ตอนที่ 123 นายน้อยเจิ้งแห่งภัตตาคาร

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 123 นายน้อยเจิ้งแห่งภัตตาคาร

“ข้ารับปากชีจินและเสี่ยวส้วยไว้ หากขายบ๊วยดองจนหมดตะกร้าแล้วให้ไปซื้อไก่ย่างจากภัตตาคารหลงชิงมาแบ่งกันกิน”

หยุนเชวี่ยนึกขึ้นได้ว่าตนต้องรักษาคำพูด

ยามเที่ยงซึ่งเป็นเวลาของมื้ออาหารกลางวัน ภัตตาคารหลงชิงจึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา

ลูกจ้างคนหนึ่งซึ่งสวมชุดและคาดผ้าผืนยาวสีน้ำเงินกรมท่าทับเอวด้านนอกเปิดประตูร้านออกกว้างพลางทักทายลูกค้าใหม่ที่ยืนอยู่ด้านนอก “ลูกค้าสี่ท่านเชิญเข้ามาด้านใน”

ภายในร้านเป็นห้องโถงสี่เหลี่ยมกว้างขวางสูงโปร่ง

โต๊ะซึ่งผลิตขึ้นจากไม้เนื้อดีได้รับการขัดมันอย่างเอาใจใส่ บุรุษทุกคนในร้านแม้มีความสูงหรือรูปร่างแตกต่างทว่าสวมชุดแบบเดียวกัน กางเกงขาก๊วยสีกรมท่า ผูกผ้าผืนยาวไว้รอบเอว บนศีรษะสวมหมวกใบเล็กและถือผ้าขี้ริ้วติดมือคนละผืน แต่ละคนต่างทักทายลูกค้าด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าได้รับการอบรมจากเจ้าของร้านมาอย่างดี

“นี่ขอรับ… ซุปเป็ดตุ๋นเปลือกส้มเขียวหวาน…”

“ได้แล้วขอรับ หัวปลาต้มเต้าหู้ของท่าน…”

“เนื้อวัวลวกจิ้มมาแล้วขอรับ!”

เหล่าเด็กหนุ่มในร้านต่างวิ่งแจกจ่ายอาหารอย่างขยันขันแข็งพลางร้องบอกชื่ออาหารด้วยเสียงดังฟังชัด บรรยากาศภายในร้านเต็มไปด้วยชีวิตชีวาน่านั่ง

“โอ้ ลูกค้าตัวน้อยทั้งสี่ของเรา ตอนนี้ที่นั่งชั้นล่างเต็มหมดแล้ว เชิญขึ้นไปชั้นบนก่อนเถิด” เด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งอายุมากกว่าพวกเขาไม่กี่ปีผายมือเชิญชวนด้วยความชำนาญ

จากนั้นทุกคนจึงก้าวขึ้นบันไดไม้สู่ชั้นสองของร้านและเลือกนั่งลงตรงโต๊ะริมหน้าต่าง

“ลูกค้าทั้งสี่ต้องการทานอะไรเป็นพิเศษหรือ? ร้านของเรามีไก่ย่างเป็นที่เลื่องชื่อ ทั้งยังมีเนื้อตุ๋น ขาหมูตุ๋นซีอิ๊ว และปลาคาร์ปนึ่ง…” เด็กหนุ่มคนเดิมตามมารับคำสั่ง

“ขอเป็นไก่ย่างหนึ่งจาน” หยุนเชวี่ยหันไปสั่ง

“มีชาร้อนสำหรับดับกระหายไม่คิดเงิน ต้องการรับสักกาหนึ่งหรือไม่?”

“ดีเลย!” เผยเสี่ยวส้วยและเหลียวชีจินพยักหน้าพร้อมกัน

ผ่านไปครู่หนึ่งเด็กหนุ่มจึงนำกาน้ำชามาวางไว้บนโต๊ะ ทั้งสี่จึงผลัดกันรินชาและยกดื่มเพื่อดับกระหาย

“นี่เป็นร้านอาหารของว่าที่พี่เขยเหอยาโถวมิใช่หรือ?” เหลียวชีจินกวาดสายตามองโดยรอบพลางผ่อนลมหายใจออก “ช่างดูดีสมฐานะเสียเหลือเกิน”

ทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้ข่าวนี้เป็นอย่างดีว่าเหอเซียงเอ๋อกำลังเตรียมตัวตบแต่งเข้าตระกูลหนึ่งซึ่งมีฐานะมั่งคั่งในตัวเมืองหลังผ่านพ้นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ซึ่งตระกูลร่ำรวยของว่าที่เจ้าบ่าวก็คือเจ้าของภัตตาคารหลงชิงแห่งนี้

ผู้คนในหมู่บ้านรู้เพียงชื่อเสียงเรียงนามของตระกูลว่าที่สามีของเหอเซียงเอ๋อเท่านั้น ทั้งยังรับรู้ว่าเขาเปิดร้านอาหารชื่อเสียงโด่งดังในตัวเมืองของมณฑลอันผิง แต่น้อยคนนักที่มีโอกาสได้เข้ามาเห็นด้วยตาเช่นนี้

เพราะราคาของอาหารแต่ละอย่างนั้นมีมูลค่าสูงถึงจานละหลายสิบเหรียญ หากเจียดเงินจำนวนหนึ่งมาซื้อเนื้อไก่และปรุงกินเองอาจดูคุ้มค่าสำหรับทั้งครอบครัวขนาดย่อมเสียมากกว่า

“พี่เซียงเอ๋อช่างโชคดีเสียจริงที่ได้แต่งงานกับเจ้าของร้านนี้ เช่นนี้คงได้กินไก่ย่างรสเลิศทุกวันเลยน่ะสิ!” เผยเสี่ยวส้วยแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยความอิจฉา

“ไม่ใช่เพียงไก่ย่างอย่างเดียวเท่านั้น…”

กลิ่นอาหารอันโอชะและหอมกรุ่นลอยขึ้นมาจากชั้นล่างชวนให้น้ำลายสอ เหลียวชีจินหยุดกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนกล่าวต่อ “อย่าลืมว่ายังมีขาวัวตุ๋นและขนมหวานอีกหลายหลาก พี่เซียงเอ๋อสามารถกินได้ทุกสิ่งตราบที่ต้องการเลยเชียว!”

เหอยาโถวหันขวับไปมองอีกฝ่ายทันที “พี่สาวของข้าไม่มีอุปนิสัยตะกละเช่นอาสะใภ้สามของตระกูลหยุน แล้วจะกินอาหารมากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน?!”

“พรืด!” หยุนเชวี่ยฟังจบจึงพ่นน้ำชาที่กำลังดื่มจนกระเด็นเลอะไปทั่วเพราะไม่อาจกลั้นขำได้

“ฮ่าฮ่าฮ่า!”

“ไก่ย่างมาแล้ว! ทานให้อร่อย…”

ขณะที่ทั้งสี่กำลังระเบิดเสียงหัวเราะขบขัน อาหารจานเด็ดอันเลื่องชื่อของภัตตาคารหลงชิงก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะตรงหน้าแล้ว

ขนาดของไก่ทั้งตัวไม่อวบอ้วนหรือผอมแห้งแต่มีเนื้อหนังพอประมาณ ลำตัวคว่ำอยู่บนจานกระเบื้องเนื้อละเอียด ขาผูกเชือกขดไว้ใต้ท้อง ลำคอเชิดสูง หนังไก่เคลือบซอสสูตรเฉพาะและเกรียมเล็กน้อยเป็นสีส้มแดงอมน้ำตาลอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังมันวาวเพราะน้ำมันที่เคลือบทาไว้ชั้นนอก ไอร้อนจากตัวไก่พวยพุ่งพัดเอากลิ่นหอมปะทะจมูกของทุกคนโดยตรง

“เอื้อก…” เสียงใครคนหนึ่งกลืนน้ำลายลงคออย่างหิวโหย

เหลียวชีจินและเผยเสี่ยวส้วยจับจ้องไปที่ไก่ย่างตรงหน้าจนดวงตากลมโตแทบถลน

“เริ่มกินกันเถอะ!” ปลายจมูกของหยุนเชวี่ยขยับฟุดฟิดด้วยความโหยหิวเช่นกัน สมควรแล้วที่นางเคยได้รับฉายาลับ ๆ ว่าเล่าจื๊อ

เด็กชายสองคนยิ้มแหย แม้ไก่วางอยู่ตรงหน้ากลับไม่รู้ว่าควรเริ่มจากส่วนไหนก่อนดี

“เหตุใดไม่รีบกินเล่า? ปล่อยให้เย็นชืดประเดี๋ยวอาหารจะเสียรสเอาได้” หยุนเชวี่ยพร่ำบ่นพลางถลกแขนเสื้อของตนขึ้นและดึงน่องไก่ขาหนึ่งยื่นให้เผยเสี่ยวส้วย จากนั้นจึงดึงน่องไก่ออกมาอีกข้างและยื่นให้เหลียวชีจิน

เนื้อไก่อวบด้านในนั้นชุ่มฉ่ำเพราะความสุกที่เหมาะสม ไม่แห้งจนเกินไปหรือดิบเสียจนมีกลิ่นคาว อีกทั้งกระดูกยังดึงให้ขาดออกจากกันได้โดยง่ายแสดงให้เห็นถึงความสดใหม่ ทันทีที่ฉีกให้เนื้อแยกออกจากกันจึงมีน้ำที่ชุ่มฉ่ำกระเซ็นออกมาตามแรงดึงเล็กน้อย

“อื้อฮือ!” เหลียวชีจินอุทานเสียงดังทันทีที่ลิ้มรสชาติไก่ย่าง จิตสำนึกรู้สึกปีติยินดีจนแทบร้องไห้ด้วยไม่เคยสัมผัสอาหารเลิศรสเช่นนี้ เขาพูดความรู้สึกของตนด้วยปลายลิ้นที่สั่นเทา “นี่เป็นอาหารมื้อที่ดีที่สุดในชีวิตของข้าเลยล่ะ!”

ส่วนเผยเสี่ยวส้วยพูดย้ำคำเดิมซ้ำ ๆ “ข้าด้วย! ข้าด้วย!”

“เอ้า! นี่! สำหรับเจ้า…” เหอยาโถวฉีกส่วนปีกของไก่ออกด้านหนึ่งและยื่นให้หยุนเชวี่ยพลางโน้มศีรษะไปกระซิบ “ครั้งหน้าข้าจะซื้อไก่ย่างไว้อีกและเก็บส่วนน่องไว้ให้เจ้า”

“ข้าไม่ชอบกินน่อง ข้าชอบกินปีกนี่แหละ” หยุนเชวี่ยรับปีกไก่จากมือเหอยาโถวด้วยปลายนิ้วเพราะมันยังร้อนระอุอยู่บ้าง

หยุนเชวี่ยค่อย ๆ แทะกินจากปลายปีกอย่างเนิบช้าเพื่อลิ้มรสความอร่อยให้ได้มากที่สุดและดูดเนื้อออกจากกระดูกจนสะอาดเกลี้ยง

เหอยาโถวนั่งยิ้มและมองดูมิตรทั้งสามที่กำลังมีความสุขอยู่กับอาหารตรงหน้าก่อนเอื้อมมือที่มันเยิ้มไปหักส่วนคอไก่ออกและเริ่มต้นแทะด้วยท่าทางราวเอร็ดอร่อยเสียเต็มประดา

“เหตุใดเจ้าไม่กินเนื้อเล่า?” เผยเสี่ยวส้วยถามเมื่อเงยหน้าขึ้นและเห็นเหอยาโถวเลือกหักคอแทนฉีกเนื้อออกมากิน

“ข้าชอบคอไก่ที่สุด”

“คอไก่มีแต่เอ็นและกระดูกเต็มไปหมด น่าอร่อยตรงไหนกัน?” เผยเสี่ยวส้วยฉีกปีกไก่อีกข้างยื่นให้เขา

“อร่อยสิ มีรสชาติกลมกล่อมจะตายไป” เหอยาโถวรับปีกไก่จากมือเสี่ยวส้วยเอ๋อก่อนนำไปวางไว้ตรงหน้าหยุนเชวี่ยแทน “หยุนเชวี่ยต่างหากที่ชอบกินปีก”

เผยเสี่ยวส้วยพองแก้มและก้มหน้าลงอย่างขัดใจ

หยุนเชวี่ยยกนิ้วโป้งชื่นชมเขา ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเหอยาโถวจะมีน้ำใจประเสริฐและช่างเสียสละถึงเพียงนี้

ไก่ย่างทั้งตัววางตระหง่านอยู่ตรงหน้า ส่วนน่องลงไปอยู่ในท้องของเหลียวชีจินและเผยเสี่ยวส้วยแล้ว ส่วนปีกก็มากองรวมอยู่ที่นาง แต่เหอยาโถวกลับนั่งแทะคอไก่เพียงอย่างเดียว

“แต่ไก่นี่อร่อยมากทีเดียว!” เหลียวชีจินเอนหลังลงกับพนักเก้าอี้อย่างสบายอุรา ไก่อีกชิ้นหนึ่งเพิ่งถูกบดเคี้ยวและกลืนลงคอไป

“วันข้างหน้าหากข้าหาเงินด้วยตนเองได้มากพอละก็ ข้าจะพาท่านแม่มากินอาหารที่ภัตตาคารหลงชิงแห่งนี้!” เผยเสี่ยวส้วยแลบลิ้นเลียริมฝีปาก

หยุนเชวี่ยยกถ้วยชาขึ้นจิบก่อนหยิบกระเป๋าเงินขึ้นนับอย่างเปิดเผยพลางตะโกนเรียกพนักงาน “เสี่ยวเอ้อ! คิดเงินที”

“โอ้! ลูกค้าตัวน้อยทั้งสี่อิ่มหนำสำราญเร็วนัก” เด็กหนุ่มรีบตรงเข้ามาใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดโต๊ะอย่างรวดเร็วก่อนพูดพร้อมยิ้มแย้มแจ่มใส “นายน้อยแจ้งให้ทราบเมื่อครู่ว่าเขายินดีไม่คิดเงินครั้งนี้ และหากพวกท่านต้องการกินอะไรอีกก็สามารถสั่งเพิ่มได้อย่างเต็มที่!”

นายน้อยงั้นหรือ?!

เด็กทั้งสี่ที่ได้ยินเช่นนั้นถึงขั้นตกตะลึงนิ่งไป พวกเขาเริ่มระลึกว่านายน้อยที่บริกรกล่าวถึงคือเจ้าของร้านอาหารภัตตาคารหลงชิงซึ่งจะแต่งงานกับพี่สาวคนที่สามของเหอยาโถวในเร็ววันนี้หรือไม่?

“น้องชายว่าที่ภรรยาของข้านับเป็นแขกผู้มีเกียรติ เช่นนั้นจะให้ข้าเรียกเก็บเงินจากเขาได้อย่างไรกัน?”

น้ำเสียงของบุรุษหนุ่มที่ชัดเจนดังขึ้นจากชั้นสามก่อนที่เจ้าตัวจะเดินลงมาและปรากฏโฉมหน้าให้ทุกคนได้ประจักษ์ เขาสวมเสื้อคลุมแพรยาวสีครามเข้ม เข็มขัดทำจากหยกขาวเนื้อดี รองเท้าหนังเป็นสีขาวนวลพระจันทร์ มือข้างหนึ่งโบกพัดแต้มลายทิวทัศน์แนบเข้าหาลำตัว

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือคนธรรมดาสามัญพึ่งพาเครื่องนุ่งห่ม ส่วนพระโพธิสัตว์อาศัยเครื่องนุ่งห่มทองคำ

แม้บุรุษผู้นี้ไร้รูปกายอันโดดเด่นแต่กลับดูสง่างามน่าเกรงขามยิ่ง

“พี่เจิ้งเอ้อ!” เหอยาโถวร้องเรียกอีกฝ่ายอย่างกระดากอาย

นายน้อยหนุ่มผู้นี้ยังไม่ได้เข้าพิธีคำนับฟ้าดินกับพี่สาวของเหอยาโถวอย่างเป็นทางการ เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถเรียกเขาว่าพี่เขยได้อย่างเต็มปาก นอกจากนี้เหอยาโถวยังเคยพบหน้าอีกฝ่ายเพียงสองครั้งเท่านั้นตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายมาเจรจาสู่ขอ เขาคิดว่าตนยังไม่สนิทสนมกับว่าที่พี่เขยถึงเพียงนั้น

“ข้าเห็นว่าเด็กชายผู้หนึ่งช่างละม้ายคล้ายเจ้านักขณะเดินขึ้นมาจากชั้นล่าง แต่ยังไม่อาจระบุชัดว่าเป็นเจ้าจริงหรือไม่จึงไม่ได้เข้ามาทักทาย…” นายน้อยเจิ้งหรี่ตามองเหอยาโถวพร้อมเผยรอยยิ้ม “เจ้าสืบทอดหน้าตาของตระกูลมาไม่มีผิดเพี้ยน หากเติบโตขึ้นจะต้องกลายเป็นหนุ่มรูปงามเป็นแน่!”

“พี่เจิ้งเอ้อเยินยอข้าเกินไปแล้ว” เหอยาโถวค้อมตัวลงรับคำชื่นชมนั้นอย่างสุภาพ

“ครั้งหน้าหากน้องชายภรรยาของข้ามาที่นี่อีก เจ้าจะต้องจดจำเขาให้แม่นยำและแจ้งให้ข้าทราบด้วย” นายน้อยแห่งตระกูลเจิ้งสะบัดพัดในมือครั้งหนึ่งขณะกล่าวกำชับกับบริกร

“ขอรับ! ทราบแล้วขอรับ!” พนักงานพยักหน้าและโค้งคำนับรับคำสั่ง

“ข้ายังมีแขกคนสำคัญที่ต้องไปพบที่ห้องอาหารพิเศษชั้นบน…” เจิ้งเอ้อฉ่าวรวบแขนเสื้อเพื่อชี้ไปที่ชั้นสามอย่างอารมณ์ดี “น้องชาย… สั่งอาหารและดื่มกินให้เต็มที่เถิด พบพานพี่เขยอย่าได้เกรงใจ!”

เมื่อกล่าวจบเจิ้งเอ้อฉ่าวจึงสะบัดพัดอีกครั้งและหมุนตัวกลับเดินขึ้นบันไดไป

เหอยาโถว…

“ต้องการอะไรอีกหรือไม่ขอรับ?” บริกรคนเดิมหันมาถามทั้งสี่ทันทีและกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อมมากขึ้น