บทที่ 290 เส้นทางนอกรีต

คู่ชะตาบันดาลรัก

“ไท่จื่อ โปรดตัดสินพระทัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

ทั้งสองทะเลาะกันเป็นเวลานาน และไม่ได้ผลลัพธ์อะไรเลยท้ายที่สุดจึงต้องให้ไท่จื่อเป็นฝ่ายตัดสินใจ เจียงเชิ่งเองก็ไม่สามารถตัดสินใจได้เช่นกัน

เงียบขนาดนี้แน่นอนว่าต้องมีปัญหาเกิดขึ้นแน่ แต่จะเข้าหรือไม่เข้าล้วนมีความเสี่ยง

“พี่ใหญ่” เสียงอ่อนแอของอันอ๋องดังขึ้น “พวกเขาทะเลาะกันรุนแรงถึงเพียงนี้แต่ไม่มีเสียงอะไรเลยเป็นไปได้หรือไม่ว่าด้านในไม่มีคน” คำพูดนี้ดึงสติไท่จื่อ

ใช่ หากด้านในว่างเปล่าพวกเขาไม่เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ

เจียงเชิ่งตอบ “ดูสถานการณ์ไปก่อน แม่ทัพหลางท่านส่งคนเข้าไปด้านใน แค่คนเดียวพอจะได้ไม่เป็นการยั่วโทสะอีกฝ่าย”

ประโยคหลังเขาอธิบายแก่กัวสู่

กัวสู่ขมวดคิ้ว แต่เขาไม่ได้คัดค้านนี่เป็นปัญหาจริงๆ

หลางอวี่ตอบรับ “กระหม่อมเข้าไปเองพ่ะย่ะค่ะ”

เจียงเชิ่งพยักหน้า และมองดูหลางอวี่เดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง เขาเอื้อมมือออกไปเพื่อยกม่านขึ้น

ในตอนนั้นเองมีของสิ่งหนึ่งถูกโยนออกมายังนอกกระโจม ‘เคร้ง’ และตกลงบนพื้น หลางอวี่ชักมือออกเขารู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นว่ามันเป็นกระบี่

“ไท่จื่อ!” นี่เป็นกระบี่ติดตัวของทหารรักษาพระองค์ สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป

มีคนอยู่ด้านใน! หรือว่าฮ่องเต้ถูกจับ

“ผู้ใดอยู่ข้างในออกมาเดี๋ยวนี้นะ!” เจียงเชิ่งตะโกนขึ้น ผ่านไปสักพักด้านในยังคงเงียบไม่มีเสียงใดๆ

เจียงเชิ่งส่งสัญญาณให้หลางอวี่อีกครั้ง มีของอีกชิ้นถูกโยนออกมาครั้งนี้เป็นหยกแขวนที่มีคุณภาพดีเยี่ยม

“หยกแขวนของฝ่าบาท!” มีคนตะโกนขึ้น

จบแล้ว ฝ่าบาทถูกจับตัวไปจริงๆ หลางอวี่ไม่กล้าขยับจึงทำได้เพียงชักมือกลับมา

สถานการณ์ในตอนนี้เข้าตาจนอีกครั้ง คนด้านในไม่ส่งเสียงอะไรจะให้พวกเขารอเช่นนี้น่ะหรือ

กัวสู่ไม่ยอมแพ้เขาตะโกนขึ้นอีกครั้ง “ผู้ที่อยู่ด้านในฟังให้ดีพวกเจ้าถูกทหารล้อมไว้หมดแล้วหากอยากมีชีวิตอยู่ละก็ปล่อยตัวฝ่าบาท…”

‘ปัง!’ ของอีกชิ้นถูกโยนออกมา

…………

กระโจมของไท่จื่อมีองครักษ์นายหนึ่งเดินเข้าไปด้านใน

“องค์ชาย” ผู้ที่อยู่ในกระโจมขณะนี้คือซิ่นอ๋องเจียงเฉิง

ใบหน้าของเจียงเฉิงมืดครึ้มหลังได้ยินคำรายงานจากองครักษ์เขาก็หัวเราะเยาะ “ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว”

องครักษ์ผู้นี้เป็นคนสนิทของเจียงเฉิงในเวลานี้เขาพูดด้วยความเป็นห่วง

“องค์ชายจะให้ไท่จื่อจัดการจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ มันจะไม่เป็นผลดีอย่างใหญ่หลวงต่อองค์ชายเลย”

“เขาทำไม่ได้หรอก” เจียงเฉิงนั่งลงจุดไฟท่าทางไม่เหมือนคนซื่อสัตย์เลยสักนิด “ตอนนี้เขาคงคิดอะไรไม่ออกแล้ว รอผู้อื่นเรียกสติกว่าเขาจะนึกถึงความเป็นไปได้นั้นเจ้าคิดว่าเขาจะทนได้หรือ ขอเพียงเกิดเรื่องกับเสด็จพ่อเขาก็สามารถขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้จึงไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร”

องครักษ์นึกถึงอุปนิสัยของไท่จื่อก็หัวเราะ “ที่องค์ชายกล่าวมาก็ถูกไท่จื่อคงคิดไม่ถึงแน่ นี่เป็นบททดสอบหนึ่งไม่จำเป็นต้องให้องค์ชายลงมือก็ทำให้เขาสูญเสียความโปรดปรานจากฝ่าบาทได้”

เจียงเฉิงยิ้มอย่างมีชัย “ต้องขอบพระทัยเสด็จแม่!”

เมื่อคืนมีใครบางคนแอบเข้าไปในกลุ่มคนที่มาเข้าร่วมเทศกาลชิงเลี่ย ฮ่องเต้จึงวางแผนซ้อนแผน อาจเป็นเพราะพฤติกรรมของไท่จื่อก่อนหน้านี้ทำให้ฮ่องเต้ผิดหวังจึงไม่คิดบอกไท่จื่อ และลองใจไท่จื่อดูว่าคิดจะทำเช่นไร

เดิมทีเจียงเฉิงไม่รู้เรื่องนี้ แต่ช่วงนี้ฮ่องเต้ใส่ใจดูแลฮุ่ยเฟยเป็นพิเศษ ทันทีที่การล่าสัตว์ในวันนี้สิ้นสุดลงฝ่าบาทก็ให้ฮุ่ยเฟยหลบหนีออกไป

ในช่วงเวลาเร่งด่วนนี้ฮุ่ยเฟยหาโอกาสส่งข้อความถึงบุตรชายของตน

เจียงเฉิงคิดว่านี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากเขาจงใจกระตุ้นให้ไท่จื่อนำทหารไปคุ้มกันฮ่องเต้

หากไท่จื่อไม่ออกไปคุ้มกันแน่นอนว่าฮ่องเต้ต้องผิดหวังในตัวเขา แต่หากไท่จื่อออกไปคุ้มกันเจียงเฉิงก็จะอาศัยโอกาสนี้ทำให้อีกฝ่ายทำผิดพลาด!

องครักษ์กล่าวชมเชย “องค์ชายคิดอุบายวางแผนการรบได้แยบยลจริงๆ ไท่จื่อไม่ว่าจะเป็นสติปัญญาหรือวิสัยทัศน์ล้วนห่างไกลจากองค์ชายใต้หล้าต้องเป็นขององค์ชายในไม่ช้าพ่ะย่ะค่ะ”

เจียงเฉิงยิ้มอย่างมีชัยและโบกมือ “ยังเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องนี้รอให้เขาตกจากหลังม้าก่อนแล้วค่อยพูด!”

ทั้งสองยิ้มอย่างรู้กัน

องครักษ์นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ “องค์ชาย ไท่จื่อพาคนออกไปหมดแล้ว เหลือทหารคุ้มกันเพียงไม่กี่คน แม้ฝ่าบาทจะเตรียมการไว้นานแล้ว แต่มีคนไม่ดีซุ่มซ่อนอยู่จริงๆ ให้กระหม่อมเคลื่อนย้ายคนมาเพิ่มดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เจียงเฉิงส่ายหน้า “จะทำอะไรต้องทำให้สุด ในเมื่อข้ายกทหารรักษาพระองค์ให้พี่ใหญ่ไปหมดแล้วจะยั้งมือไว้ได้อย่างไรกัน วางใจเถอะเป้าหมายของคนชั่วนั่นไม่ใช่เปิ่นหวางอยู่แล้ว”

ทันทีที่พูดจบก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาดังขึ้นว่า “จริงหรือ…”

เจียงเฉิงและองครักษ์ตื่นตระหนกราวกับมีลมเย็นพัดกระทบหลังพวกเขาทำให้เหงื่อกาฬไหลพรู

“ผู้ใดน่ะ ออกมาเดี๋ยวนี้!” องครักษ์ยืนบังเจียงเฉิงและชักกระบี่ออกมา

แต่ในวินาทีต่อมาเขาก็รู้สึกชาที่จุดเลือดลมหลังคอ ร่างทั้งร่างแข็งค้าง

เจียงเฉิงกลัวจนวิญญาณไม่อยู่กับร่าง เขาทำหลายสิ่งหลายอย่างไปมากมาย ได้มีชีวิตที่ดีกว่าจะมีโชคชะตาให้นั่งในตำแหน่งนี้ได้ไม่ง่ายเลย

“ผู้ใดกัน” เขาหันกลับไปแล้วตัวของเขาก็แข็งค้าง

องครักษ์คนสนิทของเขามีวรยุทธ์ที่ไม่เลว แต่ดันถูกจับได้ทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นแม้แต่เงาคน หรือจะเป็นพ่อมดตนนั้นจริงๆ

ไม่รู้ว่าเมื่อไรด้านหลังกระโจมถูกคนกรีดจนเป็นรูขนาดใหญ่ในตอนที่เปิดมันออกก็มีหลายคนเข้ามาด้านใน

จี้หลิงที่แทงหลังองครักษ์เป็นภาพที่หาได้ยากเขาถามว่า “น้องหญิง ต้องให้พวกเขาแข็งเช่นนี้ไปอีกนานเท่าไร”

หมิงเวยตอบ “นานเท่าไรก็เท่านั้นเจ้าค่ะ”

จี้หลิงรู้สึกว่าน่าสนใจมาก “ไม่แปลกใจเลยที่เสียวอู่ต้องการศึกษามัน นี่มันน่าสนใจมากจริงๆ”

ตัวฝูอาสา “หากคุณชายใหญ่ต้องการเรียนบ่าวสอนได้นะเจ้าคะ!”

จี้หลิงโบกมือ “ไม่ล่ะ ข้าไม่ควรใช้วิชาเช่นนี้ อย่างไรข้าก็เป็นคนที่อยู่ในระหว่างสอบเข้ารับราชการ หลงใหลลัทธินอกรีตเกินไปคงไม่ดี”

หมิงเวยยิ้มแล้วพยักหน้า “ที่พี่ใหญ่พูดมาก็มีเหตุผล นี่เป็นเส้นทางของชาวยุทธภพ พี่ใหญ่ควรเดินไปในเส้นทางที่ราบเรียบกว้างใหญ่มากกว่า” จี้หลิงหัวเราะ

สองพี่น้องพูดคุยกันอย่างมีความสุขปล่อยให้เจียงเฉิงและองครักษ์ที่ถูกทำให้แข็งค้างไม่พอใจ

องครักษ์ตะโกนเสียงดัง “พวกเจ้าเป็นผู้ใดกัน รีบปล่อยองค์ชายเดี๋ยวนี้นะ!”

จี้หลิงตอบ “เจ้าโง่หรือเปล่า มีคนร้ายที่ไหนปล่อยคนตามคำพูดของเจ้ากัน เจ้าในตอนนี้ควรพยายามปลอบใจ และพูดคุยเพื่อตอบสนองความต้องการของอีกฝ่ายดีกว่านะ ยิ่งเจ้าขู่เจ้านายของเจ้ายิ่งเป็นอันตราย เข้าใจหรือไม่ ซิ่นอ๋อง คนสนิทของท่านนี่ไม่มีความสามารถเอาเสียเลย!”

องครักษ์ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจเขารู้สึกถึงอันตราย “องค์ชาย!”

เจียงเฉิงพยายามทำจิตใจให้สงบเขารู้สึกประทับใจในคำพูดของจี้หลิง เขาเองก็ไม่พอใจองครักษ์คนสนิทเช่นกัน แต่เขาก็รู้ด้วยว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาออกโทสะใดๆ ดังนั้นเขาจึงพยายามสงบอารมณ์และพูดว่า “ท่านทั้งหลาย พวกท่านต้องการสิ่งใด เปิ่นหวางสามารถตอบสนองความต้องการของพวกท่านได้ แต่ช่วยปล่อยเปิ่นหวางก่อนได้หรือไม่”

หมิงเวยหรี่ตา “จริงหรือ”

“แน่นอน! พวกเจ้าต้องการสิ่งใดเปิ่นหวางหามาให้ได้!”

เจียงเฉิงตอบด้วยความดีใจพลางรู้สึกสงสัย เสียงนี้เขารู้สึกคุ้นเคยนิดหน่อย อีกอย่างคำที่พวกเขาเรียกกันก็แปลกอีก พี่ใหญ่ น้องหญิง คุณหนู ฟังดูเหมือนเป็นพี่น้องกันแล้วยังมีสาวใช้อีกหนึ่ง…

เป็นกลุ่มอะไรกันเป็นไปได้หรือไม่ที่พ่อมดยืมตัวตนของสมาชิกในครอบครัวมาใช้

ไม่น่าใช่ฝ่ายชายยังพูดอีกว่าต้องเตรียมตัวสอบเข้ารับราชการหมายความว่าเขาเป็นบัณฑิต มีวิถีทางที่จะก้าวไปเป็นขุนนาง หรือว่ามีคนในร่วมมือกับพ่อมด!

………