรรพชนแล้ว ฉินเฟินก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจและเป็นสุข ขณะที่ใบหน้าและแววตาของฉินหยางฉายแววแห่งความภาคภูมิใจอย่างเปี่ยมล้น คนหนุ่มตรงหน้าคือบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของเขา

เมื่อได้ยินว่าฉินอวี้โม่เองก็บรรลุขอบเขตมายาบรรพชนแล้ว ทั้งฉินเฟินและฉินหยางต่างก็ตกตะลึง ทว่าคนอาวุโสทั้งสองก็มีความสุขกันมากยิ่งขึ้น พวกเขาทึ่งในพรสวรรค์อันน่าตกใจของสาวน้อยผู้นี้ พวกเขายังจำได้อยู่เลยว่าก่อนจะเข้าโรงเรียนนางยังเป็นเพียงจอมยุทธ์นภมายาเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าใช้เวลาเพียงครึ่งปีหลานสาวคนนี้ก็สามารถการก้าวเข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชนสองดาราได้แล้ว นี่นับว่าเป็นพรสวรรค์อันน่าตกใจและยากจะหาได้โดยแท้

และเมื่อทราบว่าฉินอี้เพ่ยกำลังใกล้จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชนเช่นกัน ฉินเฟินและฉินหยางต่างก็แย้มยิ้มอย่างมีความสุข พวกเขารู้ดีว่าพรสวรรค์ของคุณหนูสามไม่ได้สูงส่งเท่าคุณหนูสี่ แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคุณชายรองอย่างแน่นอน ผู้อาวุโสทั้งสองคิดว่าภายในหนึ่งเดือนที่ฝึกฝนอยู่ภายในจวน นางอาจจะสามารถก้าวข้ามไปสู่ขอบเขตมายาบรรพชนได้ ซึ่งแน่นอนว่านี่ก็ทำให้ทุกคนมีความสุขมากไม่แพ้กัน

แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือเสี่ยวโร่ว

ภายในเวลาไม่กี่เดือนนางกลายเป็นจอมยุทธ์นภมายาแปดดาราแล้ว จากก่อนหน้านี้เมื่อตอนก่อนเข้าโรงเรียนสาวน้อยเพิ่งจะเข้าสู่ขอบเขตนภมายาเท่านั้น แล้วเช่นนี้จะไม่ให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจได้อย่างไร

ในสายตาของทุกคนตอนนี้ไม่เว้นแม้แต่คุณหนูสามและคุณชายรอง เสี่ยวโร่วน้อยถือว่ามีพรสวรรค์ที่น่าตกใจมากที่สุด

“พวกเจ้าทุกคนทำได้ดีมาก เอาล่ะ ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว พวกเจ้าก็ไปพักผ่อนเอาแรงกันก่อนเถอะ มื้อเย็นพวกเราจะได้ร่วมโต๊ะอาหารกันอย่างพร้อมหน้า”

ฉินเฟินเอ่ยปากชมก่อนจะบอกให้หนุ่มสาวทั้งสี่กลับไปพัก

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พยักหน้าแล้วแยกย้ายกันเดินกลับไปยังเรือนพักของตนเองอย่างว่าง่าย

ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วไม่ได้รู้สึกอ่อนเพลียหรือง่วงนอนเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อกลับถึงเรือนแล้ว หนึ่งคุณหนูหนึ่งสาวใช้จึงก็ยังคงนั่งจับเข่าสนทนากันอยู่

“คุณหนู ท่านรู้สึกหรือไม่ว่าจวนตระกูลฉินดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดแปลกไป ?”

เสี่ยวโร่วตั้งคำถามกับฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัย นางคล้ายจะรู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับตระกูลฉิน

ฉินอวี้โม่พยักหน้า อดีตนักฆ่าสาวรู้ตัวตั้งแต่ต้นแล้วว่ามีบางสิ่งไม่ปกติเกิดขึ้นที่นี่ เพียงแต่นางไม่ได้กล่าวออกมาเท่านั้น

เมื่อแรกที่เหยียบย่างเข้ามาในจวนตระกูลฉินครั้งนี้ คุณหนูสี่รู้สึกว่าบรรยากาศภายในตระกูลฉินดูขาดชีวิตชีวาไม่สดใสและอบอุ่นเหมือนกับก่อนหน้านี้ ยิ่งกว่านั้นเมื่อมีใครคนใดคนหนึ่งในตระกูลมองเห็นฉินอวี้โม่ใน แววตาของพวกเขากลับปรากฏร่องรอยความหมองหม่นแปลกประหลาด มันไม่ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นทุกครั้งอีกแล้ว คุณหนูคนสุดท้องของตระกูลสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันซับซ้อนในแววตาเหล่านั้น หากไม่นับ ฉินเฟิน ฉินหยางและพ่อบ้านฝูที่ดูมีความสุขอย่างแท้จริงแล้ว คนอื่น ๆ ล้วนดูคล้ายกับกำลังแสร้งยิ้มอย่างจำใจ

“รอให้ท่านพี่กลับมาแล้วข้าจะถามเขา”

ฉินอวี้โม่ยิ้ม นางกำลังรอให้ฉินอี้เฟยกลับมาเพื่อจะไถ่ถามเอาความจริงของเรื่องนี้กับเขา นางมั่นใจว่าพี่ใหญ่ของตนจะต้องรู้อะไรบางอย่างแน่

เสี่ยวโร่วพยักหน้าเห็นด้วยก่อนที่จะนั่งรอฉินอี้เฟยกลับมาพร้อมกับฉินอวี้โม่

สตรีทั้งสองนั่งรออยู่ไม่นานเท่าไหร่นักบุรุษที่ทั้งคู่คะนึงหาก็มาถึง เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งก้านธูป ร่างสูงใหญ่และใบหน้ายิ้มแย้มของฉินอี้เฟยก็ปรากฏตัวขึ้นในเรือนพักของน้องสาว

ไม่ต้องเดามากมาย ฉินอวี้โม่ก็พอจะทราบว่าฉินอี้เฟยคงจะได้พบกับเทพธิดาโอสถเหย่าเซียนเอ๋อร์ที่กลับจากโรงเรียนราชสำนักเช่นเดียวกับนาง เขาจึงทราบว่าทางโรงเรียนประกาศวันหยุดและรู้ว่าน้องสาวของเขาและเสี่ยวโร่วก็น่าจะกลับมาที่จวนแล้ว คุณชายใหญ่ตระกูลฉินจึงรีบกลับมาที่ตระกูลอย่างรวดเร็วเช่นนี้

“คุณชายมาแล้วหรือเจ้าคะ”

เมื่อเสี่ยวโร่วเห็นฉินอี้เฟยนางก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มกว้างและเอ่ยทักทาย

“อ่า เสี่ยวโร่วดูเหมือนเจ้าจะโตขึ้นนิดนึงนะ”

ฉินอี้เฟยมองสาวน้อยเสี่ยวโร่วอย่างนึกเอ็นดูพลางลูบหัวของนาง

เมื่อสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนของบุรุษผู้แสนดีกับนางมาตั้งแต่เล็ก ๆ เสี่ยวโร่วก็หน้าแดงระเรื่อ

“ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะ พี่ใหญ่”

เมื่อเห็นการกระทำอันเป็นธรรมชาติไม่เก้อเขินของพี่ชายรวมทั้งแก้มแดงสุกราวผลอิงเถาของเสี่ยวโร่ว   ฉินอวี้โม่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ก่อนนางจะเอ่ยทักทายผู้เป็นพี่ชาย

“ยินดีต้อนรับกลับมาเสี่ยวโม่เอ๋อร์ ตอนที่ข้าได้ยินว่าเจ้ากับเสี่ยวโร่วกลับมาแล้ว ข้าก็รีบออกมาจากสมาคมโอสถทันที เอ่อ ที่โรงเรียนไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม ?”

ฉินอี้เฟยพยักหน้าพลางเดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่ เขาสวมกอดน้องสาวแล้วกล่าวถาม

“ก็ไม่มีอะไรพิเศษ ที่โรงเรียนการเรียนของพวกเราราบรื่นดี แต่พอกลับถึงบ้านข้ากลับรู้สึกว่าบรรยากาศมันแปลก ๆ พี่ใหญ่ ในช่วงที่พวกข้าไม่อยู่มีอะไรเกิดขึ้นที่ตระกูลอย่างนั้นหรือ ?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยถามออกไปตรง ๆ ขณะที่เสี่ยวโร่วกำลังรินน้ำชาให้กับคุณชายใหญ่

“หึ ๆ เสี่ยวโม่เอ๋อร์ความรู้สึกไวไม่เปลี่ยนเลยนะ”

ฉินอี้เฟยไม่คิดจะปกปิดเรื่องนี้กับน้องสาว หลังจากจิบน้ำชา เขาก็เอ่ยเล่าด้วยเสียงสบาย ๆ “ก่อนหน้านี้ไม่นาน ตระกูลฉินของเราถูกคนกลุ่มหนึ่งบุกโจมตี แม้ว่าพวกเราจะไล่คนพวกนั้นไปได้แต่ในตระกูลก็ได้รับความเสียหายไม่น้อย”

“ถูกโจมตี ?”

ฉินอวี้โม่ชะงักไป นางอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืน คิ้วเรียวขมวดเป็นปมแน่น ดวงตาเนื้อทรายดูเย็นชาขึ้นหลายส่วน “เป็นคนจากอารามใช่หรือไม่ ?”

ฉินอี้เฟยพยักหน้าตอบโดยไม่ได้เอ่ยปาก แต่นั่นก็ยืนยันข้อสงสัยของฉินอวี้โม่ได้อย่างสมบูรณ์

“สารเลว คนจากอารามจะต่ำช้าเกินไปแล้ว !”

สีหน้าของฉินอวี้โม่เปลี่ยนไปทันที บัดนี้ความน่ากลัวบางอย่างปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามนั้น และไม่ว่าผู้ใดหากได้มองก็คงต้องรู้สึกเหน็บหนาวจนสั่นสะท้าน

พวกอารามนั่นต่ำช้าโดยแท้ ปากบอกว่าตนเองยิ่งใหญ่ อวดอ้างว่าสูงส่งเหนือผู้ใดแต่จิตใจกลับคิดสกปรกเล่นไม่ซื่อ เมื่อเล่นงานนางไม่ได้ก็หันไปเล่นงานตระกูลของนางแทน ที่สำคัญเป็นช่วงที่นางอยู่ในโรงเรียนจึงไม่อาจช่วยอะไรพวกเขาได้เลย ขุมกำลังหมาลอบกัดเช่นนั้นไม่ควรจะถูกปล่อยไว้ในโลกนี้ !

“ใจเย็นก่อนเสี่ยวโม่เอ๋อร์ แล้วก็อย่าห่วงกังวลมากนักเลย มีคนบุกมาโจมตีตระกูลฉินหลายครั้งก็จริงแต่เราก็ไล่กลับไปได้ทุกครั้ง หลัง ๆ เมื่อรู้ว่าสู้ไม่ได้ คนพวกนั้นก็ไม่ค่อยบุกมาแล้วจนตอนนี้ก็ไม่มีอีกเลย แล้วข้าก็เชื่อว่าพวกมันคงจะไม่กล้ามาแล้วล่ะ”

หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งฉินอี้เฟยก็กล่าวต่อ “ยิ่งกว่านั้น หานโม่ฉือได้ส่งคนมาช่วยเราอย่างลับ ๆ มิฉะนั้นฝ่ายเราอาจจะมีจะบาดเจ็บสาหัสหรือถึงกับล้มตายไปเลยก็ได้”

เมื่อได้ยินประโยชน์หลังของฉินอี้เฟย หัวใจของฉินอวี้โม่ก็อบอุ่นขึ้นมาทันที

ตอนที่พบหานโม่ฉือครั้งสุดท้าย บุรุษน้ำแข็งได้ให้สัญญากับนางไว้ว่าเขาจะช่วยดูแลตระกูลฉินแทนนาง และเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของฉินอี้เฟย คุณหนูสี่ตระกูลฉินก็รู้ว่าหานโม่ฉือทำตามคำมั่นนั้นจริง ๆ ในตอนนั้นเองที่ฉินอวี้โม่รู้สึกคิดถึงบุรุษเย็นชาที่ไม่เคยเย็นชากับนางอีกเลยขึ้นมาจับหัวใจ

“ว่าแต่ เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เหตุใดเรื่องใหญ่ขนาดนี้เจ้าถึงไม่บอกข้าให้รู้บ้างเลย ?”

ฉินอี้เฟยจ้องมองน้องสาวของตนเขม็งและเอ่ยถามอย่างจริงจัง ในดวงตาคู่นั้นมีแววไม่พอใจปนห่วงใยเจืออยู่หลายส่วน

หากอารามไม่บุกโจมตีตระกูลฉิน พวกเขาก็คงไม่ทราบเลยว่าสาวน้อยรุ่นเยาว์คนสุดท้องของตระกูลมีความขัดแย้งที่ไม่ธรรมดากับขุมกำลังน่ากลัวอย่างอาราม แม้แต่เขาผู้เป็นพี่ชายแท้ ๆ ก็ยังไม่รู้เลยสักนิดว่าน้องสาวกำลังตกอยู่ในอันตรายมากมายถึงเพียงนี้

“พี่ใหญ่ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าสามารถแก้ปัญหาเองได้ ถ้าข้าบอกท่านหรือท่านปู่ ข้ากลัวพวกท่านจะเป็นห่วง”

เวลานี้ ฉินอวี้โม่ไม่ต่างจากเด็กที่เพิ่งทำความผิดแล้วถูกจับได้ ตอนนี้นางก้มหน้าลงต่ำไม่กล้าสบตาพี่ชายพลางเอ่ยวาจาเสียงเบา ในน้ำเสียงหวานเต็มไปด้วยความกังวลใจ

“ถ้าเจ้าเป็นห่วงพวกเราจริงก็ควรจะบอกความจริงให้เรารู้แต่เนิ่น ๆ พวกเราจะได้เตรียมพร้อมกันไว้ได้ แล้วถ้าถึงเวลาที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือเราก็จะได้สนับสนุนได้ทัน”

ครั้งนี้ฉินอี้เฟยรู้สึกโกรธเคืองอย่างแท้จริง ทว่าความรู้สึกห่วงใยสาวน้อยตรงหน้านี้กลับมีมากกว่า

ผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ต่างก็ทราบกันดีว่าอารามไม่ใช่ขุมกำลังธรรมดา และการที่พวกเขาบุกมาโจมตีตระกูลฉินในครั้งนั้นก็ทำให้ฉินอี้เฟยได้ประจักษ์ถึงพลังอำนาจและความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย

ฉินอวี้โม่มีส่วนในการตายของผู้อาวุโสสองแห่งอารามและได้กลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทางอารามหมายหัวเอาไว้ว่าต้องสังหาร แต่นางกลับไม่แจ้งแก่ทางตระกูลให้ได้ทราบ แม้แต่ชนวนเหตุต้นตอในตอนที่เรื่องราวนี้เริ่มต้นนางก็ไม่ได้เอ่ยปากบอกพวกเขาสักคำ ฉินอี้เฟยรู้ดีว่านางสาวของตนแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งเสียจนนางเชื่อมั่นในพลังของตนเองว่าจะสามารถรับมือเองได้ ถึงแม้คนในตระกูลจะไม่รับรู้หรือให้ความช่วยเหลือก็ตามซึ่งก็ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เองที่ทำให้เขาไม่ชอบใจ

อันที่จริงหากเขาแข็งแกร่งมากพอ ฉินอี้เฟยเชื่อว่าทางอารามก็คงจะไม่กล้ารังแกน้องสาวของเขา และถ้าเขามีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่พอ ฉินอวี้โม่ก็คงจะยอมบอกเรื่องนี้กับเขา นางคงจะยอมพึ่งพาเขาให้ช่วยรับมือหรือแก้ไขปัญหานี้ให้ เรื่องนี้คุณชายใหญ่ตระกูลฉินได้แต่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเขาเอง

“พี่ใหญ่ท่านเชื่อข้าเถอะ เรื่องนี้ข้าจะแก้ปัญหาเอง”

ฉินอวี้โม่กุมมือฉินอี้เฟยแน่นพร้อมกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

ในตอนนี้หัวใจของฉินอวี้โม่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและโกรธแค้น การกระทำเช่นนี้เสมือนแตะเกล็ดย้อนของมังกร อารามกล้าเล่นงานญาติพี่น้อง สหาย และครอบครัวของนาง  คนชั่วช้าเหล่านั้นบังอาจทำให้นางต้องแค้นเคือง

อดีตนักฆ่าสาวมุ่งหมายใจไว้แล้วว่านางจะทำให้อารามต้องชดใช้ในเรื่องนี้อย่างสาสม !