ตอนที่ 122 กัดฟันซื้อ!

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 122 กัดฟันซื้อ!

บทสนทนาจบลงพร้อมกับยามค่ำคืนที่ผ่านพ้นไป…

เช้าตรู่ขณะที่ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่าง ทุกคนต่างสะดุ้งตื่นเพราะเสียงร้องไห้ของหยุนลี่จงที่ดังลั่นไปทั่วบริเวณบ้าน

“ท่านพ่อ! ลูกสะใภ้ของท่านนอนนิ่งไม่ไหวติงเกือบทั้งคืน เกรงว่าจะไม่ดีเสียแล้ว…”

“ร้องไห้คร่ำครวญอะไรตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเช่นนี้?! เมื่อวานนี้หมอบอกแล้วมิใช่รึว่านางไม่ได้เจ็บป่วยมากจนเจียนตาย ทีบุพการีเจ้ายังไม่เคยคิดกตัญญู!” แม่เฒ่าจูตะโกนสาปแช่ง

“หากผ่านพ้นคืนนี้แล้วนางอาการทรุดลง ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร…” หยุนลี่จงยังคงหวนไห้ต่อไป

“นับตั้งแต่มีเหย้ามีเรือนเจ้าลูกชายตัวดีกลับลุ่มหลงภรรยาจนลืมบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเสียสิ้น เจ้าลูกทรพี! คำพูดของแม่เจ้าหมดความหมายแล้วหรืออย่างไรกัน?!” แม่เฒ่าจูยิ่งแผดเสียงก่นด่าให้แหลมสูงยิ่งกว่าเก่า

“เกิดอะไรขึ้น? พี่สะใภ้ใหญ่อาการทรุดลงอย่างนั้นรึ?” แม่นางเฉินอ้าปากหาวขณะเดินออกมาจากห้องพลางเอามือสอดใต้วงแขนและออกแรงเกาอย่างเกียจคร้าน

หยุนลี่จงแสดงสีหน้าเศร้าสร้อยยิ่งขึ้นและทรุดกายลงกระแทกกับธรณีประตูอย่างอ่อนแรง

“ไอหยา… หากนิ่งเงียบเช่นนี้ ก็คงไม่มีผู้ใดช่วยเหลือได้หรอก” แม่นางเฉินใช้มือทุบปากตนเองเบา ๆ ก่อนเดินเลี่ยงเข้าไปในครัว

หยุนเชวี่ยตื่นแล้วและกำลังนั่งยอง ๆ ล้างผักโดยหันหน้าไปทางห้องครัว ครั้นเงยหน้าขึ้นจึงบังเอิญเห็นภาพแม่นางเฉินเอามือออกจากรักแร้และนำมาอังไว้ใต้จมูกเพื่อสูดดมกลิ่น จากนั้นจึงใช้มือข้างเดียวกันคว้าขนมรังนกวางเก็บไว้ในลิ้นชักเหมือนไม่เคยทำกิริยาน่ารังเกียจใด

“แหวะ…” หยุนเชวี่ยรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาทันที

“เป็นอะไรไปรึ?” หยุนเยี่ยนเอ่ยถาม

“ปะ…เปล่า ข้าไม่ได้เป็นอะไร” หยุนเชวี่ยตอบและรีบละสายตาจากภาพอุจาดตานั้น

เมื่อเบือนหน้าหนีแล้วค่อยรู้สึกจรรโลงสายตาขึ้นมาหน่อย

“พี่สะใภ้ใหญ่ยังไม่ตื่นอีกหรือ? เมื่อวานนี้เห็นว่าเล็บของนางบวมโตผิดปกติเท่านั้น เหตุใดวันนี้อาการจึงทรุดหนักลงได้?” แม่นางเหลียนนึกสงสัย

หยุนลี่เต๋อไม่ออกความเห็นใดเพราะมัวจดจ่ออยู่กับการใช้หินลับคมมีดและขวานผ่าฟืน

ช่วงบ่ายของเมื่อวานหยุนลี่เต๋อหมายตาต้นไม้ต้นหนึ่งบนภูเขาซึ่งมีลักษณะพอเหมาะจึงคิดออกไปตัดในวันนี้เพื่อนำมาสร้างเป็นโต๊ะไม้

“หากไม่ดีขึ้นเสียทีเหตุใดจึงไม่เดินทางเข้าเมืองและเสาะหาหมอฝีมือดีมารักษาแทนเล่า?” แม่นางเหลียนพลอยใจอ่อนยวบด้วยความสงสาร ด้วยไม่ต้องการเห็นแม่นางจ้าวทุกข์ทรมานไปมากกว่าที่เป็นอยู่

“ท่านแม่ อย่ากังวลไปเลย… นางยังมีลุงใหญ่คอยดูแล หากเป็นข้าย่อมไม่เก็บมาใส่ใจด้วยซ้ำ” หยุนเชวี่ยกล่าวจบก็สูดจมูกฟุดฟิด “ข้าได้กลิ่นไหม้!”

“โอ๊ะ! ปล่อยให้ไฟร้อนเกินไปนี่เอง”

เมื่อรู้ตัวเร็วโจ๊กข้าวฟ่างซึ่งเป็นอาหารมื้อเช้าจึงยังไม่ไหม้เสียจนกินไม่ได้ แต่อาจมีรสขมเจือปนอยู่บ้าง

“แม่เพียงห่วงใยป้าสะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้าเท่านั้น” แม่นางเหลียนตักช้อนขึ้นชิมก่อนเผยรอยยิ้มกว้าง “เอาล่ะ กินได้แล้ว”

“เช่นนั้นเราควรนำไก่ฟ้ามาปรุงซุปแล้วส่งให้ป้าสะใภ้ใหญ่ดีหรือไม่?” หยุนเยี่ยนยังคงมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเช่นมารดาของตน

หยุนเชวี่ยกลืนโจ๊กลงคอคำใหญ่ก่อนโพล่งขึ้นบ้าง “ข้าให้คำมั่นกับลูกค้าสองสามรายว่าจะส่งของเล่นให้พวกเขาในวันนี้ การทำธุรกิจต้องสัตย์ซื่อ… จะผิดนัดไม่ได้เด็ดขาด”

ใช่ว่าหยุนเชวี่ยตระหนี่เสียจนไม่ยอมแบ่งปันไก่ฟ้าที่มีให้คนอื่น แต่กว่าที่นางจะขุนมันให้อวบอ้วนเพียงนี้ การจะยกให้ใครไปโดยเสน่หาเห็นทีจะเสียประโยชน์เกินไปกระมัง

“เรื่องนั้นรอให้พ่อของเจ้ากลับมาจากภูเขาในช่วงบ่ายนี้ก่อนเถิด” แม่นางเหลียนทำหูทวนลม

“แล้วเรื่องไก่ในเล้าของพวกเรา…”

“นั่นก็เพื่อแสดงความปรารถนาดีอย่างไรล่ะ”

ในเมื่อมีเจตนาดีแรงกล้ากันเช่นนี้แล้วหยุนเชวี่ยจะต่อต้านอย่างไรได้

หลังทานอาหารมื้อเช้าเสร็จสหายร่วมทางทั้งสี่จึงคว้าตะกร้าสานติดมือมาคนละใบและออกเดินทางเข้าเมือง

วันนี้แปลกตาไปจากทุกวันเพราะพวกเขาออกจากบ้านช้ากว่าวันอื่น ทุ่งนาสองฟากฝั่งจึงมีคนงานหลายรายกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น

“โอ้! นั่นพวกเด็ก ๆ ที่กำลังจะไปค้าขายไม่ใช่รึ?” ฉือต้าตะโกนเรียกขณะรดน้ำแปลงพืช

“ถูกแล้ว!” เหลียวชีจินเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงก่อนพยักหน้า

“เด็ก ๆ ในหมู่บ้านของเรามีหัวการค้าปราดเปรื่องไม่น้อย!”

“คอยดูเถิด… ไม่แน่ในอนาคตข้าอาจสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำอย่างไม่ต้องสงสัย”

“ฮ่าฮ่าฮ่า! หมู่บ้านของเราจะมีเศรษฐีรายใหม่แล้ว!”

แม้คำพูดเหล่านั้นจะเป็นเพียงถ้อยคำที่แซวเล่นกันในหมู่คนรู้จัก ทว่าเมื่อทุกคนได้ยินแล้วกลับเกิดรอยยิ้มอิ่มเอมใจ

หากเปรียบเทียบกับบรรดาพ่อค้าที่ทำธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ในเมือง พวกเขายังถือว่าทำเงินได้เพียงน้อยนิด แต่บรรยากาศแวดล้อมกลับเปลี่ยนไปเมื่อถูกผู้คนซักถามบ่อยครั้งจนเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

โดยเฉพาะเหลียวซีจินและเผยเสี่ยวส้วยที่ยืดอกอย่างภาคภูมิกว่าเก่า ขณะย่างเท้าเดินกลับรู้สึกราวมีลมมาหนุนอยู่ใต้ฝ่าเท้าจนแทบจะลอยจากพื้นดิน

“เมื่อวานนี้ข้ามอบเงินที่หามาได้ให้ท่านแม่ทั้งหมด ไม่น่าเชื่อว่านางจะปลื้มปริ่มถึงขั้นร้องไห้ทีเดียว” เหลียวชีจินกล่าวพลางยกตะกร้าขึ้น

เผยเสี่ยวส้วยพยักหน้า “ท่านแม่ของข้าก็เช่นกัน เมื่อวานนี้นางไม่อยากกัดกินซาลาเปาไส้เนื้อที่ข้าซื้อไปฝากนางแม้แต่คำเดียว”

“เรายังเหลือบ๊วยดองอีกกี่ถุง?” เหอยาโถวเอ่ยถาม

“เจ็ดสิบห้าถุง” หยุนเชวี่ยตอบอย่างฉะฉาน “ฉันว่าจะแบ่งอีกส่วนให้ชีจีนกับเสี่ยวส้วยไปขาย ส่วนพวกเราแยกไปเดินขายอีกทาง… ดีหรือไม่?”

“ดีทีเดียว! ข้าคิดไว้พอดีว่าจะซื้อของบางอย่างไปฝากท่านแม่และพี่สาว” เหอยาโถวตอบตกลงอย่างง่ายดาย

“พวกเจ้าสองคนทำได้หรือไม่?” หยุนเชวี่ยต้องการกระตุ้นให้พวกเขาขายได้มากขึ้นกว่าวันก่อนหน้า

“แน่นอน!”

“เช่นนั้นเจ้าต้องช่วยกันตะเบ็งเสียง ขายบ๊วยดองที่มีให้หมดเกลี้ยง!”

เหลียวชีจินและเผยเสี่ยวส้วยพยักหน้ารับคำโดยพร้อมเพรียงกัน

มณฑลอันผิง

ทันทีที่มาถึงตัวเมืองเหลียวชีจินและเผยเสี่ยวส้วยจึงแยกเดินไปคนละทาง คนหนึ่งมุ่งไปทางทิศใต้ ส่วนอีกคนมุ่งไปทางทิศเหนือ

“บ๊วยดองสดใหม่ รสชาติหวานอมเปรี้ยว ลิ้มรสก่อนถูกใจค่อยซื้อหา ราคาถุงละห้าเหรียญเท่านั้น… ลุงป้าน้าอาเดินผ่านแล้วหยุดชิมก่อนได้…”

หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวเดินตัวปลิวเพราะไม่มีภาระขายบ๊วยดองเช่นสองคนนั้น

“ดูสิ ตอนนี้เราเหมือนเป็นเจ้าของร้านเลยล่ะ!” เหอยาโถวสะบัดชายเสื้อตัวใหม่ให้พลิ้วตามลม

“ไม่ใช่ว่าพวกเราเป็นเจ้าของร้านอยู่แล้วหรือ?” หยุนเชวี่ยแก้ไขความเข้าใจนั้นเสียใหม่

“จริงสิ! ข้าเป็นเจ้าของร้านต่างหาก ไปต่อกันเถอะ เฮ้!”

“ข้าต้องแวะไปส่งของก่อน”

“ไกลหรือไม่?”

“เดินตรงไปตามทางนี่แหละ ข้าใคร่หาซื้อของให้พี่สาว เสี่ยวอู่ และท่านแม่ด้วย”

มณฑลอันผิงถือเป็นเทศมณฑลขนาดใหญ่ สองฟากฝั่งถนนเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านขายผ้า โรงบ่มสุรา ร้านหนังสือ ร้านขายตลับชาด หรือแม้แต่ร้านขายเครื่องประดับมุกและหยกสวยงาม

หยุนเชวี่ยหันมองตลอดสองข้างทางจนตาพร่า

ความจริงแล้วหยุนเชวี่ยต้องการเลือกซื้อสินค้าทุกร้านด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่เงินในกระเป๋ามีอยู่อย่างจำกัด

ส่วนเหอยาโถวใจป้ำกว่า เขาเลือกซื้อตลับชาดให้แม่และพี่สาวทั้งสามของตนอย่างพิถีพิถัน เพียงพริบตาเดียวเงินจำนวนหนึ่งซึ่งหามาได้เมื่อวานนี้จึงหมดเกลี้ยง

“เจ้าลองดมนี่ดูสิ กลิ่นช่างหอมละมุนนัก” เหอยาโถวเปิดฝาตลับลวดลายประณีตออกและนำไปอังไว้ใต้จมูกหยุนเชวี่ย

หยุนเชวี่ยมองตามตลับเครื่องสำอางในมืออีกฝ่าย ไม่เลวทีเดียว! รสนิยมและวิธีการเลือกสรรของเหอยาโถวดูดีไม่น้อย มีทั้งตลับชาดสีชมพู สีแดงสด สีแดงอมม่วง และผงแป้งซึ่งสกัดจากดอกโบตั๋น ดูเหมือนเหอยาโถวจะรู้ข้อมูลเหล่านี้ดียิ่งกว่าสตรีเพศเสียอีก

“แล้วเจ้าต้องการซื้อสิ่งใดหรือ? พวกเราเดินเรื่อยเปื่อยกันมาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว” เหอยาโถวเอ่ยถาม

“ข้าต้องการพู่กันให้เสี่ยวอู่… ผ้าสีสันสดใสสำหรับพี่หยุนเยี่ยนไว้เย็บรองเท้า และตลับชาดสีแดงสำหรับท่านแม่”

หยุนเชวี่ยพูดพลางคิดคำนวณตัวเงินที่ต้องใช้จับจ่ายอย่างรวดเร็วและพบว่าสิ่งของเหล่านั้นต้องใช้เงินถึงหนึ่งร้อยเหรียญเลยทีเดียว!

“หากรู้เป้าหมายชัดเจนเช่นนี้แล้วก็รีบเลือกซื้อเถิด! อย่างไรเจ้าก็หาเงินมาชดเชยได้อยู่แล้ว” เหอยาโถวไม่เสียเวลาคิดคำนึงให้มากความ

“สาวน้อย… ท่านแม่ของเจ้าอายุประมาณเท่าใดหรือ? ผิวขาวหรือผิวเหลือง? ตลับชาดร้านเรานับว่าคุณภาพดีที่สุดในเขตนี้ แม้แต่ฮูหยินใหญ่ของท่านนายอำเภอและสาวใช้ในจวนยังเลือกซื้อเครื่องประทินผิวจากร้านของข้า…” พ่อค้าพยายามใช้วิธีพูดโน้มน้าวอย่างชำนาญ

หยุนเชวี่ยขบริมฝีปากล่างแน่นขณะชั่งใจ

ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกว่าในอนาคตจะหาเงินให้มากเพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ของครอบครัวมิใช่หรือ? เช่นนั้นยอมซื้อก็แล้วกัน!

หยุนเชวี่ยกัดฟันซื้อตลับชาดสีแดงตามที่พ่อค้าแนะนำ จากนั้นจึงผละไปหาซื้อพู่กันอย่างดีมาด้ามหนึ่งก่อนพุ่งตัวไปที่ร้านขายผ้าเพื่อเลือกซื้อผ้าสีเหลืองและสีเขียวใบไผ่ที่ราคาไม่สูงมาก ทั้งยังเลือกซื้อสะดึงสำหรับช่วยปักมาด้วย

สิ่งของทั้งหมดนี้รวมกันเป็นราคาหนึ่งร้อยเหรียญพอดิบพอดี!

หยุนเชวี่ยเผลอเอามือไปแตกกระเป๋าเงินที่ยุบลงจนแบนราบ แม้เงินที่มีร่อยหรอลงไปแต่กลับรู้สึกเปี่ยมสุข

“เหตุใดเจ้าไม่ซื้อของให้ตนเองบ้างเล่า?”

เหอยาโถวสังเกตเพียงเห็นภาพหยุนเชวี่ยซื้อของให้คนในครอบครัว หนำซ้ำยังเจรจาต่อรองราคากับพ่อค้าแม่ค้าครั้งแล้วครั้งเล่า เขารู้สึกว่านางตระหนี่ไม่แพ้แม่เฒ่าจูด้วยซ้ำ เหอยาโถวไม่เข้าใจว่าตราบใดที่หาเงินได้ด้วยตนเองแล้วจะคิดประหยัดไปด้วยเหตุผลใด?