ตอนที่ 121 แกล้งป่วย
“ท่านพ่อยังเหนื่อยล้าอยู่หรือไม่? หากหายแล้วก็กลับกันเถิด ให้ป้าสะใภ้ใหญ่ได้พักผ่อนเสียหน่อย” หยุนเชวี่ยหันไปฉอเลาะกับหยุนลี่เต๋อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หยุนลี่จงเพียงหันไปมองหยุนเชวี่ยด้วยสายตาเย็นชาแต่ไม่ได้ปริปากพูดคำใด
เขาไม่อาจระงับอารมณ์ไม่ให้โกรธเกลียดนางได้
ในใจของหยุนลี่จงเต็มไปด้วยความสับสนและสงสัย เหตุใดสองสามีภรรยาที่โง่งมเช่นบ้านรองจึงพร่ำสอนบุตรสาวให้เติบใหญ่ขึ้นเป็นหัวขโมยเช่นนี้? และยิ่งไปกว่านั้นคือหัวขโมยคนดังกล่าวกลับสามารถหาลู่ทางทำเงินให้ครอบครัวของตนได้!
มีถ้อยคำอัดอั้นอยู่ภายในอกนับร้อยประโยค… จะว่าคับแค้นก็ไม่เชิงเสียทีเดียว
ใจหนึ่งหยุนลี่จงนึกรำคาญหยุนเชวี่ย ทว่าอีกใจหนึ่งกลับครุ่นคิดไปว่าหากหยุนเชวี่ยเป็นบุตรสาวของตนจะทำเช่นไรดี?
บัดซบนัก! เหตุใดความคิดจึงสับสนไร้สาระเช่นนี้เล่า?!
“ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่เป็นอะไรหรอก พวกเรากลับกันเถิด” แม่นางเหลียนยื่นมือไปลูบศีรษะของบุตรสาวอย่างแผ่วเบา
“ใช่แล้ว” หยุนลี่เต๋อก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย
ภาพพ่อแม่ลูกทั้งสามปรากฏอยู่เบื้องหน้าสายตาของหยุนลี่จงซึ่งก่อให้เกิดความคับข้องที่สุมทรวงจนยากจะระงับไหว
ปีกตะวันตก…
“ท่านพี่ ครั้งนี้ทำให้พี่ใหญ่ขุ่นเคืองใจเข้าเสียแล้ว” แม่นางเหลียนกล่าวขณะรินน้ำลงในถ้วยและส่งให้หยุนลี่เต๋อ
“เฮ้อ…” หยุนลี่เต๋อเพียงถอนหายใจพร้อมส่ายหน้า เขาเป็นเช่นนี้เสมอ แม้ไม่อยากอดทนเพียงใดก็ไม่ยอมปริปากระบายออกมาแม้แต่คำเดียว หนำซ้ำคู่กรณียังไม่ใช่คนอื่นไกลแต่เป็นพี่ชายของตน
“หากข้าเป็นลุงใหญ่คงไม่สิ้นคิดขนาดมาถึงที่นี่เพื่อหาเรื่องเป็นแน่!” หยุนเชวี่ยขบริมฝีปากล่างอย่างไม่สบอารมณ์
เพียงนึกถึงใบหน้าที่ด้านทนของหยุนลี่จงก็ให้เกิดความรู้สึกขยะแขยงขึ้นมามากโข
“พี่ใหญ่โกรธมากเช่นนี้เห็นทีท่านพ่อคงหาวิธีเกลี้ยกล่อมเขาจนได้” ใจจริงแม่นางเหลียนก็นึกโกรธอีกฝ่ายไม่แพ้กัน
“หากเป็นเช่นนั้นจริงคงต้องขอบคุณแทนท่านพ่อเสียแล้วที่ไม่ถูกโยงเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ว่าจะเรื่องภายในหรือภายนอก” หยุนเชวี่ยหันมองหน้าหยุนลี่เต๋ออย่างนึกสงสารจับใจ
“อย่าทำทีเป็นรู้มากไปหน่อยเลย หยุดพล่ามเรื่องไร้สาระแล้วเข้านอนเสีย!”
“แต่ว่า…”
“รีบเข้านอนเถิด หรือวันพรุ่งนี้เจ้าไม่อยากเข้าเมือง?”
“ท่านพ่อ… ให้ข้าได้พูดอีกสักประโยคเถอะ เสี่ยวอู่ยังเล็กนัก ดังนั้นท่านควรจัดสรรที่ทางอันชัดเจนแก่เขาได้แล้ว ท่านจะปล่อยให้เขาร่ำเรียนโดยปราศจากความสงบในบ้านเช่นนี้ต่อไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด!” ครั้นกล่าวจบหยุนเชวี่ยจึงลุกขึ้นและดึงผ้าม่านกั้นปิดระหว่างเตียงทั้งสอง
หยุนลี่เต๋อเพียงหันไปมองใบหน้าของเสี่ยวอู่ที่กำลังหลับใหลในห้วงนิทรารมย์ด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย
“ท่านพี่อย่าได้คิดกังวลไปเลย เด็ก ๆ เข้านอนกันหมดแล้ว รีบพักผ่อนเอาแรงเสียหน่อยเถิด” เสียงนุ่มนวลของแม่นางเหลียนดังขึ้นด้วยต้องการปลอบประโลม
หยุนเชวี่ยยังนอนไม่หลับทีเดียว นางพลิกตัวนอนหงายก่อนหันหน้าไปทางด้านข้างกระทั่งเห็นพระจันทร์ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้าผ่านหน้าต่างบานหนึ่งที่เพียงปิดแง้มไว้
สายลมพัดโชยแผ่ว แสงจันทร์สว่างสุกใสท่ามกลางความมืดมิด บรรยากาศในแถบชนบทช่างปลอดโปร่งนัก
สภาพแวดล้อมเหล่านี้เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนอนดูดาวบนท้องฟ้าตอนกลางคืนเงียบ ๆ และตื่นนอนแต่เช้าตรู่
นี่แหละวันพักผ่อนที่แท้จริง!
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้หรอกว่าการเดินขึ้นลงบันไดเวียนในตัวอาคารทุกเช้าเย็นเป็นกิจวัตรที่น่าเบื่อเพียงใด!
“หลับหรือยัง?” ครู่ต่อมาหยุนลี่เต๋อซึ่งเพิ่งกลับมาจากห้องอาบน้ำเอ่ยถามแม่นางเหลียนด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ยังหรอก…” แม่นางเหลียนป้องปากหาว
หยุนลี่เต๋อนิ่งเงียบไปพักหนึ่งเพื่อใช้เวลาขบคิดและไตร่ตรอง “วันข้างหน้าหากเราย้ายออกไปจากที่นี่และแยกเป็นครอบครัวเดี่ยว เจ้ามีความเห็นเช่นไร?”
หยุนเชวี่ยซึ่งง่วงงุนใกล้ผล็อยหลับเต็มทีทว่าได้ยินบทสนทนาดังกล่าวเข้าเสียก่อน จึงขยี้ตาเพื่อปลุกให้ตัวเองตื่นและแอบฟังอย่างตั้งใจ
หยุนลี่เต๋อกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เชวี่ยเอ๋อพูดถูก ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกของครอบครัวเรา หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เสี่ยวอู่อาจเรียนรู้หนังสือได้ช้าลง”
ช่างเป็นความคิดที่ประเสริฐอะไรเช่นนี้!
แท้จริงหยุนลี่เต๋อยังรู้สึกวิตกกังวลไม่คลาย ตอนนี้เสี่ยวอู่ยังเยาว์วัยนัก จะเกิดอะไรขึ้นหากเขาคิดเจริญรอยตามนิสัยย่ำแย่เช่นหยุนลี่จง?!
“ท่านพี่พูดจริงหรือ?” แม่นางเหลียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็พลอยคลายความง่วงงุนไปด้วยเช่นกัน
“จริงสิ พวกเรามีที่พักพิงเพียงแห่งเดียวคือที่นี่ หากย้ายออกไปก็จำเป็นต้องหาที่อยู่ใหม่ ดังนั้นข้าจะขยันขันแข็งให้มากขึ้นและเก็บหอมรอมริบให้ดีทีเดียว”
หยุนลี่เต๋อเอ่ยถึงเป้าหมายเล็ก ๆ ด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
“ข้าเห็นควรตามคำของท่าน”
“ไว้ค่อยพูดคุยกันเถิด วันนี้เข้านอนเร็วสักหน่อย… พรุ่งนี้ต้องทำงานให้หนักยิ่งขึ้น!”
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อทำขนมปังให้”
ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงลมหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอดังลอดม่านกั้นเตียงอีกฝั่ง
เรื่องนี้นับว่าไม่ง่ายเลย หยุนลี่เต๋อช่างมีความมุ่งมั่นและแน่วแน่ยิ่งสิ่งใด เรื่องนี้ทำให้หยุนเชวี่ยรู้สึกยินดีไม่น้อย
ตามจริงแล้วการเสาะหาที่ลงหลักปักฐานแห่งใหม่ไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพย์สินมากนัก ภายในหมู่บ้านแห่งนี้ยังมีที่ดินว่างเปล่าอีกหลายแห่ง หากเจรจาขอความช่วยเหลือจากหวังหลี่เจิ้งแล้วเขาอาจเป็นธุระจัดหาที่ดินให้ได้
ส่วนวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างอาจต้องโค่นต้นไม้จำนวนมากจากภูเขาด้านหลังหมู่บ้าน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจำเป็นต้องใช้แรงกายและความเพียรพยายามอยู่บ้าง ทั้งยังสามารถใช้ดินโคลนผสมทรายเป็นตัวก่อฉาบผนังคล้ายปูนสำเร็จรูป ส่วนหินก้อนใหญ่ก็ใช้วิธีขุดหามาจากริมลำธาร และยังอาจเชิญชวนผู้คนให้มาลงแรงช่วยเหลือประมาณสองถึงสามวันเต็ม
หยุนเชวี่ยคิดพลางคำนวณเงินที่ได้รับจากการขายของเล่นซึ่งนับว่าไม่แย่นัก
…
ขณะเดียวกัน บนห้องทางฝั่งตะวันออก
ครั้นแม่นางจ้าวเงี่ยหูฟังและพบว่าภายนอกห้องเงียบสนิทปราศจากการเคลื่อนไหว นางจึงหรี่ตาลงและหันไปสะกิดีหยุนลี่จงซึ่งนอนอยู่ด้านข้าง
หยุนลี่จงเพียงพลิกตัวมาและนอนต่อ แม่นางจ้าวจึงออกแรงผลักเขาอีกครั้ง
“ทำอะไรของเจ้ากัน? นี่ยังกลางดึกอยู่แท้ ๆ” เขาพร่ำบ่นด้วยอาการสะลึมสะลือและลืมตาขึ้นมอง “เจ้าฟื้นแล้วหรอกรึ?”
“ภรรยาของท่านเจ็บป่วยเจียนตาย ท่านยังมีแก่ใจนอนหลับอย่างสบายอารมณ์อยู่ได้!” แม่นางจ้าวผุดลุกจากเตียงและเดินไปจุดตะเกียงน้ำมันขับไล่ความมืด
ส่วนหยุนลี่จงได้แต่ทำหน้างุนงงกับการกระทำของอีกฝ่าย
แม่นางจ้าวหยิบกระจกเงาบานเล็กออกมาจากใต้หมอนก่อนนั่งหันหน้าเข้าหาตะเกียงพลางยกมันขึ้นส่องอย่างละเอียด
“นับว่าโชคดีที่รอยแผลไม่ล้ำออกมานอกไรผม หากรอยลากยาวกว่านี้อีกเพียงนิ้วเดียวข้าจะฉีกหน้านังเด็กซิ่วเอ๋อนั่นเสีย!” ยิ่งเพ่งพิศมองรูปโฉมของตนนานเพียงใดแม่นางจ้าวก็นิ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความชิงชัง
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ผู้เป็นสามีเอ่ยถามเพียงเท่านั้นและเงียบเสียงไป
“เสียงแผ่วหวิวเช่นนี้กลัวว่าข้าจะได้ยินหรืออย่างไร?” แม่นางจ้าวเหลือบมองหยุนลี่จงด้วยหางตา
“นี่เจ้า…”
“ข้าจะทำให้ซิ่วเอ๋อเกรงกลัวเสียบ้าง เกิดมาตั้งหลายขวบปีไม่คิดสำเหนียกว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอย่างไร… นางจ้องจะเล่นงานข้าแต่เพียงผู้เดียว!”
“เรื่องที่ข้าสูญเงินค่าหมอรักษาเจ้า ข้าก็ยังโกรธไม่หายเช่นกัน” หยุนลี่จงเอนกายลงนอนและทำท่าทางกระฟัดกระเฟียดบ้าง
“ถึงกระนั้นข้าก็ไม่ได้ใช้เงินส่วนตัวของท่านเสียหน่อย! เหตุใดท่านไม่สนใจไยดีข้าบ้าง? เลือดที่เห็นนี้ใช่ของปลอมเสียเมื่อไรกัน?” แม่นางจ้าวหันขวับมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเชือดเฉือน เวลานี้นางไม่พอใจหยุนลี่จงอย่างยิ่ง
แม่นางจ้าววาดฝันมาตลอดว่าชีวิตนี้จะต้องตบแต่งกับบัณฑิตซึ่งเปี่ยมไปด้วยความสามารถอย่างน่าภาคภูมิ อีกทั้งในอนาคตอาจเลื่อนขั้นเป็นฮูหยินใหญ่ซึ่งได้รับคำสรรเสริญจากผู้คนทั้งใต้หล้า ไม่นึกเลยว่าบัณฑิตผู้นี้จะทำให้ตนต้องประสบกับความผิดหวังครั้งใหญ่ หยุนลี่จงเข้ารับการสอบเป็นขุนนางทุกปีทว่าประสบกับความล้มเหลวทุกคราไป หนำซ้ำยังเอาแต่ก้มศีรษะนอบน้อมต่อบุพการีผู้ชราทั้งสองโดยไร้ความคิดเป็นของตนเอง แม้แต่น้องสาวของตนยังไม่คิดมีปากเสียง!
จ้าวชื่อฉี!
สมัยยังสาวสดแม่นางจ้าวเคยเป็นถึงสตรีผู้มีความงามเลื่องลือที่สุดในแว่นแคว้น แล้วชีวิตของตนดิ่งลงเหวสู่จุดนี้ได้อย่างไรกัน? เวลานี้นางไม่อาจเชิดหน้าชูคอในตระกูลเดิมของตนได้ด้วยซ้ำ!
ทว่าครุ่นคิดให้เจ็บแค้นไปก็เท่านั้น ถึงอย่างไรแม่นางจ้าวก็ไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดในอดีต ทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทนต่อชะตากรรมตนต่อไป แม่นางจ้าวคาดหวังเหลือเกินว่าสักวันผู้เป็นสามีจะเจริญก้าวหน้าซึ่งหน้าที่การงานและพาตนก้าวสู่รุ่งอรุณใหม่ในเร็ววัน
หยุนลี่จงไม่กล่าวคำใดและหลับตาลงดังเดิมเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะคารม
ในใจของหยุนลี่จงนึกรำคาญที่ผู้เฒ่าหยุนไม่ยอมแบ่งสันปันส่วนเงินหนึ่งร้อยตำลึงจนถึงตอนนี้ ซ้ำร้ายนังเด็กหยุนเชวี่ยยังเหิมเกริมถึงขั้นต่อล้อต่อเถียงกับตน แม้แต่บ้านรองยังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่เปี่ยมสุขยิ่งกว่าครอบครัวของเขาเสียอีก!
“ข้าใคร่กล่าวอะไรเสียหน่อย…” แม่นางจ้าวเดินมานั่งลงข้างเตียงและออกแรงผลักสามีอีกครั้ง “ครั้งนี้ข้าจะทำเป็นไม่ตื่นขึ้นมา ให้ซิ่วเอ๋อคิดไปว่าข้าหวาดกลัวนางถึงเพียงนี้และฉวยโอกาสเอาชนะนางเสีย ไม่แน่ว่าท่านพ่ออาจเห็นใจและมอบเงินให้ท่านหนึ่งร้อยตำลึง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเปลือกตาของหยุนลี่จงจึงเผยอขึ้นอีกครั้งขณะครุ่นคิดตามแผนการของแม่นางจ้าว
นี่ถือเป็นหนทางที่ไม่เลว! ไม่ว่าแม่นางจ้าวจะผูกคอตายจริงหรือไม่ก็ตาม ผู้เฒ่าหยุนอาจแก้ไขเรื่องราวดังกล่าวให้คลี่คลายโดยการแบ่งเงินร้อยตำลึงให้แก่เขาอย่างไม่ต้องสงสัย
“นับว่าเจ้ามีไหวพริบปราดเปรื่องทีเดียว” หยุนลี่จงเอ่ยตอบรับพร้อมเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ฮึ่ม!” แม่นางจ้าวปรายตามองหยุนลี่จงอีกครั้งก่อนซุกกระจกเงาไว้ใต้หมอนดังเดิมและเป่าเปลวไฟในตะเกียงให้ดับลง
“เช่นนั้นเจ้าจงนอนรออยู่แต่ในห้องนี้เถิด วันพรุ่งนี้ข้าจะไปพบท่านพ่อและร้องไห้คร่ำครวญเสียหน่อย…”
“ทุกสิ่งที่ข้าทำลงไปล้วนทำเพื่อท่านทั้งสิ้น…”
“ข้ารู้… ข้ารู้แล้ว!”
………………………………..