ตอนที่ 181 เจ้าว่างเกินไปสินะ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 181 เจ้าว่างเกินไปสินะ

 

“พูดไปแล้วเจ้าคงมิเชื่อ จริง ๆ แล้วข้าอยากเป็นนายน้อยที่ร่ำรวย แต่ว่าบารมีของข้ามีไม่ถึง !  ข้าต้องบอกเจ้าอีกเรื่องหนึ่ง พวกเจ้าพูดมากเช่นนี้ ไม่คิดหรือว่าเหตุใดตระกูลเยี่ยนถึงไม่สร้างความยุ่งยากให้ข้า ? ”

 

 

ฟู่เสี่ยวกวนยกถ้วยชาขึ้นมา  สายตาของหยวนซุ่ยจ้องเขม็ง หยวนฮูหยินก็ขมวดคิ้ว

 

 

ในฐานะซื่อหลางจงฝ่ายขวา ตำแหน่งของหยวนซุ่ยไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่ก็ข้องแวะกับเรื่องสำคัญเกือบจะทั้งหมดของราชวงศ์หยู

 

 

ในฐานะหน่วยงานบริหารสูงสุดของราชวงศ์หยู  ฎีกากราบทูลของขุนนางต่าง ๆ ในราชวงศ์หยูล้วนแล้วแต่ผ่านการตรวจสอบจากส่วนกลางแล้วจึงส่งมอบให้ท่านอัครมหาเสนาบดี เว้นแต่จะเป็นรายงานลับของฮ่องเต้แล้ว นอกนั้นไม่มีอะไรที่ไม่รู้  หยวนซุ่ยรับราชการเป็นซื่อหลางจงฝ่ายขวามา 5 ปีแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่เคยพูดคุยกับอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยชี แต่เขาก็เข้าใจว่าอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยชีเป็นคนอย่างไร

 

 

สามารถเสริมสร้างความมั่นคงในประเทศได้  เยี่ยนเป่ยชีย่อมไม่ใช่คนโง่

 

 

อย่างไรก็ตามหยวนซุ่ยไม่ได้คำนึงถึงจุดนี้ เรื่องราวของราชวงศ์นี้  มีเพียงส่วนเล็ก ๆ ที่ไม่ได้สื่อสารผ่านจากระดับล่างขึ้นบน แต่เป็นความลับจากบนลงล่าง  ความลับนี้จะไปไม่ถึงระดับของหยวนซุ่ย  ดังนั้นเขาจึงแทบไม่รู้ความลับอะไรเลย

 

 

เช่นเรื่องที่องค์หญิงใหญ่ไปพบต่งคังผิง

 

 

เช่นเหตุใดจึงปล่อยให้ต่งซิวจิ่นออกจากเวทีไป

 

 

และดังเช่นองค์หญิงใหญ่กับอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยชีเคยหารือในเชิงลึกและบรรลุผลนานาประการ

 

 

นี่มิใช่ความผิดของหยวนซุ่ย  แต่ผิดที่ว่าตำแหน่งของเขาต่ำเกินไป

 

 

ดังนั้นพอฟู่เสี่ยวกวนถามขึ้นมา เขาก็งุนงง  ใช่แล้ว  ตระกูลเยี่ยนที่แข็งแกร่งเช่นนี้  ทำไมถึงไม่สร้างความยุ่งยากให้ฟู่เสี่ยวกวนล่ะ ?

 

 

นอกจากนี้สถานการณ์ปัจจุบันก็แสดงให้เห็นว่าต่งคังผิงเห็นด้วยกับเรื่องของสองคนนี้  คนฉลาดเช่นต่งคังผิง เป็นไปได้ไหมที่จะให้ซูหลานแต่งงานเพราะความสามารถด้านวรรณกรรมของฟู่เสี่ยวกวน ?

 

 

หยวนซุ่ยสูดหายใจเข้าลึก  ในใจยิ่งทวีความเคลือบแคลง แต่เขาก็ยังยืนกรานในมุมมองของตนเอง

 

 

“ที่ว่าเหตุใดตระกูลเยี่ยนไม่สร้างความยุ่งยากให้แก่เจ้า เรื่องนี้ข้ามิสนใจ แต่ข้าเป็นลุงสามของซูหลาน  เกี่ยวกับการแต่งงานของซูหลาน ข้ายังพอพูดได้บ้าง เยี่ยนซีเหวินกับซูหลานเติบโตมาด้วยกันที่จินหลิง  เคยเรียนในสถาบันเดียวกันและเล่นกันมาตั้งแต่วัยเยาว์  เยี่ยนซีเหวินเป็นหลานชายคนโตของบุตรชายคนโตตระกูลเยี่ยน  อนาคตต้องสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเยี่ยน  แล้วเจ้าล่ะ ? หนุ่มน้อย ผู้ฉลาดต้องรู้จักตัวเอง….. ”

 

 

หยวนซุ่ยพูดยังไม่ทันจบ  ก็เห็นเยี่ยนซีเหวินเดินเข้ามาพร้อมกับคนเฝ้าประตู

 

 

วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผู้อาวุโสคนนี้เชิญเขา เยี่ยนซีเหวินเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมบ้านตระกูลหยวนถึงได้ส่งเทียบเชิญมาหาเขาแต่เช้า บอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องการเชิญให้เขามาพบที่บ้านตระกูลหยวน

 

 

เยี่ยนซีเหวินคิดไปคิดมาก็ไม่เห็นว่าตัวเองจะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับบ้านตระกูลหยวน  ช่างเถอะ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ามีเรื่องสำคัญอะไร ดังนั้นเขาถึงได้เดินทางมา

 

 

จากนั้น เขาก็ชะงัก

 

 

นี่มันอะไรกัน!

 

 

ตาเฒ่าหยวนซุ่ยผู้นี้เลวมาก !

 

 

ต่งซูหลานอยู่ที่นี่ ฟู่เสี่ยวกวนก็อยู่ที่นี่  มันเป็นสิ่งที่เยี่ยนซีเหวินเจ็บปวดที่สุดในหัวใจ  เขารู้เรื่องทั้งหมดจากบิดาของเขาแล้ว  และรู้แล้วว่าเรื่องระหว่างเขากับต่งซูหลานยังไงก็เป็นไปไม่ได้  เขาหลีกเลี่ยงเรื่องที่ทำร้ายจิตใจนี่มาตลอด  แต่วันนี้หยวนซุ่ยคนนี้กลับมาวางหมากเรื่องนี้อีก

 

 

เยี่ยนซีเหวินไม่ได้แสดงอะไรออกมา ใบหน้าของเขาอ่อนโยน โค้งคำนับให้ฟู่เสี่ยวกวน  นี่เป็นมารยาทที่ศิษย์พึงกระทำ

 

 

หยวนซุ่ยและภรรยาตกตะลึงจนอ้าปากค้าง  มองดูด้วยความประหลาดใจ  เห็นเยี่ยนซีเหวินเดินตรงไปหาฟู่เสี่ยวกวน แล้วนั่งลงข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน  พูดด้วยรอยยิ้ม “พี่ฟู่ ท่านใจดีกับข้าตอนอยู่ที่ซีซาน  รู้ว่าท่านมาถึงเมืองหลวง  เดิมทีก็คิดแล้วว่าจะหาเวลาเชิญท่านไปเลี้ยงอาหารที่หอซื่อฟาง นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว  มื้อเที่ยงนี้ข้าขอเลี้ยงข้าวท่านสักมื้อนะ ? ”

 

 

นี่มันเรื่องอะไรกัน ?

 

 

 หยวนซุ่ยและภรรยาคิดว่าพอเยี่ยนซีเหวินมาถึงคงจะบดขยี้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผุยผงแน่ และเขาคงแสดงออกถึงความรู้สึกในใจต่อซูหลานอย่างแน่นอน  ตราบใดที่เยี่ยนซีเหวินแสดงท่าทีออกมา ก็จะเป็นการประกาศอย่างชัดเจน และเพื่อเป็นการรักษาหน้าตาของตระกูลเยี่ยน เยี่ยนซือเต้าต้องไปจวนตระกูลต่งเพื่อทาบทามเรื่องการแต่งงานอย่างแน่นอน

 

 

ตราบใดที่การแต่งงานนี้ถูกกล่าวถึง ต่งคังผิงจะทำอย่างไรได้ นอกจากทำได้เพียงแค่เห็นด้วย  เพราะตระกูลเยี่ยนไม่ยอมเสียหน้าจากการถูกปฏิเสธอย่างแน่นอน

 

 

แต่ตอนนี้เยี่ยนซีเหวินไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้  เขาแค่มองไปที่ต่งซูหลานอย่างรู้สึกผิด  จากนั้นก็นั่งคุยสัพเพเหระกับฟู่เสี่ยวกวน  และยังจะเลี้ยงข้าวเที่ยงฟู่เสี่ยวกวนอีก !

 

 

สองคนนี้ใช่ชายหนุ่มที่กำลังแย่งชิงหญิงสาวที่ไหนกัน !

 

 

นี่มันเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานานชัด ๆ !

 

 

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้  ต่งซูหลานมิเหมาะสมที่จะไปกับเขา อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังไม่ได้หมั้นหมายกัน  ดังนั้นไม่ควรปล่อยให้ต่งซูหลานติดต่อใกล้ชิดกับผู้ชายคนนี้

 

 

ดังนั้นเขาจึงยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณความกรุณาของพี่ซีเหวิน  วันนี้คงมิสะดวกจริง ๆ ข้ากับซูหลานจะไปเยี่ยมเยียนญาติ แล้วต้องกลับไปที่จวนตระกูลต่ง เจ้าจะกลับไปที่อำเภอเหยาเมื่อไหร่ ?  หรือพรุ่งนี้ข้าจะจองโต๊ะที่หอซื่อฟางแล้วเชิญฟางเหวินซิงและคนอื่น ๆ มารวมตัวกันดี ? ”

 

 

“วันที่ห้าออกเดินทาง  เดิมทีไม่ควรจะกลับมา  แต่มีเรื่องบางอย่างในใจที่ต้องกลับมาอีกครั้ง  ถ้างั้นก็กำหนดเป็นวันพรุ่งนี้  ข้าจะไปจองโต๊ะที่หอซื่อฟาง เรื่องนี้เจ้าต้องฟังข้า ข้าเกิดและเติบโตที่นี่เป็นคนจินหลิง  พวกฟางเหวินซิงจะเสริมในส่วนที่ขาดไป พวกเราจะออกจากเมืองหลวงวันที่ห้าไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อรับตำแหน่ง  หลังจากนั้นคงเป็นเรื่องยากสักหน่อยที่จะได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง  เฮ้อ…..! ”

 

 

เยี่ยนซีเหวินถอนหายใจเฮือกหนึ่ง  รินชาใส่ถ้วยแล้วยกดื่ม  “ เวลาแห่งความสุขไปแล้วไม่หวนกลับ จริง ๆ แล้วข้าหวังว่าเมื่อถึงวันที่สิบห้าของเดือนหนึ่งแล้วค่อยจากไป”

 

 

“อยากอยู่ที่เมืองหลวงให้หลายวันหน่อยหรือ ? ”  ฟู่เสี่ยวกวนไม่แปลกใจ เพราะการกลับมาไม่ใช่เรื่องง่าย  ไปคราวนี้เกรงว่าจะเป็นปีเลยเชียว

 

 

เยี่ยนซีเหวินส่ายหัวไปมา “มิใช่ว่าคิดถึงบ้าน แต่เป็นเพราะวันที่สิบห้าของเดือนหนึ่งจะมีงานกวีซ่างหยวนของหลานถิงจี๋  ข้าต้องการชนะเจ้าสักรอบ  งานกวีวันไหว้พระจันทร์ข้าก็พ่ายแพ้ไปแล้ว  ในงานกวีซ่างหยวนข้าคงไม่แพ้เจ้าอีกใช่หรือไม่ ? น่าเสียดาย เกรงว่ารอบนี้ยากที่จะกลับมา   ถ้าเจ้าแต่งบทกวีดี ๆ ในงานกวีซ่างหยวนล่ะก็  อย่าลืมส่งจดหมายเล่าให้ข้าฟังบ้างนะ”

 

 

หยวนซุ่ยและภรรยาสับสนมากขึ้น  ข้าเชิญเจ้ามาเพราะเรื่องของเจ้ากับต่งซูหลาน  พวกเจ้ากลับใช้สถานที่ของข้าเพื่อคุยเรื่องอดีต !

 

 

ผิดแผนหรือเปล่า ?

 

 

ดูจากการสนทนาระหว่างเขาทั้งสองสิ  ดูเหมือนว่ายังมีมิตรภาพเหลืออยู่ระหว่างเขาสองคน !

 

 

เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?

 

 

หยวนซุ่ยก็ไม่กล้าถาม  แม้ว่าเยี่ยนซีเหวินจะเป็นเพียงนายอำเภอเล็ก ๆ  แต่เขาก็คงไม่กล้าถาม  ขณะนี้ทำได้เพียงแค่รับฟังเท่านั้น

 

 

ต่งซูหลานรู้สึกว่าเยี่ยนซีเหวินดูเหมือนจะเปลี่ยนไปมาก  คนผู้นี้เป็นคนดีจริง ๆ  หวังว่าเขาจะเจอคนที่เขาชอบในอนาคตนะ

 

 

ฟู่เสี่ยวกวนคิดไม่ถึงว่าเยี่ยนซีเหวินต้องการอยู่ต่อที่เมืองหลวงเพื่อจุดประสงค์นี้  เขาลูบจมูกพลางพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “พี่ซีเหวิน  ข้าคิดว่าข้าด้อยกว่าท่านในการจัดการการปกครอง แต่ถ้าเกี่ยวกับบทกวีแล้วล่ะก็ …พี่ชาย  ข้าไม่ได้โอ้อวดนะ  ท่านตามไม่ทันหรอก   ”

 

 

เยี่ยนซีเหวินจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน  จากนั้นก็มีอาการหงุดหงิดและถอนหายใจอีกครั้ง  “ เจ้ารู้หรือไม่ ? ที่จริงข้าสามารถไปรับตำแหน่งจือโจวที่เมืองใดก็ได้ แต่ท่านปู่ไม่ยินยอม…”  จากนั้นก็จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาแบบมีเลศนัย “ พูดไปแล้วข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่เชื่อข้า  นี่คือคำพูดที่ท่านปู่พูดกับข้า : ในบทกวีและบทความ  เจ้าเทียบฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้  ในการปกครองเจ้าก็เทียบฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้  เจ้าก็เหมือนกับพ่อของเจ้า เริ่มจากอำเภอเถอะ”

 

 

“ ฟังแล้วนะ ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าเป็นปู่ของข้าหรือเป็นปู่ของเจ้ากันแน่ ! มีอย่างที่ไหนที่ปู่ของตัวเองพูดยกย่องคนอื่นแล้วมาให้ร้ายหลานชายของตน ! ”

 

 

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกขบขัน  เจ้าเด็กนี้เป็นนายอำเภอแค่ 2 เดือน แต่กลิ่นอายความเป็นนักเลงหนักแน่นไม่น้อยเลย

 

 

อย่างไรก็ตามคำพูดเหล่านี้เปรียบเสมือนฟ้าร้องกึกก้องในหูของหยวนซุ่ยและภรรยา  อะไรนะ ? ฟู่เสี่ยวกวนคนนี้ถึงกลับได้รับการประเมินค่าอย่างสูงจากเยี่ยนเป่ยซี ?

 

 

เจ้าหมอนั่นอาศัยอะไรกัน ?

 

 

นโยบายบรรเทาสาธารณภัยรึ ?

 

 

“ พี่ซีเหวิน  ท่านต้องเชื่อในสิ่งที่ปู่ของท่านพูดนะ ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดร้อนจริงหรือไม่”

 

 

“เหอะ ! ”

 

 

“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ….!”

 

 

ดวงอาทิตย์สาดแสงด้านนอก  ระหว่างที่หนุ่มน้อยทั้งสองคุยไปหัวเราะไป

 

 

นี่มีความเกลียดชังที่ไหนกัน  มีความหึงหวงอิจฉาที่ไหนกัน

 

 

เยี่ยนซีเหวินเกิดในตระกูลการเมืองการปกครอง  เข้าใจคำว่าการเมืองการปกครองรึไม่ ไม่ผิดที่เขาชอบต่งซูหลาน  แต่เมื่อเขารู้ความจริงเล็กน้อยที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้  ก็รู้แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับตัวเขาและต่งซูหลาน

 

 

เขาไม่รู้ว่าทำไมฟู่เสี่ยวกวนถึงเป็นที่โปรดปรานขององค์หญิงใหญ่  และก็ไม่เข้าใจว่าทำไมฟู่เสี่ยวกวนเป็นที่โปรดปรานของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย  เขาไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผล  ตราบใดที่มีผลลัพธ์เช่นนี้ เขาก็สามารถตัดสินได้หลายเรื่องแล้ว

 

 

การตรวจสอบเรื่องการทุจริตโกงกินในครั้งนี้ ตระกูลเยี่ยนก็มีการสูญเสีย แต่เมื่อเทียบกับอีก 5 ตระกูลแล้ว  การสูญเสียตระกูลเยี่ยนนั้นถือว่าน้อยสุด เพราะเยี่ยนเป่ยซียอมหักข้อมือของเขา และเบื้องหลังมีการบรรลุข้อตกลงบางอย่างกับพระสนมซั่งกุ้ยเฟย

 

 

ในฐานะที่ฟู่เสี่ยวกวนริเริ่มเรื่องนี้  เยี่ยนซีเหวินได้เริ่มให้ความสนใจเขามากพอ

 

 

เขารู้ดีว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นหมากตัวหนึ่ง  เขาเคยคิดว่าหลังจากตรวจสอบและจัดการกับการทุจริตโกงกินแล้ว  ตัวหมากฟู่เสี่ยวกวนจะถูกทิ้งไป  อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าหลังจากนั้นเขาไม่เพียงแต่ไม่ถูกทิ้ง ทว่ากลับมีแนวโน้มที่จะผ่านเรื่องนี้ไปได้ กลายเป็นเบี้ยที่สามารถเดินต่อไปได้

 

 

เนื่องจากแผนบรรเทาภัยพิบัติ และกำลังจะไปเป็นทูตของราชวงศ์อู๋ แม้กระทั่งมีแนวโน้มว่าในปลายปีจะได้ติดตามองค์หญิงสามไปแคว้นฮวงเพื่อทำหน้าที่เป็นทูตแห่งสันติภาพ

 

 

สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่สำคัญ  แต่สุนัขจิ้งจอกเฒ่าที่คมเฉียบอย่างเยี่ยนเป่ยชี  กลับได้กลิ่นรสชาติที่แตกต่าง

 

 

“ ในราชสำนักของราชวงศ์หยู  ข้าราชสำนักมีความสัมพันธ์กัน  ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะไม่อดทนอีกต่อไป  เด็กคนนี้เป็นหมากนอกกระดานและปรากฏตัวขึ้นมาในเวลาที่เหมาะสม เกรงว่า…….เมื่อผ่านร้อนผ่านหนาวไป  เด็กคนนี้จะกลายร่างเป็นมังกร ! ”

 

 

ประโยคนี้เป็นคำพูดที่เยี่ยนเป่ยชีพูดกับเยี่ยนซือเต้าเมื่อคืนที่ผ่านมา  ซึ่งเยี่ยนซีเหวินได้ยินโดยปริยาย  เขาเข้าใจความคิดของปู่  แต่เขาก็ยังมิเห็นว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงจะกลายร่างเป็นมังกรได้

 

 

“เจ้าจะอยู่เมืองหลวงนานแค่ไหน ? ”  เยี่ยนซีเหวินถาม

 

 

“คงจะใช้เวลานาน”

 

 

“แล้วเรื่องการลงทุนที่อำเภอเหยาล่ะ ? เมื่อได้พูดไว้แล้ว  เจ้าอย่าลืมเสียล่ะ ! ”

 

 

“เรื่องนี้เจ้าวางใจ  เรื่องทำกำไรข้าจำได้ชัดเจนที่สุด  ข้าเขียนจดหมายส่งถึงบิดาข้าแล้ว  จากนั้นหนึ่งปีบิดาข้ากับพ่อบ้านจางจะไปดูทำเลถิ่นฐานของเจ้า  อย่างไรก็ตามเราสองคนมาพูดคุยกันให้ชัดเจนกันก่อนว่า ภาษีที่ควรจ่ายจะให้เจ้ามีมิน้อยอย่างแน่นอน แต่เจ้าต้องไม่มายุ่งเกี่ยวกับวิธีทำธุรกิจของข้า”

 

 

           เยี่ยนซีเหวินหัวเราะขึ้นมา  “เจ้ากังวลว่าข้าจะว่างมากไปหรือไง ?  ดีล่ะ พรุ่งนี้เที่ยงเจอกันที่หอซื่อฟาง”

 

 

เขาลุกขึ้นยืนในขณะที่เขาพูดกับหยวนซุ่ย “ ส่วนเจ้า  ข้าดูแล้วเจ้าคงจะว่างมากเกินไปสินะ ! ”