บทที่ 289 ปฏิภาณ

คู่ชะตาบันดาลรัก

ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวก่อให้เกิดความเกลียดชัง

ฟู่จินถอนหายใจ

เขาออกจะสง่างามถึงเพียงนี้ ได้กราบไหว้อาจารย์ ศึกษาเล่าเรียนจนกลายเป็นผู้มีความรู้ที่มีชื่อเสียง ฮ่องเต้ออกพระราชโองการซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ทุกคนในใต้หล้าศรัทธาในภาพลักษณ์ที่ดีของเขาอย่างที่ไม่เคยเห็น และนี่คือชีวิตของเขา

แล้วตอนนี้เล่ากลายเป็นเช่นไร

เมื่อมายังสถานศึกษาซานไถกลายเป็นว่าเขาไม่สามารถออกไปไหนได้ เพราะที่นี่อยู่ห่างจากเมืองหลวงเพียงเล็กน้อยถือว่าไม่ไกลมากนัก สามารถจับตาดูสถานการณ์ได้เสมอ

ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาเขาแสร้งทำเป็นเป็นคนสุภาพเรียบร้อยอ่อนโยน และทำตัวกลมกลืนกับนักวิชาการที่น่าเบื่อเหล่านี้ คอยจับตามองเด็กเมื่อวานซืนคนนั้นเป็นครั้งคราว สังเกตว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่และเขาเป็นอย่างไร

จนกระทั่งเมื่อสามปีที่แล้วเด็กคนนั้นอายุสิบหกปี เขาคิดว่าเรื่องนี้อาจจบลงแล้ว

ฮ่องเต้คนใหม่ขึ้นครองบัลลังก์มาสิบห้าปี ใต้หล้าอยู่ในความสงบสุขมากมานานแล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นบุตรของทายาทคนโตเป็นทายาทที่ถูกต้องเหมาะสม แต่เมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่อาจยอมรับได้ไม่มีโอกาสแล้ว

สายเลือดโดยตรงเป็นที่ยอมรับในใต้หล้ามากกว่า

ฮ่องเต้ทรงมีพระเมตตา พระองค์ตามรอยราชกิจที่ไท่จู่ทรงทิ้งไว้ทุกคนจึงให้ความเชื่อถือเป็นอย่างมาก ดังนั้นสายเลือดโดยตรงจึงตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น

ผู้สืบทอดของเขาที่ไม่สามารถแสดงความสามารถได้ถือเป็นชะตาของต้าฉีตนจึงนำหลักฐานยืนยันไปพบองค์หญิงหมิงเฉิงและสามี ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันว่าความลับนี้จะกลายเป็นความลับตลอดไป

อย่างไรก็ตามตนไม่คาดคิดว่าหลังจากกลับมาที่สถานศึกษาซานไถไม่นาน ก็มีข่าวว่าองค์หญิงหมิงเฉิงทรงพระประชวรหนัก

เดิมทีตนวางแผนไว้ว่าจะเก็บของออกเดินทางไปทั่วหล้าต่อกลับไปใช้ชีวิตตามใจตนเอง แต่แผนนี้ก็ถูกระงับอีกครั้ง

เวลาผ่านไปไม่นานองค์หญิงหมิงเฉิงและนายท่านผู้เฒ่าก็เสียชีวิตลง

ฟู่จินเชื่อว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ตนไม่สามารถติดต่อเด็กคนนั้นได้

หากเรื่องที่ตนไปเข้าพบองค์หญิงหมิงเฉิงถูกเปิดเผยขึ้นมาละก็ ชีวิตตนก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน เพียงแต่เขาซ่อนตัวเป็นอย่างดีจึงไม่ถูกค้นพบ ความรู้สึกนี้ทำให้ตนไม่พอใจอย่างมาก

ข้าต้องการปลีกตัวหนีออกไป แต่ท่านมาขับไล่นี่ไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว

ครั้งนี้ฟู่จินได้ตัดสินใจ ตนจะรออยู่ที่นี่เพื่อรอว่าผู้ใดจะเดินทางมาหาตนก่อน

หากเด็กคนนั้นมาหาตน หมายความว่าสวรรค์มอบโอกาสนี้ให้แก่เขา

ไท่จื่อและองค์ชายองค์อื่นๆ ในตอนนี้ไม่สามารถแบกรับใต้หล้านี้ไว้ได้

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ตนจะช่วยให้เขากลับคืนสู่สายเลือดโดยตรง

เหมือนอย่างที่ตนมุ่งมั่นที่จะทำให้ใต้หล้าเคารพนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ หากฝืนยอมจำนนต่ออำนาจฮ่องเต้ทำให้สูญเสียตัวตนของตนเองไป ถ้าอย่างนั้นสนับสนุนอำนาจฮ่องเต้ด้วยตนเองก็คงจะดีไม่แพ้กัน

ตนตัดสินใจเช่นนั้น!

ฟู่จินดีใจมาก แต่เจี่ยงเหวินเฟิงไม่ดีใจเลยสักนิด เขาไม่ได้โง่ที่จะไม่รู้ว่าทายาทของซือฮว๋ายไท่จื่อที่ฟู่จินพูดถึงหมายถึงใคร! หมายความว่าการเสียชีวิตขององค์หญิงหมิงเฉิงก็เพื่อปกปิดความลับนี้งั้นหรือ

ไม่ๆๆ ความลับนี้อาจถูกค้นพบแล้ว

นี่เป็นการต่อรองชีวิตของพวกเขาสองคนแลกกับชีวิตของเด็กคนนั้น

เจี่ยงเหวินเฟิงไม่รู้ว่าต้องทำอะไรอยู่พักหนึ่ง สติปัญญาบอกเขาว่าไม่สามารถลงไปในโคลนนี้ได้ เพราะหากเข้าไปแล้วจะไม่สามารถออกมาได้อีก

แต่ในส่วนของความรู้สึกเขาก็ไม่สามารถพูดปฏิเสธได้

“เชี่ยนเหนียง” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมา เชี่ยนเหนียงตอบรับข้างหู

“หากข้าไม่สามารถออกไปตามหาเจ้าได้ เจ้าจะเกลียดข้าหรือไม่”

เชี่ยนเหนียงเงียบไปครู่หนึ่งและพูดเบาๆ ว่า “ท่านพี่คิดจะทำอะไรก็ทำเถิดเจ้าค่ะ เดิมทีวันของพวกเราก็ถูกขโมยไปแล้ว” เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้าและถอนหายใจยาว

ฟู่จินไม่ได้ยินเสียงพูดของเชี่ยนเหนียงเขาเห็นเจี่ยงเหวินเฟิงพูดกับตัวเองแล้วเลิกคิ้วจากนั้นก็สงบลง

“เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ข้าคงไม่ต้องเกลี้ยกล่อมเจ้าแล้วกระมัง”

เจี่ยงเหวินเฟิงส่ายหัว “ศิษย์ยังคงพูดว่าศิษย์ไม่อยากก่อกบฏ”

ฟู่จินยิ้มแล้วพยักหน้า “อาจารย์เองก็ไม่อยากก่อกบฏเช่นกัน”

ทั้งสองมองหน้ากันแล้วฟู่จินก็พูดว่า “บอกได้หรือยังว่าผู้ใดส่งเจ้ามา”

เจี่ยงเหวินเฟิงเรียกกำลังใจจากตนเอง พยายามนึกถึงผลที่ตามมาเขารู้ว่าตนจำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้เพราะหากเพิกเฉยไม่สนใจ ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรอีก และหากให้เขาไปรายงานความผิดต่อหน่วยงานราชการเขาก็ทำไม่ได้ เมื่อคิดไตร่ตรองดูแล้วมีเพียงต้องเอาตนเองไปเป็นอาหารเสือเท่านั้นและคอยสังเกตสถานการณ์ หากมีอะไรผิดปกติอะไรควรห้ามก็ห้าม อะไรควรช่วยก็ช่วย

“เป็นแม่นางผู้หนึ่ง แซ่หมิงขอรับ” ฟู่จินเลิกคิ้วขึ้น

…………

หมิงเวยกำลังคิดด้วยความสงบ ยาของพ่อมดผู้นี้แก้ไขได้ไม่ยาก แต่ปัญหาคือพ่อมดอยู่ที่ไหนกันแน่ แล้วยังฮ่องเต้อีกถูกลักพาตัวหรือว่าหนีไปที่อื่นด้วยตนเองกัน

“คุณหนู คุณชายใหญ่!” เสียงของตัวฝูเรียกสตินางเอาไว้

หมิงเวยมองตามทิศทางที่นางชี้แล้วก็เห็นจี้หลิงที่กำลังมองไปรอบๆ

“พี่ใหญ่!” จี้หลิงเห็นนางก็ดีใจและรีบเดินเข้ามาหา

“เมื่อครู่พี่ไปสอบถามข่าวมา แต่ไม่คิดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”

หมิงเวยตอบ “เรื่องค่อนข้างซับซ้อน พี่ใหญ่ ท่านไปสอบถามอะไรมาบ้าง มีอะไรผิดปกติหรือไม่”

จี้หลิงมีเครือข่ายที่ดีเป็นตัวเลือกที่ดีในการสอบถามข้อมูล หมิงเวยจึงขอให้เขาตรวจสอบเรื่องราวภายในเกี่ยวกับการที่พระองค์อยู่ๆ ก็พระราชทานสมรสกะทันหัน

“ที่น้องเดามานั้นไม่ผิด กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงทราบเรื่องที่คุณชายหยางก่อเรื่องแล้ว แต่พระนางไม่ได้โกรธ” หมายความว่าเหตุผลอยู่ที่ฮ่องเต้จริงๆ

จี้หลิงถามอีกว่า “น้องหญิง เรื่องนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง จู่ๆ กองทหารรักษาพระองค์เป็นเช่นนี้อีกทั้งไม่มีคนใช้อำนาจควบคุม…”

หมิงเวยตัวสั่น นางได้สติขึ้นมาทันที

ไม่มีคนใช้อำนาจควบคุม! เหตุใดกองทหารรักษาพระองค์ของฮ่องเต้ถึงได้ไร้ประโยชน์เช่นนี้ หมายความว่าที่นี่ถูกทอดทิ้งเสียแล้ว เป็นฮ่องเต้ทรงมีพระราชดำริเคลื่อนย้าย

ที่หยางชูไม่ได้รับข่าว หากไม่เป็นเพราะเขาหมดสิ้นความไว้เนื้อเชื่อใจก็เป็นเพราะมีการเปลี่ยนแผนชั่วคราว หมิงเวยไม่ต้องการบอกเรื่องนี้กับหยางชูเกรงว่าเขาจะคิดมากเกินไป

นางไม่คิดยุ่งกับเรื่องนี้มากเกินไปในเมื่อฮ่องเต้มีการเตรียมพร้อมอยู่แล้ว แสดงว่าข้างกายต้องมีคนคอยปกป้อง พ่อมดคนเดียวไม่น่าแตะต้องเขาได้

แล้วนางก็ได้ยินจี้หลิงพูดว่า “น้องหญิง นั่นไท่จื่อใช่หรือไม่”

หมิงเวยหันไปมองแล้วก็เห็นว่าเป็นไท่จื่อเจียงเชิ่งเดินนำทหารรักษาพระองค์มาที่นี่อย่างรวดเร็ว

“พระองค์มาคุ้มกันฝ่าบาทหรือ”

ไม่เพียงแต่ไท่จื่อเท่านั้นเหล่าขุนนางและทหารก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน พวกเขาจัดคนของตนเองให้ไปคุ้มกันฝ่าบาทและแบ่งคนมาคุ้มกันตนเองด้วย

หมิงเวยครุ่นคิด “พี่ใหญ่ พวกเราไปดูกันเถอะ”

ไท่จื่อรีบไปที่กระโจมกลางพร้อมกับทหาร แต่กลับเห็นว่าบริเวณโดยรอบนั้นเงียบสงบ กองทหารรักษาพระองค์พวกนั้นรวมกลุ่มก่อเรื่องอยู่รอบนอก แต่บริเวณรอบกระโจมกลับไม่มีผู้ใดเลย

หัวหน้าทหารรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเขาจึงสั่งหยุดเคลื่อนไหวและขอคำแนะนำจากเจียงเชิ่ง เจียงเชิ่งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะก้าวไปข้างหน้าภายใต้การคุ้มครองของทหาร

“เสด็จพ่อ ท่านอยู่ข้างในหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ภายในกระโจม สายลมยามกลางคืนก็พัดม่านขึ้นและแกว่งไปมาอย่างแผ่วเบา เจียงเชิ่งตะโกนอยู่สองครั้งแต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ

ผ่านไปสักพักก็มีคนอื่นรีบเดินทางมาที่นี่เช่นกัน

“พี่ใหญ่!”

เจียงเชิ่งเห็นอันอ๋องที่เหงื่อผุดเต็มหน้าผากจึงตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ ไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาอีก เขากำลังคิดว่าจะเข้าไปในกระโจมดีหรือไม่

“ไท่จื่อ!” ครั้งนี้เป็นขุนนางสำคัญหลายคนที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้เดินทางมาถึง

เจียงเชิ่งพยักหน้าให้พวกเขาและพูดว่า “ใต้เท้าทั้งหลายดูจากสถานการณ์แล้วมีผู้ไม่หวังดีก่อความวุ่นวาย ข้าเป็นห่วงเสด็จพ่อจึงเดินทางมาเพื่อคุ้มกัน แต่สถานการณ์ดูไม่ปกติ พวกท่านเห็นว่าควรทำอย่างไร”

หลู่เชียนมีอายุมากแล้วจึงไม่สะดวกเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงไม่ได้ตามมาด้วย ผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดในตอนนี้จึงเป็นกัวสู่ ผู้อาวุโสอีกคนในราชสำนัก

ทันทีที่เขาพูดจบแม่ทัพใหญ่หลางอวี่ที่ตามมาคุ้มกันด้วยทนไม่ไหวจึงเอ่ย

“ไท่จื่อตะโกนเรียกอยู่นานแล้วแต่ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านในเป็นไปได้ว่าอาจเกิดเรื่องขึ้น หากยังยืดเยื้อต่อไปฝ่าบาทอาจตกอยู่ในอันตรายได้”

กัวสู่ที่ดูถูกทหารอยู่เสมอได้ยินคำพูดนี้เขาก็ขมวดคิ้วทันที “เราไม่ควรบุกเข้าไป หากเกิดอะไรขึ้นมาท่านรับผิดชอบไหวหรือ”

หลางอวี่ไม่พอใจ “จะให้รอจนกว่าจะเกิดเรื่องขึ้นหรืออย่างไร!”

แล้วทั้งสองคนก็เริ่มมีปากเสียงกัน

………