ตอนที่ 180 ยิ้มให้กับทุกสิ่ง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 180 ยิ้มให้กับทุกสิ่ง

 

 

ต่งชูหลานและท่านลุงรองนามว่าต่งเสียงฟางนั่งอยู่ศาลาเซียงหมิงซวน ใบหน้าอันผอมเพรียวเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ในมือถือถ้วยน้ำชาอยู่แต่ก็เย็นชืดเสียแล้ว

 

 

ต่งซิวหวย บุตรชายคนรองของเขามองไปยังท่านพ่อ จากนั้นเมื่อคิดว่าเมื่อเช้ามีคนจากที่บ้านท่านอามาบอกว่าพี่ชูหลานจะเดินทางมาหา ท่านพ่อของเขาก็มีสีหน้าเป็นกังวล เกรงว่าจะมีเรื่องใดที่ทำให้กังวลใจ

 

 

เมื่อไตร่ตรองดูก็พบว่าคงเป็นเรื่องคู่หมั้นของนางเป็นแน่

 

 

ทุกคนล้วนคิดว่าต่งชูหลานจะแต่งงานกับเยี่ยนซีเหวิน แต่คิดมิถึงว่าภายในระยะเวลาสั้น ๆ นี้สถานการณ์จะพลิกผันไป บุตรพ่อค้าที่ดินจากเมืองหลินเจียงมิรู้ว่าใช้วิธีการใดจึงได้เอาชนะเยี่ยนซีเหวิน และบัดนี้ตระกูลเยี่ยนก็มิได้มีท่าทีใด ๆ แม้แต่น้อย !

 

 

เรื่องนี้ช่างประหลาดนัก ตระกูลเยี่ยนแห่งเมืองหลวงนี้มั่นคงดุจขุนเขา ในสายตาของตระกูลเยี่ยนนั้น เมืองหลินเจียงเทียบมิได้แม้แต่น้อย เมื่อก่อนเขาเคยร่วมรับประทานอาหารกับเยี่ยนซีเหวิน ต่งซิวหวยรู้ดีว่าเยี่ยนซีเหวินคิดเยี่ยงไรกับพี่สาวของเขา แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นเยี่ยนซีเหวินก็เงียบหายไป อีกทั้งเยี่ยนซือเต้าก็ด้วย

 

 

ต่งซิวหวยรู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้มิเลวทีเดียว เขามีชื่อเสียงในด้านการศึกษา แม้แต่เยี่ยนซีเหวินก็ยังสู้มิได้

 

 

เขาคือผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง แม้ฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นบุตรพ่อค้าที่ดิน แต่บัดนี้ฝ่าบาททรงมอบตำแหน่งจิ้นซื่อให้แก่เขา อีกทั้งตำแหน่งราชการให้เขาด้วย ได้ยินมาว่ากั๋วจื่อเจี้ยนกำลังจัดทำหนังสือประวัติศาสตร์ โดยจะนำเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลายพันปีรวบรวมและบันทึกลงไป ซึ่งเรื่องนี้ผู้ที่เสนอความคิดเห็นก็คือฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้นั่นเอง

 

 

เมื่อคืนข้ามปี เขาและท่านพ่อได้พูดคุยกัน เขารู้ดีว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเดินทางไปยังราชวงศ์อู่เพื่อเข้าร่วมเทศกาลฤดูหนาว ท่านพ่อเอ่ยว่าทางราชวงศ์อู่ได้เจาะจงรายชื่อเขาเพียงคนเดียว มองดูแล้วชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนมิได้โด่งดังเพียงในเมืองหลวงเท่านั้น แม้แต่ราชวงศ์อู่ก็ยังสามารถรับรู้ได้ เช่นนั้นชายหนุ่มที่มากความสามารถเยี่ยงนี้ ท่านพ่อควรจะดีใจและอวยพรพวกเขา มิใช่นั่งกังวลเช่นนี้ ?

 

 

ต่งซิวฟางยกชาขึ้นมาดื่ม จากนั้นวางถ้วยลงกล่าวว่า “เจ้าจงไปยังห้องโถงด้านหน้า เรียกพวกเขาเข้ามา”

 

 

ต่งซิวหวยเดินออกจากศาลาเซียงหมิงซวน ต่งเสียงฟางจึงได้ถอนหายใจออกมาแล้วเงยหน้ามองดูดอกเหมย

 

 

หิมะที่ปกคลุมบนกิ่งก้านของต้นเหมยกำลังละลาย สีแดงและสีขาวตัดกันช่างงดงามยิ่ง

 

 

ผ่านไปไม่นาน ด้านนอกก็มีเสียงหัวเราะของต่งซิวหวยและต่งชูหลานดังเข้ามา จากนั้นทั้งสองก็เดินเข้าไปในศาลาเซียงหมิงซวน ต่งเสียงฟางมองไปยังต่งซิวหวยและต่งชูหลาน จากนั้นมองไปยังใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น

 

 

เป็นเขานั่นเอง เขาที่อยู่ในพระราชวังจินเตี้ยนและทำให้เสนาบดีกรมพิธีการต้องขายหน้าในวันนั้น

 

 

เรื่องในตอนนั้นต่งเสียงฟางมิได้รับรู้ เนื่องจากหากฮ่องเต้มิได้มีรับสั่งให้เข้าเฝ้า โดยนิสัยแล้วเขาจะมิเข้าร่วมประชุม เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นตัวเขาได้ยินมาจากผู้อื่น เขาเพียงรู้สึกว่าน่าเสียดายจริง ชายหนุ่มผู้นี้มีความสามารถ แต่กลับสร้างเรื่องขัดใจตระกูลชือซึ่งเป็นหนึ่งในหกตระกูลใหญ่ได้ เกรงว่าต่อไปคงจะอยู่ในเมืองหลวงลำบากเสียแล้ว

 

 

เขามิได้ใส่ใจเรื่องของฟู่เสี่ยวกวนเท่าไรนัก ที่เขารู้นั้นมิต่างอันใดกับที่ชาวบ้านในเมืองหลวงรับรู้ นั่นคือเขาเป็นผู้เขียนหนังสือความฝันในหอแดงและประพันธ์กวีแห่งสายน้ำ กระทั่งปลายปีที่ผ่านมา ราชวงศ์อู่ส่งหนังสือมายังองค์จักรพรรดิและส่งต่อไปยังหงหลู่ซื่อ เขาจึงได้ทำความรู้จักฟู่เสี่ยวกวนมากขึ้น

 

 

จึงได้รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นบุตรชายของพ่อค้าที่ดินแห่งเมืองหลินเจียง อีกทั้งเขาเป็นผู้เขียนนโยบายบรรเทาสาธารณภัย อืม ชายหนุ่มผู้นี้เป็นผู้มีความสามารถ เพียงแต่หงหลู่ซื่ออยู่ในความดูแลของกรมพิธีการ ชือหยวนหมิงเป็นเสนาบดีกรมพิธีการ ดังนั้นเขาจึงมิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวน แต่กลับรู้สึกชื่นชมเขาเท่านั้น

 

 

ต่อมาเมื่อได้ยินว่าบุตรสาวของน้องสามนามว่าต่งชิวหลานและฟู่เสี่ยวกวนคล้ายกับมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เขาจึงได้รู้สึกว่าเรื่องนี้มิดีนัก เนื่องจากเยี่ยนซีเหวินและต่งชูหลานกำลังไปได้ราบรื่น หากมีเรื่องเหล่านี้แพร่ออกไป เกรงว่าชื่อเสียงของต่งชูหลานจะเสียหาย อีกทั้งตระกูลเยี่ยนให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของพวกเขามาก อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้

 

 

เขาเคยเดินทางไปสนทนากับต่งคังผิงมาหลายครา แต่ดูเหมือนน้องสามของเขาจะมิได้ใส่ใจในเรื่องนี้นัก

 

 

เดิมทีเขาต้องการจะไปเจรจากับฟู่เสี่ยวกวน ตักเตือนเขาให้รู้จักที่ต่ำที่สูงและถอนตัวออกไปด้วยตนเอง แต่คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเดินทางกลับไปยังหลินเจียงแล้ว

 

 

การที่เขาเดินทางมาเมืองหลวงครานี้ คาดว่าคงจะมาเพื่อสู่ขอต่งชูหลาน !

 

 

อีกทั้งจากต้นจนปัจจุบัน ตระกูลเยี่ยนหาได้มีท่าทีใด ๆ ไม่

 

 

ดังนั้น หากฟู่เสี่ยวกวนมิได้เดินทางไปยังราชวงศ์อู่ในฐานะราชทูต เขาคงจะขัดขวางเรื่องระหว่างทั้งสองอย่างแน่นอน

 

 

แต่บัดนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ต่งเสียงฟางรู้ดีว่าหากฟู่เสี่ยวกวนเดินทางกลับมาจากราชวงศ์อู่ ฝ่าบาทจะทรงประทานรางวัลอย่างงามแน่นอน

 

 

ดังนั้นบัดนี้เขาจึงมิจำเป็นต้องทำให้ฟู่เสี่ยวกวนลำบากใจ

 

 

นี่คือเหตุผลที่เขารู้สึกเป็นกังวล

 

 

ฟู่เสี่ยวกวนเดินตามพวกเขาเข้ามาอยู่ด้านหลังสุดด้วยรอยยิ้ม ท่าทีมิได้กังวลสักเล็กน้อย ชายผู้นี้…ในสายตาของต่งเสียงฟาง เขาช่างหนักแน่นเสียจริง

 

 

ต่งชูหลานพาฟู่เสี่ยวกวนมาทำความเคารพต่อหน้าต่งเสียงฟาง จากนั้นแนะนำเขาให้แก่ต่งเสียงฟาง ฟู่เสี่ยวกวนคำนับเขาอีกครั้ง แล้วเดินกลับไปยังที่นั่งของตน

 

 

ต่งเสียงฟางมิได้เอ่ยถามคำถามที่ฟู่เสี่ยวกวนคาดเดาไว้ เขาพูดคุยกับต่งชูหลานและหันมาคุยกับฟู่เสี่ยวกวนบ้างบางครา แต่มิได้เอ่ยถึงเรื่องราวในราชวัง เป็นเพียงหัวข้อสนทนาทั่วไปในครอบครัว กล่าวว่าต่งชูหลานเป็นเหมือนไข่มุกแห่งจวนต่ง จะทำให้นางเสียใจมิได้เป็นอันขาด

 

 

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยปากรับคำ เดิมทีเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาจะต้องทำอยู่แล้ว ขอขอบพระคุณผู้ใหญ่ทั้งหลายที่เอาใจใส่

 

 

พวกเขาสนทนากันประมาณ 2 ก้านธูป เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้ว ต่งชูหลานจึงได้เอ่ยขอบคุณต่งเสียงฟางที่เชิญพวกเขามาร่วมรับประทานอาหาร จากนั้นพาฟู่เสี่ยวกวนเดินไปยังจวนของหยวนซุ่ย

 

 

เมื่อมองตามหลังฟู่เสี่ยวกวนไป ต่งเสียงฟางมิได้ถอนหายใจออกมาอย่างทุกที แต่หันไปกล่าวกับต่งซิวหวยว่า “เทศกาลฤดูหนาว คณะทูตจะเดินทางไปยังราชวงศ์อู่ ราชวงศ์หยูส่งคนไปกว่าร้อย พ่อต้องการให้เจ้าเดินทางไปด้วย”

 

 

 “ข้า… ? ” ต่งซิวหวยอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากผู้มีความสามารถแห่งราชวงศ์หยูมีไม่น้อย เพียงแค่สำนักศึกษาจี้เซี่ยก็มีนับห้าพันคน อีกทั้งสำนักหลานถิงก็เต็มไปด้วยผู้มีพรสวรรค์ ยิ่งมิต้องพูดถึงจวนต่าง ๆ จะมีมากมายเพียงใด

 

 

หากได้เป็นตัวแทนคณะทูตเดินทางไปยังราชวงศ์อู่ แน่นอนว่าจะต้องเป็นเกียรติยิ่ง หากต่อไปได้เป็นจิ้นซื่อละก็ คาดว่าจะได้รับเงินจำนวนมากทีเดียว ต่งเสียงฟางครุ่นคิดดีแล้วจึงได้ตัดสินใจเช่นนี้

 

 

“วันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง ค่ำคืนแห่งเทศกาลหยวนเซียว ฟู่เสี่ยวกวนจะต้องเดินทางไปร่วมเทศกาลโคมไฟหลานถิงจี๋ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจงไปด้วย แล้วก็…เชิญเขาและชูหลานมายังจวนด้วย”

 

……

 

……

 

เป็นไปตามที่ต่งคังผิงคาดเดาไว้ ต่งเสียงฟางมิได้กดดันฟู่เสี่ยวกวน แต่ที่ต่งซูหลานกังวลใจนั้นก็คือหยวนซุ่ยมิได้ไว้หน้าฟู่เสี่ยวกวนเท่าไรนัก

 

 

เขาเอ่ยถามฟู่เสี่ยวกวนต่อหน้าต่งชูหลานว่า “เจ้าคิดว่าตนเองมีสิ่งใดดีกว่าเยี่ยนซีเหวินกัน ?”

 

 

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะแล้วนำมือลูบจมูกเอ่ยว่า “ข้าและต่งชูหลานมีดวงใจที่เชื่อมโยงกัน เรื่องนี้มิจำเป็นต้องไปเปรียบเทียบกับผู้ใด”

 

 

“เหอะ ๆ…”หยวนซุ่ยหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า “มิจำเป็นงั้นหรือ ? นั่นเนื่องจากเจ้ามิมีสิ่งใดที่จะหยิบยกมาเปรียบเทียบได้ต่างหากเล่า ! ต่อให้เจ้ามีชื่อเสียงโด่งดัง แต่สิ่งนี้ทำให้อิ่มท้องได้หรือไม่ ? อย่าได้คิดว่าตนเขียนหนังสือมาเล่มหนึ่งก็สามารถหยิ่งผยองได้ ชีวิตมิใช่บทกวี แต่สิ่งที่สำคัญคืออำนาจ ! ”

 

 

“หัวหน้าตระกูลเยี่ยน เยี่ยนเป่ยซีเมื่อครั้นวัยหนุ่มเป็นเช่นเจ้า ประพันธ์กวีโด่งดัง แต่เมื่อเขาเข้ารับราชการก็มิได้ประพันธ์กวีขึ้นมาอีกมิใช่หรือ ? เยี่ยนซือเต้าก็เช่นกัน พวกเขาทั้งสามรุ่นได้นั่งอยู่ในตำแหน่งที่มั่นคงของราชวงศ์หยู เนื่องจากผลงานกวีของพวกเขางั้นหรือ ? มิใช่แน่ แต่ว่าเป็นผลงานราชการของพวกเขาต่างหากเล่า ! ”

 

 

“ชูหลานยังเยาว์วัย หาได้รู้เรื่องราวพวกนี้ไม่ นางเพียงมองรูปลักษณ์ที่งดงามภายนอกของเจ้า แต่ในสายตาข้า รูปลักษณ์ภายนอกของเจ้านั้นหาได้มีค่าไม่ ! ”

 

 

หยวนซุ่ยถอนหายใจออกมาแล้วมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทางรังเกียจ

 

 

ฮูหยินหยวนที่นั่งอยู่ข้างๆเขามองดูฟู่เสี่ยวกวน แล้วหันไปเอ่ยกับชูหลานว่า “ชูหลาน เรื่องนี้เจ้าอย่าได้รีบร้อนไป สตรีเลือกคู่ครองจะต้องค่อยเป็นค่อยไป หากเลือกผิดละก็คิดจนตัวตาย ชีวิตในภายภาคหน้าของเจ้าจะมีความสุขหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจในครั้งนี้ นิสัยตรงไปตรงมาของท่านลุงเจ้ารู้ดี เขาหวังดีต่อเจ้าจึงได้ตักเตือน เจ้าเปรียบเสมือนหงส์ที่อยู่บนยอดฟ้า เหตุใดจึงต้องร่อนลงไปเกลือกกลั้วกับดินโคลน”

 

 

“ช้าก่อน เยี่ยนซีเหวินคาดว่าคงเดินทางมาใกล้ถึงแล้ว เขารับหน้าที่อยู่ที่อำเภอเหยาเป็นเวลานาน พวกเจ้ามิได้พบกันก็เป็นเวลาเนิ่นนานเช่นกัน เมื่อเขาเดินทางมาถึงพวกเจ้าลองคุยกันดู เชื่อข้า ข้าเห็นเจ้าเดินเข้ากองไฟเช่นนี้ก็กังวลแทนเจ้ายิ่ง”

 

 

ต่งชูหลานรู้สึกโมโหขึ้นมาทันใด

 

 

ข้าและฟู่เสี่ยวกวนมีใจให้กัน เกี่ยวข้องอันใดกับคนอื่น ๆ!

 

 

อีกทั้งยังกล้าเชิญเยี่ยนซีเหวินมาด้วย พวกเขาหมายความว่าเยี่ยงไร ?

 

 

สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที ฟู่เสี่ยวกวนจับมือนางไว้แล้วเอ่ยว่า “อ้อ ซีเหวินก็เดินทางมาด้วยงั้นหรือ ? ช่างเหมาะเจาะเสียจริง”

 

 

ต่งชูหลานเมื่อถูกฟู่เสี่ยวกวนจับไว้จึงได้สติกลับคืนมา และคิดว่าเมื่อเยี่ยนซีเหวินเดินทางมาถึง นางจะให้เขาทำความเคารพฟู่เสี่ยวกวนในฐานะอาจารย์และศิษย์ ให้ทุกคนได้เห็นว่าเยี่ยนซีเหวินหรือฟู่เสี่ยวกวนกันแน่ที่แข็งแกร่ง !

 

 

หยวนซุ่ยขมวดคิ้ว เขามิเข้าใจว่าชายหนุ่มผู้นี้คิดการใดอยู่ แม้ได้ยินมาว่าเขาช่วยเหลือเยี่ยนซีเหวินในการจับกุมเหล่าโจรแปดร้อยคนที่ซีซาน แต่ความดีความชอบนั้นเป็นของเยี่ยนซีเหวิน เขาข้องเกี่ยวอันใดด้วย ?

 

 

คงจะเป็นเพราะเยี่ยนซีเหวินมีจิตใจงดงาม จึงได้เอ่ยชื่อเขาต่อหน้าฝ่าบาท เพื่อให้ฝ่าบาททรงประทานรางวัลให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนด้วยเท่านั้น ส่วนเยี่ยนซีเหวินคาดว่าคงได้ตำแหน่งจือโจว มีอนาคตกว้างไกล และเดินตามรอยเยี่ยนซือเต้าผู้เป็นบิดา

 

 

ตระกูลเยี่ยนสืบต่อตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีมาสี่รุ่น ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หยูสองร้อยปีมานี้มิปรากฏตระกูลใดที่มีความสามารถเยี่ยงนี้ได้ ! เจ้าบังอาจเรียกเพียงชื่อของเยี่ยนซีเหวิน ? กล้าดีอย่างไร ?

 

 

“เจ้าไม่มีความจำเป็นต้องไปประจบประแจงตระกูลเยี่ยน เจ้ามิมีคุณสมบัตินั้น คนเราจักต้องรู้จักที่ต่ำที่สูง บิดาของเจ้าเป็นพ่อค้าที่ดินแห่งหลินเจียง และเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งหลินเจียง เจ้ามิขาดแคลนเงินทอง กลับไปเป็นคุณชายที่บ้านเกิดเจ้ามิดีกว่าหรือ ? เหตุใดต้องมาขัดขวางอนาคตของชูหลาน ? หากเจ้ากลับใจตอนนี้ยังทัน เนื่องจากงานแต่งงานยังมิได้ประกาศออกไป หากเจ้าทำให้ตระกูลเยี่ยนมิพอใจเข้า…เกรงว่าบิดาของเจ้าก็คงมิอาจช่วยเหลือได้”

 

 

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มออกมา คล้ายกับมิได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของหยวนซุ่ย

 

 

“พวกท่านอาจมิเชื่อ แต่เดิมทีข้าต้องการเป็นเพียงคุณชายที่ร่ำรวยเงินทอง แต่ความสามารถของข้ามากเกินไป ! อ้อ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้ามิได้กล่าวออกมา พวกท่านมิสงสัยหรือว่าเพราะเหตุใดตระกูลเยี่ยนจึงมิได้หาเรื่องข้ากัน ?”