ตอนที่ 124 แม่เฒ่าจูผู้ตระหนี่

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 124 แม่เฒ่าจูผู้ตระหนี่

แม้เสี่ยวเอ้อเคารพนบนอบต่อลูกค้าถึงเพียงนี้แต่เด็กทั้งสี่กลับโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า

ทันทีที่พวกเขาออกมาจากภัตตาคารหลงชิงได้ เหอยาโถวกลับเผยสีหน้าบูดบึ้งอย่างปราศจากความสบายใจ

“ท่านแม่พร่ำสอนข้าเสมอว่าชีวิตนี้อย่าคิดเอาเปรียบผู้อื่น เป็นเช่นนี้แล้วพี่เซียงเอ๋อแต่งงานไปย่อมถูกดูหมิ่นอย่างไม่ต้องสงสัย”

“แล้วอย่างไรล่ะ? พี่เชวี่ยตั้งใจจะจ่ายเงินอยู่แล้วทว่าเจ้าของร้านกลับปฏิเสธไม่รับนั่นถือเป็นสิทธิ์ของเขาเช่นกัน” เผยเสี่ยวส้วยคิดหาเหตุและผลมาปลอบโยน

“ทุกคนควรโทษข้าต่างหาก ข้าช่างตะกละเสียจริงที่พร่ำร้องแต่จะกินไก่ย่าง” เหลียวชีจินก้มหน้าเป็นเชิงสำนึกผิด

“ต้องโทษข้าด้วย”

“พวกเจ้าอย่าเอาแต่โทษตนเองเลย เราทุกคนล้วนไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น” เหอยาโถวเกาศีรษะอย่างหดหู่

“เฮ้! อย่ามัวโศกเศร้าไปเลย เราแก้ไขปัญหาข้อนี้ร่วมกันดีหรือไม่?” หยุนเชวี่ยกล่าวปลอบประโลมทั้งสามพลางครุ่นคิด “เจ้าก็ขอแบ่งกระต่ายป่าที่ท่านพ่อของข้าจับมาได้สักหนึ่งตัวและนำมาให้นายน้อยเจิ้งได้ลิ้มรสเป็นการตอบแทนซึ่งกันและกันโดยไม่มีสิ่งติดค้าง เท่านี้คงคลี่คลายแล้ว”

เหอยาโถวกะพริบตาปริบและร้องอุทานอย่างยินดี “หยุนเชวี่ย! ความคิดของเจ้าช่างประเสริฐนัก!”

“เหอยาโถว ตึกภัตตาคารของพี่เขยเจ้าช่างใหญ่โตโอ่อ่าและวิจิตรตระการตาเสียจริง เขาต้องมีรายได้วันละเท่าใดกันจึงมีเงินสร้างอาคารเช่นนี้? พี่เซียงเอ๋อโชคดียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด!” เผยเสี่ยวส้วยถอนหายใจด้วยความชื่นชมระคนอิจฉาเล็ก ๆ

“พี่เจิ้งยังไม่ใช่พี่เขยของข้าอย่างเป็นทางการเสียหน่อย! ท่านแม่กล่าวว่าแม้เขาร่ำรวยมหาศาลเพียงใดทรัพย์สินทั้งหมดก็เป็นของตระกูลฝั่งเขา ครอบครัวข้าไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย ท่านแม่กับข้าทำได้เพียงส่งนางถึงหน้าประตูเท่านั้น”

เหอยาโถวอธิบายเพียงเท่านั้นแล้วจึงเงียบเสียงไป ไม่ว่าอย่างไรฐานะทางบ้านของเขายังนับว่ายากจนเช่นเดิม และเหอยาโถวกังวลเหลือเกินว่าหากบรรดาพี่สาวแต่งงานไปอาจถูกครอบครัวฝั่งสามีดูหมิ่นเอาได้

“ท่านป้าสั่งสอนเจ้าดีเสียจริง!” หยุนเชวี่ยยกนิ้วโป้งชื่นชมเขาอีกครั้ง

ผู้ที่ควรมายืนตรงนี้และรับฟังข้อคิดดังกล่าวไม่ใช่นางแต่เป็นแม่เฒ่าจู ในห้วงคำนึงของแม่เฒ่าจูละเมอเพ้อพกถึงการแต่งงานของหยุนชิ่วเอ๋ออยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าจะต้องตบแต่งกับฝ่ายชายที่มีตระกูลใหญ่โตและมีฐานะสูงส่ง เพราะคิดว่าหากเป็นจริงทั้งครอบครัวก็จะพลอยสูงส่งไปด้วย

ทว่าต่อให้แม่เฒ่าจูมายืนฟังก็คงไร้ประโยชน์ ด้วยอุปนิสัยของแม่เฒ่าจูไหนเลยจะลดความคาดหวังลง ไม่ว่าบุรุษคนใดหลวมตัวแต่งงานกับหยุนชิ่วเอ๋อคงไม่วายถูกถลกหนังเสียจนสิ้นเนื้อประดาตัว

หมู่บ้านไป๋ซี

เหลียงชีจินและเผยเสี่ยวส้วยแบ่งเงินในจำนวนเท่า ๆ กันก่อนแยกย้ายกลับเข้าบ้านอย่างมีความสุข

“หยุนเชวี่ย พรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปหาเจ้าที่บ้านเพื่อขอเนื้อกระต่ายป่า อย่าลืมเสียล่ะ!”

“ย่อมได้!” หยุนเชวี่ยหันไปโบกมือลาเหอยาโถว “อย่ามาเช้าเกินไป ข้ายังต้องขอให้ท่านแม่ถอนขน บั้งเนื้อและเอาไปหมักซอสให้เข้าเนื้อเสียก่อนจึงจะนำไปปรุงได้”

จากนั้นทั้งสองจึงแยกย้ายกลับไปหามารดาของตน

แม้เข้าไปในภัตตาคารหลงชิงแต่หยุนเชวี่ยกลับรู้สึกไม่อิ่มท้องเอาเสียเลย ยังไม่ทันเข้าไปถึงลานบ้านหยุนเชวี่ยจึงตะโกนเรียกเสียงดัง “ท่านแม่ มีอาหารหลงเหลือไว้เผื่อข้าอยู่หรือไม่?””

ทว่าวันนี้รอบบริเวณชานบ้านกลับเงียบสงัดไร้สุ้มเสียงอย่างน่าประหลาด

บรรยากาศโดยรอบเงียบเสียจนได้ยินเสียงสะอื้นไห้ที่ดังมาจากห้องทางปีกตะวันออก

“ท่านแม่… ท่านแม่…” เสียงหยุนเยว่สะอึกสะอื้นแว่วมาให้ได้ยินเป็นพัก ๆ

แม่นางเหลียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ทรงเตี้ยตัวหนึ่งและกำลังบดยา ครั้นเห็นหยุนเชวี่ยเดินเข้ามาใกล้จึงยู่ริมฝีปากและส่งเสียงเป็นเชิงเตือนให้เงียบ “ชู่ว! อย่าเอะอะไป”

“ป้าสะใภ้ใหญ่ยังไม่ตื่นอีกรึ?”

“ยังไม่ตอบสนองอย่างไรเลย หยุนเยว่ก็เอาแต่ร้องไห้มาตั้งแต่เช้า ข้าวปลาไม่ตกถึงท้องแม้แต่คำเดียว” ขณะนี้เป็นช่วงเที่ยงวัน พระอาทิตย์แผดจ้าอยู่ตรงหลางเหนือศีรษะ แม่นางเหลียนยังคงตั้งหน้าตั้งตาเผายาสมุนไพรต่อไปแม้เหงื่อไหลโซมเพราะใบหน้าร้อนผ่าว

“ผู้ใดใช้ท่านแม่ทำงานอีกแล้ว?!” หยุนเชวี่ยมองตาขวางไปทางปีกตะวันตกอย่างไม่พอใจยิ่ง

ไม่ว่าแม่ผัวหรือลูกสะใภ้ต่างก็เป็นโรคจิตไร้สามัญสำนึกด้วยกันทั้งสิ้น!

คนเหล่านั้นตระหนักดีว่าช่วงกลางวันร้อนอบอ้าวเพียงใดจึงซ่อนกายอยู่แต่ภายในห้อง ช่างเจ้าเล่ห์นัก!

“ตัวยาชนิดนี้จำเป็นต้องเคี่ยวด้วยไฟปานกลางและใช้น้ำสะอาดในสัดส่วนสามถ้วยจึงจะเกิดผลลัพธ์ที่ดี อาสะใภ้สามของเจ้าไร้ความรอบคอบ แม่เกรงว่านางจะปรุงยาไม่ถูกต้องจึงรับอาสา” แม่นางเหลียนวางผ้าชิ้นหนาไว้บนฝาหม้อก่อนยกเปิดดู “จวนจะได้ที่แล้ว เจ้าไปหยิบชามมาให้แม่ทีเถิด”

หยุนเชวี่ยได้ยินดังนั้นจึงลอบกลอกตาขึ้นฟ้า “น้ำใจท่านช่างประเสริฐราวพระโพธ์สัตว์เสียจริง! ไฉนเลยไร้ผู้คนชื่นชมยินดี ท่านแม่… ลูกสาวรู้สึกหิวโหยนัก”

พร่ำบ่นไปก็เท่านั้น ท้ายที่สุดหยุนเชวี่ยจำใจต้องเดินเข้าไปในครัวเพื่อหยิบชามกระเบื้องเนื้อหยาบออกมาหนึ่งใบพลางเหลือบมองอาหารที่หลงเหลืออยู่

แน่นอนว่าสิ่งที่ยังเหลืออยู่คือขนมปังรังนกและซุปในหม้อเล็ก ๆ ที่มีอยู่ประมาณก้นหม้อที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าภายในเป็นซุปอะไรแน่

แม่เฒ่าจูมีนิสัยตระหนี่ถี่เหนียวมาโดยตลอด แม้กินอาหารมื้อกลางวันจนอิ่มหนำเพียงใดก็ไม่อาจตัดใจเทน้ำซุปทิ้ง นางจะต้องเก็บส่วนที่เหลือไว้และจัดการหั่นมะเขือยาวกับถั่วลงไปตุ๋นต่อสำหรับมื้อเย็น

หยุนเชวี่ยนึกแล้วคว่ำปากเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวทันที

ถุย! ก่อนหน้านี้ข้าเติบโตมาจนป่านนี้ได้อย่างไรกัน?!

“แม่จะหลงลืมเจ้าได้อย่างไร?” แม่นางเหลียนหยิบชามในมือหยุนเชวี่ยที่ยื่นให้ก่อนบรรจงเทน้ำต้มยาลงไป “อาหารส่วนของเจ้าอยู่ในหม้อนั่นแหละ ข้างนอกร้อนดุจไฟเผา… นำกลับเข้าไปกินในบ้านเถิด”

“ข้ารู้ว่าท่านแม่รักข้าที่สุด!” หยุนเชวี่ยวิ่งกลับเข้าไปในครัวพร้อมเปิดฝาหม้อออกและพบว่าภายในเป็นเนื้อไก่ส่วนสะโพกที่ขนาดชิ้นกำลังดี

หยุนเชวี่ยรีบหยิบจานชามตะเกียบและยกขึ้นไปทางฝั่งปีกตะวันตกทันที ส่วนหยุนเยี่ยนเทถั่วเขียวและน้ำตาลหนึ่งช้อนลงไปในซุปเพื่อปรุงรส

“อีกจานเป็นแตงกวา ข้าจำได้ว่าเจ้าชอบกินแบบกรุบกรอบเช่นนี้”

เมื่อยกฝาชีขึ้นจึงพบว่าภายในมีแตงกวาหั่นชิ้นอยู่จำนวนหนึ่งและขนมเปี๊ยะทอดพออุ่นอีกหนึ่งชิ้น

หยุนเชวี่ยม้วนแขนเสื้อขึ้นก่อนก้มหน้าก้มตากินข้าวร่วมกับครอบครัวอย่างมีความสุข

เวลานี้ร่างกายของหยุนเชวี่ยควรได้รับสารอาหารที่เพียงพอเพื่อการเจริญเติบโต นางต้องกินให้มากจึงจะเพิ่มความสูงได้

โดยเฉพาะช่วงหลังมานี้ที่ครอบครัวของหยุนชวี่ยมีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ขึ้นกว่าเมื่อก่อน นางเริ่มรู้สึกว่าบริเวณหน้าอกเกิดเจ็บคัดขึ้นมาบางครั้งเพราะสรีระที่กำลังพัฒนาตามธรรมชาติของสตรีเพศ

“พี่สาว ท่านพ่อหายไปที่ใดรึ?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามก่อนอ้าปากกัดขนมเข้าไปเต็มคำ

“ท่านพ่อขึ้นไปตัดไม้บนภูเขา หลังทานมื้อกลางวันเสร็จเห็นว่าไปกับเหอซานป๋อ หวังซื่อชู และคนงานอีกสามคนเพื่อแบกไม้กลับลงมา”

หยุนเยี่ยนเดินไปนั่งลงตรงขอบเตียงก่อนหยิบรองเท้าออกจากตะกร้าต่อหน้าหยุนเชวี่ย “ยกเท้าขึ้นให้ข้าเปรียบเทียบหน่อยเถิดว่ามันพอดีกันกับเท้าของเจ้าหรือไม่?”

“แน่นอนว่าต้องพอดีอยู่แล้ว พี่สาวสายตาเฉียบแหลมย่อมคาดคะเนได้อย่างแม่นยำ” หยุนเชวี่ยยกขาขึ้นไขว่ห้าง

“ข้าว่ามันอาจจะหลวมกว่าเล็กน้อย” หยุนเยี่ยนเห็นท่าทางไม่งามของน้องสาวจึงขมวดคิ้ว “นั่งให้เรียบร้อยหน่อยเถิด นับวันเจ้ายิ่งมีกิริยาพิลึก หากท่านแม่มาเห็นจะถูกตำหนิได้”

“ท่านต่างหากที่ทำตัวเหมือนท่านแม่เข้าไปทุกวัน”

“พูดอะไรของเจ้า?”

“เปล่าเสียหน่อย ฮิฮิ…” หยุนเชวี่ยแลบลิ้นให้หยุนเยี่ยนก่อนชี้นิ้วไปทางเสี่ยวอู่ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง “เสี่ยวอู่ มานี่สักครู่สิ”

ทว่าเสี่ยวอู่เพียงเหลือบตามองหยุนเชวี่ยและเพ่งสมาธิไปที่หนังสือตรงหน้าเช่นเดิม

ไม่นานมานี้เฟิงซิ่วไฉ่เพิ่งมอบหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคัมภีร์ตรีอักษรให้กับเสี่ยวอู่ ซึ่งเสี่ยวอู่รู้สึกชื่นชอบเป็นอย่างยิ่งและพลิกอ่านไปมาอย่างไม่รู้เบื่อหน่าย

“วางลงแล้วมาหาข้าก่อนเถิด” หยุนเชวี่ยจ้องเขม็งไปยังเสี่ยวอู่และร้องเรียกอีกครั้ง “เจ้ากล้าเมินพี่สาวของเจ้าเชียวรึ?”

ครั้นได้ยินเช่นนั้นเสี่ยวอู่จึงละสายตาและวางหนังสือลงอย่างไม่เต็มใจก่อนพาร่างน้อย ๆ ไปนั่งเคียงข้างหยุนเชวี่ยอย่างเชื่องช้า

“พี่สาวซื้อของดีมาฝาก ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องชื่นชอบมันเป็นแน่!”

หยุนเชวี่ยยื่นมืออกไปพลางหดคอและให้นิ้วหยิกแก้มเสี่ยวอู่เล่นด้วยความมันเขี้ยว

‘คิดไว้ว่าต้องเป็นเช่นนี้ไม่มีผิด!’

เสี่ยวอู่เผยสีหน้าเบื่อหน่ายโดยไม่ปิดบัง

ในที่สุดเ้สี่ยวอู่ก็เริ่มมีน้ำมีนวลขึ้นมากแล้ว แก้มน้อย ๆ ทั้งสองข้างช่างอ่อนนุ่มละมุนเมื่อได้สัมผัส หยุนเชวี่ยยิ่งหยิกก็ยิ่งชื่นชอบและไม่อาจวางมือโดยง่าย

ทันใดนั้นดวงตาของเสี่ยวอู่พลันแปรเปลี่ยนเป็นเข้มจ้าเพราะเริ่มโกรธเสียแล้ว

“ข้าอุตส่าห์หาซื้อของอย่างดีไว้เพื่อเจ้า ขอหยิกแก้มนิดหน่อยจะเป็นไรไป?” หยุนเชวี่ยหยอกเล่นอีกสองครั้งจึงยอมปล่อยมือ จากนั้นจึงหันไปหยิบถุงผ้าใบเล็กออกจากตะกร้าและวางลงบนโต๊ะ

“เจ้าลองทายดูว่าด้านในคือสิ่งใด?”

ใบหน้าของเสี่ยวอู่งอง้ำทว่าแฝงความอยากรู้อยากเห็น แต่แล้วกลับส่ายศีรษะพลางทำตาละห้อย

“เช่นนั้นก็เปิดดูเอาเองเถิด” หยุนเชวี่ยขยิบตาข้างหนึ่งอย่างแฝงเลศนัย

เป็นปกติสามัญสำหรับนิสัยของเสี่ยวอู่ซึ่งเงียบขรึมอยู่เป็นนิจและไม่ยินยอมคาดเดาปริศนาใด ๆ กับผู้อื่น บางทีอาจเป็นเพราะไม่ต้องการแสดงความไร้เดียงสาต่อหน้าผู้คนก็เป็นได้

น้องชายผู้นี้ช่างมีความคิดแก่แดดเสียจริงเชียว!

เสี่ยวอู่ไม่ปริปากเอ่ยคำใด ทันทีที่นิ้วทั้งห้าสัมผัสถูกถุงผ้าใบนั้นแววตาของเขาจึงแปรเปลี่ยนไป ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยไร้อารมณ์กลับแสดงออกและยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

“เจ้าชอบมันใช่หรือไม่?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถาม เวลานี้ผู้ให้ดูมีความสุขยิ่งกว่าผู้รับเสียอีก