เมื่อเห็นเจียงเฉิงเหงื่อไหลจี้หลิงก็พูดปลอบโยน “ซิ่นอ๋องไม่ต้องใจร้อน พวกเราไม่ทำร้ายพระองค์หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงเฉิงสงสัย “จริงหรือ”
“จริงเจ้าค่ะ” หมิงเวยยักไหล่ “อย่างไรก็ตามพวกเราไม่ได้วางแผนที่จะก่อกบฏ การฆ่าท่านต้องมีปัญหามากมายตามมา”
เจียงเฉิงคิดในใจแอบเสียใจทีหลังที่เขาไม่ได้ฟังคำพูดขององครักษ์เลยต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เจียงเชิ่งทำได้ดีมากเขาไม่ได้ทิ้งผู้ใดไว้แม้แต่คนเดียว และยังเอาทหารของตนไปด้วยซึ่งทำให้ผู้คนใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้
เขาตั้งสติและพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้คนร้ายสงบลงด้วยเสียงที่นุ่มนวล “ตราบใดที่เจ้าไม่เอาชีวิตเปิ่นหวาง ต้องการสิ่งใดพูดออกมาได้เลย เปิ่นหวางให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่แน่นอน”
หมิงเวยที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาส่งสายตาให้จี้หลิงแล้วยิ้ม “องค์ชายไม่ต้องกังวลไปพวกเราไม่ต้องการอะไรเพียงแต่ขอเพียงสถานะขององค์ชายสักหน่อย”
…………
ทหารที่หยางชูนำด้วยตนเองกำลังทำการค้นหาที่ภูเขา
ทหารกลุ่มนี้ประกอบด้วยลูกหลานของขุนศึกในตระกูลหยาง บรรพบุรุษของพวกเขาติดตามองค์หญิงหมิงเฉิงและโป๋วหลิงโหวผู้เฒ่าต่อสู้ในสนามรบตั้งแต่เกิดจนตาย พวกเขาได้รับเลือกตั้งแต่อายุยังน้อย ได้เรียนหนังสือ และเรียนวรยุทธ์ร่วมกันกับเขาแล้วยังจงรักภักดีต่อเขาด้วย ความมั่งคั่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจวนโป๋วหลิงโหวก็คือพวกเขาเหล่านี้
“คุณชาย เกิดเรื่องแล้วขอรับ!” อาสวนเข้ามารายงาน “พวกเขาเจอสิ่งนี้ขอรับ”
หยางชูตั้งใจมองสิ่งที่อยู่ในมือของอาสวนเป็นเศษผ้าชิ้นเล็กๆ ดูจากการทอผ้า และการย้อมสีแล้วน่าจะเป็นของต่างเผ่า
“เป็นเขา! หาต่อไป!”
“ขอรับ”
หยางชูมองขึ้นไปบนภูเขาและป่าไม้ในยามค่ำคืน ท้องฟ้ามืดเกินไปซึ่งทำให้การค้นหายากขึ้น แต่เขาไม่หาไม่ได้เพียงแต่การหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้เท่านั้นที่เขาจะคิดถึงเรื่องของตนเองน้อยลง
ในเวลาเดียวกันบนเนินเขาห่างออกไปไม่กี่ลี้ฮ่องเต้ก็ยื่นเตาอุ่นมือมาให้
“กลางคืนลมเย็นทำมือให้อุ่นเถอะ”
เผยกุ้ยเฟยยิ้ม นางดึงมือฮุ่ยเฟยมากอดเตาอุ่นมือด้วยกัน “ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราหรอกเพคะ หม่อมฉันและฮุ่ยเฟยเจี่ยเจียดูแลกันได้”
ฮ่องเต้พยักหน้าพระองค์ส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นให้ฮุ่ยเฟยแล้วเสด็จไปหารือกับผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์
ทันใดนั้นแสงสว่างก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเขาฮ่องเต้หรี่ตาลงแล้วถามว่า
“นั่นคือผู้ใด”
ผ่านไปสักพักองครักษ์เงารายงานว่า “เป็นคุณชายสามพ่ะย่ะค่ะ เขานำคนออกค้นหา”
แววตาของฮ่องเต้ดูซับซ้อน “เป็นเขางั้นหรือ…”
บุตรชายของเขาทั้งสามคนไม่มีผู้ใดสังเกตถึงความผิดปกตินี้ แต่เป็นเขาที่ไล่ตามมา
“ฝ่าบาท ให้ส่งสารออกไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เงาถาม
ฮ่องเต้เงียบอยู่ครู่หนึ่ง
ในขณะนั้นเองดอกไม้ไฟก็ถูกจุดขึ้นในระยะไกลพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าชั่วขณะ
ผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ดีใจแล้วรายงานว่า “ฝ่าบาท นักพรตเสวียนเฟยจับคนร้ายได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนพระพักตร์ “รีบให้เขาพากลับมาเร็ว” เขาชะงักและมองแสงไฟอีกด้านหนึ่ง “ส่งข่าวไปให้เขามาที่นี่เถอะ”
เสวียนเฟยส่งสัญญาณทางด้านนั้นต้องเห็นแน่นอน หากทางเขาไม่ส่งข่าวไปคงไม่สมเหตุสมผลเท่าไรนัก
หยางชูอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลไม่นานก็เดินทางมาถึง
“ฝ่าบาท”
หยางชูทำความเคารพ “ตอนกระหม่อมพบว่าฝ่าบาทหายไป กังวลมากว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับฝ่าบาทจึงออกมาค้นหาโดยไม่ได้รับอนุญาต กระหม่อมหวังว่าจะไม่ได้ทำแผนของฝ่าบาทพังนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยิ้ม “เจิ้นเรียกเจ้าสำนักเสวียนเฟยมาที่นี่ทำให้พ่อมดตกใจจึงต้องเปลี่ยนแผนชั่วคราว ที่เจิ้นไม่บอกเจ้าก็เพื่อหลอกศัตรู การที่เจ้ามาที่นี่ได้นับว่าเก่งมาก”
“ฝ่าบาท!” ในขณะที่พูดเสวียนเฟยก็มาถึง
ใบหน้าของเขาซีดเซียว เหงื่อท่วมตัวดูเหมือนจะเหนื่อยมาก เมื่อเขาเดินมาคำนับใกล้ๆ ก็พบว่าแขนเสื้อของเขาถูกตัดออกเผยให้เห็นแขนของเขาที่เป็นสีดำ
“กระหม่อมปฏิบัติตามคำสั่ง พาคนกลับมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขาชี้ไปทางพ่อมดที่ถูกสาวกเสวียนตูกวันมัดเอาไว้
พ่อมดผู้นี้สวมชุดบ่าวรับใช้ ใบหน้าแก่ชรา เขาดูเหมือนคนใช้แก่ธรรมดาๆ ไม่เหมือนคนต่างเผ่าเลยสักนิด
“ลำบากท่านเจ้าสำนักแล้วท่านไปพักผ่อนเสียเถิด” ฮ่องเต้ปลอบโยนด้วยเสียงนุ่มนวล เสวียนเฟยประสานมือคารวะ เขาไม่พูดอะไรและถอยออกมาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของตนเอง
สำหรับเขาแล้วถือว่าเป็นการต่อสู้ที่ยากโชคดีที่เตรียมตัวมาอย่างดีจึงได้รับชัยชนะมา
ไม่งั้นละก็ภารกิจแรกที่ได้รับหลังจากได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักล้มเหลว เกรงว่าฮ่องเต้คงไม่ยินดีให้เขาได้รับตำแหน่งราชครูแน่ สายตาของฮ่องเต้จ้องไปที่พ่อมด
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน” พ่อมดแค่นหัวเราะเขาหลับตาลงไม่พูดอะไร
ฮ่องเต้อดทนและถามต่อไปว่า “เหตุใดเจ้าต้องแอบเข้ามาในค่ายและลอบทำร้ายเจิ้นด้วย” คนผู้นั้นยังแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์พูดขึ้นว่า “ฝ่าบาท ลงโทษประหารชีวิตเลยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ คนเช่นนี้หากไม่ลงโทษคงไม่ยอมเปิดปาก” ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็โบกมือเป็นสัญญาณว่าตกลง
หยางชูพูดว่า “ฝ่าบาท คนผู้นี้เป็นพ่อมดเกรงว่าวิธีการทรมานแบบธรรมดาจะไม่ได้ผล รบกวนเจ้าสำนักเสวียนเฟยอีกครั้งดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่เขาพูดพ่อมดก็ลืมตาขึ้นและจ้องมาที่เขา
“เจ้าเป็นผู้ใด” เสียงแหบแห้งเหมือนกับที่ได้ยินเมื่อคืนวาน
หยางชูแปลกใจ “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย”
ชายคนนั้นยังคงจ้องมาที่เขาแล้วเพ่งพิศมองอย่างละเอียด และในที่สุดเขาก็เลิกคิ้ว “ไม่ใช่ เจ้าไม่ควรมีแต้มนี่เจ้าคือ…”
“ฆ่าเขาซะ!” จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น เป็นเผยกุ้ยเฟยที่กรีดร้องอยู่ใต้ที่กำบัง หยางชูลงมือตามสัญชาตญาณ กระบี่ถูกชักออก และในชั่วพริบตา คมดาบก็ลากผ่านคอของพ่อมด
‘ฉับ’ เลือดพุ่งกระฉูดและกระเด็นไปทั่วพื้น
หยางชูไม่คาดคิดว่าตนเองจะจัดการได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ จริงๆ แล้ว เขายังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น บางทีอาจเป็นเพราะเสียงตะโกนของเผยกุ้ยเฟยที่ดูร้อนรนมากเกินไป
เขาหันไปมองเผยกุ้ยเฟยด้วยความประหลาดใจ เผยกุ้ยเฟยเดินออกจากที่กำบัง ใบหน้างามไร้สีเลือดใต้แสงไฟร่างของนางสั่นสะท้าน
ฮ่องเต้ที่ห่วงใยนางมากที่สุด แต่ในเวลานี้กลับไม่สนใจนางพระองค์จ้องร่างไร้วิญญาณของพ่อมดด้วยสีหน้ามืดครึ้ม ผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์เปิดปาก เขาต้องการจะพูดแต่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกมาดี
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านไปอย่างเงียบงัน ผ่านไปนานกว่าฮ่องเต้จะเอ่ยปาก
พระองค์สั่งผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ “ลากมันลงมา!”
ผู้บัญชาการลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และเหลือบมองหยางชูอย่างรวดเร็ว “คุณชายสาม…”
“ข้าให้เจ้าลากมันลงมา!” ฮ่องเต้ตะคอก
ผู้บัญชาการทำได้แต่ตอบรับ และสั่งให้คนของเขาลากร่างของพ่อมดลงมา
ฮ่องเต้หันกลับไปและรีบเดินไปหาเผยกุ้ยเฟย
“สนมรักออกมาได้อย่างไร ลมแรงเช่นนี้เจ้าอาจไม่สบายได้”
เสียงของเขายังคงอ่อนโยน แต่ตั้งแต่ต้นจนจบพระองค์ไม่ได้มองหยางชูเลย แต่ก็ไม่แสดงท่าทีอะไรเกี่ยวกับพฤติกรรมของหยางชูที่สังหารพ่อมดผู้นั้น
เผยกุ้ยเฟยตัวสั่นนางคว้าพระหัตถ์ฮ่องเต้และพูดว่า “ฝ่าบาท พวก…พวกเรากลับกันก่อนเถอะเพคะ”
“ได้” ฮ่องเต้พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วหันศีรษะไปสั่งการว่า “เก็บกวาดซะแล้วกลับค่าย”
“พ่ะย่ะค่ะ” กองทหารรักษาพระองค์ และองครักษ์เงาเดินจากไปทีละคน คุ้มกันฮ่องเต้และสนมทั้งสองกลับค่าย
หยางชูยังคงยืนอยู่ตรงนั้นกระบี่ในมือของเขาอาบไปด้วยเลือดใบหน้าของเขาซีดมากและรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง
“คุณชาย…” อาสวนเรียก “พวกเรากลับกันเถอะขอรับ” หยางชูตั้งสติแล้วพยักหน้า
เสวียนเฟยที่อยู่ด้านหลังเดินเข้ามาหาเขาช้าๆ
เขายืนอยู่ตรงหน้าหยางชู เขามองรูปลักษณ์อีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง สีหน้าของเขาเริ่มจริงจังขึ้นมา
“ที่แท้ไม่ควรมีแต้มนี่…” เขาพึมพำ
………