ตอนที่ 125 จับคู่

สิ่งที่อยู่ในถุงผ้าคือพู่กันอันเล็กซึ่งปลายแปรงทำมาจากขนพังพอน!

แท้จริงแล้วราคาของมันอยู่ที่ด้ามละสี่สิบห้าเหรียญ ทว่าเจ้าของร้านเห็นว่าหยุนเชวี่ยยังเยาว์วัยและมีความเพียร หนำซ้ำยังช่างพูดช่างเจรจาจึงสามารถต่อราคาลงมาอยู่ที่สามสิบแปดเหรียญ

ไม่แพงจนเกินงบแต่ก็ไม่ถูกจนจับต้องได้เสียทีเดียว

นี่ถือเป็นพู่กันด้ามแรกในชีวิตของเสี่ยวอู่จึงนับว่ามีความหมายอย่างเปี่ยมล้น แม้ครอบครัวของหยุนเชวี่ยจะไม่ร่ำรวยแต่อย่างน้อยหยุนเชวี่ยคิดว่าต้องมีพิธีรีตองเสียบ้างให้เป็นที่จดจำ

ด้ามแปรงผลิตจากวัสดุที่ทำด้วยไม้ไผ่ ทั้งยังแกะสลักเป็นตัวอักษรเล็ก ๆ สี่ตัว ‘อุตสาหะและขยันหมั่นเพียร’

“เจ้าชื่นชอบมันใช่หรือไม่?”

ครั้นเห็นว่าเสี่ยวอู่มีปฏิกิริยาตอบสนองไปในทิศทางที่ดี ทั้งแววตายังจรัสจ้าเป็นประกายแห่งความสุขหยุนเชวี่ยก็พลอยยินดีจนหัวใจพองโต

เสี่ยวอู่พยักหน้าหลายครั้งอย่างหนักแน่น ปลายนิ้วไล้ไปตามตัวอักษรที่สลักอยู่บนพู่กันด้วยสายตาแน่วแน่

“หากเป็นเช่นนั้นเจ้าควรหมั่นเพียรศึกษาตำราให้หนักขึ้นและพัฒนาตนเองจนมีชื่อเสียงและทำให้ฐานะของครอบครัวเราสุขสบาย ดีหรือไม่?” หยุนเชวี่ยมองทะลุความในใจของเสี่ยวอู่อย่างปรุโปร่ง

เสี่ยวอู่กระชับพู่กันในมือแน่นและพยักหน้าอีกครั้ง

“เสี่ยวอู่ พึงจดจำไว้… การอ่านคือการเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขวาง แยกแยะเหตุผลกับความเชื่อโบร่ำโบราณให้กลายเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ ก่อนหน้านี้พี่สาวเคยกล่าวไว้ไม่ใช่หรือว่าการที่ท่านลุงใหญ่สามารถเป็นบัณฑิตได้นั้นน่าขันสิ้นดี” หยุนเชวี่ยตระหนักว่าเสี่ยวอู่ยังเยาว์จึงยกตัวอย่างโดยง่ายจากคนรอบข้าง

ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือหยุนลี่จง… เขาพยายามหลอกลวงครอบครัวมาโดยตลอดว่าสักวันต้องสอบผ่านและรับราชการเป็นขุนนางใหญ่

เสี่ยวอู่รับฟังพร้อมเงยหน้าขึ้นและกะพริบตาปริบราวไม่เข้าใจในสิ่งที่หยุนเชวี่ยต้องการจะสื่อ

“การศึกษานั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อภาพรวมของความจริงในทุกสรรพสิ่ง เจ้าต้องเรียนรู้เพื่อให้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ด้วยตนเองให้จงได้ จำไว้ให้ดี จงอย่าหยิ่งทะนงหรืออวดรู้แต่ควรติดดินเข้าไว้ เข้าใจหรือไม่?”

หยุนเชวี่ยพูดไปโดยที่ไม่แน่ใจตนเองเช่นกันว่าเด็กชายวัยไม่ถึงสิบขวบจะเข้าใจสารที่ตนสื่อออกไปมากน้อยเพียงใด

เสี่ยวอู่เพียงหลับตาลงเพื่อทบทวนตามและพยักหน้าอีกครั้ง

“ดีมาก! กลับไปนอนเถิด” หยุนเชวี่ยลูบศีรษะเสี่ยวอู่แผ่วเบา

แม้ยังเล็กนักแต่กลับเข้าใจซึ่งสัจธรรมว่านักปราชญ์ไม่ควรคิดคด ช่างเฉลียวฉลาดเสียจริงเชียว!

“เจ้าเองก็ไม่เคยเล่าเรียนตำราวิชาการมาก่อน เหตุใดจึงกล่าววาจาซับซ้อนราวเข้าใจโลกมาแรมปี?” หยุนเยี่ยนซึ่งนั่งดึงด้ายเส้นสุดท้ายออกจากตะเข็บเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย

“นั่นเป็นเพราะข้าไปพบหวังหลี่เจิ้งบ่อยน่ะ หากฟังมากกว่านี้อาจเข้าใจถ่องแท้มากกว่านี้เสียอีก” หยุนเชวี่ยบ่ายเบี่ยงกุเรื่องเป็นตุเป็นตะ

บริเวณหน้าหมู่บ้านไป๋ซีมีกอไผ่ทึบซึ่งสูงลิบลิ่ว ภายใต้ร่มเงามีโม่หินขนาดใหญ่ซึ่งถูกทิ้งร้างมานานหลายปี

เจ้าของนามหวังหลี่เจิ้งเป็นชายชราผมเผ้าและหนวดเคราขาวโพลน เขามักมานั่งอยู่บนโม่หินยักษ์และพูดคุยกับชาวบ้านที่สัญจรไปมาทุกวัน เว้นก็แต่วันที่มีสายฝนโปรยปรายหรือมีหิมะตกเท่านั้น

คำพูดทุกประโยคที่ออกจากปากหวังหลี่เจิ้งแฝงด้วยแนวคิดเชิงปรัชญามากมาย ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความรู้สูงส่งที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้ ถึงกระนั้นหยุนเชวี่ยก็ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเหตุใดหวังหลี่เจิ้งจึงพอใจอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและไม่ใฝ่หางานราชการที่เหมาะสมกับความรู้ของตน

หยุนเชวี่ยเคยได้ยินมาผ่าน ๆ ว่าปู่ของหวั่งหลี่เจิ้งมีตำแหน่งเป็นถึงขุนนางใหญ่ทำงานรับใช้จักรพรรดิองค์ก่อน ทั้งยังเป็นผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จสูงสุดซึ่งมีผู้ใต้บังคับบัญชาในมือนับหมื่นคน ทว่าต่อมาเกิดสงครามครั้งใหญ่ ราชวงศ์เปลี่ยนผ่านสู่ราชวงศ์หลิง ทำให้เหล่าบุตรหลานของขุนนางเก่าแก่ถูกขับออกจากสำนักกระจายตัวกันออกไปและไม่ได้รับโอกาสให้สอบรับราชการอีก

ส่วนข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร หวังหลี่เจิ้งโม้โอ้อวดหรือเป็นเรื่องจริงนั้นไม่อาจสืบทราบ

ทว่าทุกครั้งที่หวังหลี่เจิ้งกล่าวถึงเรื่องในอดีตอันรุ่งโรจน์ เขามักทอดสายตาเหม่อมองออกไปบนฟ้าไกลและพึมพำกับตัวเองด้วยคำซ้ำ ๆ พร้อมถอนหายใจยาว “ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม… ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม!”

สิ่งที่พอเชื่อถือได้คือหวังหลี่เจิ้งผู้นี้มีความรู้ไม่น้อยเลยทีเดียว

พิสูจน์ได้จากบทกลอนกวีต่าง ๆ ซึ่งนิยมหยิบยกมาพาดพิงถึงเรื่องที่เกี่ยวข้อง หากพอมีเวลาใคร่คิดตรึกตรองก็จะหยิบถ่านไม้ใกล้มือขึ้นมาขีดเขียนเป็นถ้อยคำลงบนแผ่นหินสองสามคำ น้ำหนักในการตวัดปลายวัตถุบ่งบอกเป็นอย่างดีถึงการศึกษาที่เคยได้รับในอดีต

หยุนเชวี่ยชอบไปฟังเรื่องไร้สาระที่หวังหลี่เจิ้งพูดพล่ามไปเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่ว่างจากงานในครอบครัว แม้ประโยคห้าในสิบส่วนที่เอื้อนเอ่ยจะไร้ซึ่งความสอดคล้อง แต่ทุกครั้งหยุนเชวี่ยจะได้ยินข้อปรัชญาอันเฉียบแหลมสอดแทรกอยู่ภายในเสมอ

นี่อาจเป็นเครื่องยืนยันว่านักปราชญ์สมถะ สมณะเดินดินยังมีอยู่จริงในยุคสมัยนี้

ตรงข้ามกับพวกชาวบ้านที่ไม่เข้าใจนัยสำคัญที่แฝงอยู่อย่างชาญฉลาดเหล่านั้นและไพล่คิดไปว่าหวังหลี่เจิ้งต้องคุยโวโอ้อวดจนสติเลอะเลือนไปแล้วเป็นแน่ บางคนก็สนุกอยู่กับการสนทนากับเขาเพื่อฆ่าเวลา ครั้นเย็นย่ำจึงแยกย้ายกลับบ้านเพื่อสะสางงานอื่นในครัวเรือนต่อไป

“วันนี้ท่านพ่อของพวกเจ้าได้พบกับหวังหลี่เจิ้ง เขากล่าวชื่นชมเสี่ยวอู่ไม่หยุดปากเลยทีเดียว” แม่นางเหลียนผลักประตูเข้าไปร่วมวงสนทนา

“ชื่นชมอันใดกัน?”

“ชื่นชมเกี่ยวกับความชาญฉลาดเกินวัยของเสี่ยวอู่ของเราอย่างไรล่ะ ตราบใดที่เขาเรียนรู้กับเฟิ่งซิ่วไฉ่ให้มาก อนาคตย่อมก้าวไกลอย่างแน่นอน…” แม่นางเหลียนปาดเหงื่อซึ่งผุดพรายบนใบหน้าก่อนหย่อนกายลงนั่งข้างหยุนเยี่ยน จากนั้นจึงหยิบรองเท้าผ้าซึ่งนางปักค้างไว้ขึ้นพินิจโดยรอบ ริมฝีปากเผยรอยยิ้มกว้างอย่างรู้สึกชื่นชม “เยี่ยนเอ๋อเติบโตเป็นสาวสะพรั่ง ฝีมือเย็บปักละเมียดละไมนัก ทั้งยังเนียนเรียบยิ่งกว่างานปักของแม่เสียอีก เป็นเกียรติยิ่งแก่คู่ครองในอนาคตของเจ้า”

ในสายตาของชาวบ้านในแถบชนบทซึ่งมีอาชีพเกษตรกรรม เรื่องความสามารถในการเย็บปักถักร้อยที่ดีนับว่ามีคุณค่าทางจิตใจเสียยิ่งกว่าการชมรูปลักษณ์ว่างดงาม ทั้งยังเป็นเรื่องที่สามารถนำไปอวดใครต่อใครได้

หากครอบครัวใดได้ตบแต่งสะใภ้ซึ่งมีความสามารถและชำนาญการบ้านการเรือน นั่นหมายความว่าพื้นฐานครอบครัวของฝ่ายหญิงให้การสั่งสอนอบรมมาเป็นอย่างดี สตรีดีมักพิจารณาจากหมอนปัก

“ท่านแม่… กล่าวเพ้อเจ้อใหญ่แล้ว” หยุนเยี่ยนก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย พวกแก้มทั้งสองซับสีแดงระเรื่อ

“อะไรกัน เจ้าโตเป็นสาวอย่างแท้จริง เช้านี้แม่ไปรดน้ำในสวนผักและพบเจอกับท่านป้าของอู๋ซิงวัง นางพูดคุยเบื้องต้นว่าต้องการเกี่ยวดองกับครอบครัวของเรา” กล่าวจบแม่นางเหลียนจึงยิ้มกว้างด้วยความปีติราวดอกไม้ที่ผลิบาน

“ป้าอู๋?!” จิตสำนึกการนินทาของหยุนเชวี่ยพลันหูผึ่ง นางเบียดตัวเข้าหาแม่นางเหลียนทันที “หมายความว่านางเจรจาให้พี่ต้าหวังอย่างนั้นรึ?!”

แม่นางเหลียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

อู๋ต้าหวังเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลอู๋ซึ่งทำกิจการขายเนื้อ คิ้วทั้งสองคมเข้มส่งให้ใบหน้าดูหล่อเหลา ดวงตากลมโต แม้อายุเพียงสิบห้าปีแต่กลับสูงโปร่งเกือบเจ็ดฟุต

ที่สำคัญอู๋ต้าหวังอารมณ์ดี ไม่ใจเร็วด่วนได้ทั้งยังขยันหมั่นเพียรและสมถะยิ่ง ทั้งยังเรียนรู้ทักษะการทำมาหากินกับบิดามาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ร่างกายจึงแข็งแกร่งบึกบึนเปี่ยมด้วยพละกำลัง โดยรวมแล้วเขามีคุณสมบัติเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเป็นลูกเขยของนาง

หัวใจของแม่นางเหลียนนึกชื่นชมอู๋ต้าหวังผู้นี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งภรรยาของพ่อค้าเนื้ออู๋ถูหู่มาเจรจากับตนโดยตรงแม้เพียงเชิงทีเล่นทีจริง จิตใจของแม่นางเหลียนกลับเปี่ยมล้มไปด้วยความสุขจนแทบหุบยิ้มไม่ได้

ตามธรรมเนียมของหมู่บ้านแล้วเพื่อหลีกเลี่ยงความกระอักกระอ่วนที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายจะเข้ามาสนทนาเกริ่น ๆ ไว้ก่อนเพื่อสำรวจท่าที หากตกลงปลงใจด้วยดีก็นับเป็นเรื่องมงคล แต่หากปฏิเสธก็ยังอยู่ในขั้นที่ไม่เสียน้ำใจจนเกินไป

และแน่นอนว่าแม่นางเหลียนยินดีอย่างยิ่งที่จะยกลูกสาวคนโตให้เป็นสะใภ้ของตระกูลอู๋

ครอบครัวชาวนาไม่ทะเยอทะยานใฝ่หาความร่ำรวยมั่งคั่ง แม่นางเหลียนเพียงต้องการให้หยุนเยี่ยนออกเรือนกับบุรุษที่มีความขยันทำมาหากินเพื่อภายภาคหน้าชีวิตจะประสบกับความร่มเย็นเป็นสุข

ยิ่งไปกว่านั้นบรรดาลูก ๆ ของตระกูลอู๋ล้วนมีความประพฤติอยู่ในลู่ในทาง พ่อค้าเนื้อและภรรยาของเขาประกอบอาชีพอย่างสุจริตและมีนิสัยซื่อสัตย์ทั้งยังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน แม้แต่งงานแยกบ้านไปแล้วยังสามารถไปมาหาสู่กันได้โดยง่าย

แม้แม่นางเหลียนมีความสุขมากถึงเพียงนี้ทว่าไม่ได้ตอบรับในทันที เนื่องจากให้เหตุผลว่าควรกลับมาถามความคิดเห็นของหยุนเยี่ยนเสียก่อน

ครั้นกล่าวความจนจบประโยคหยุนเยี่ยนกลับแสดงสีหน้าอึดอัดใจระคนเขินอาย ทว่าหยุนเชวี่ยกลับระดมคำถามเจื้อยแจ้วด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“พี่ต้าหวังแอบชอบพี่สาวของข้ามานานแล้วเป็นแน่ ก่อนหน้านี้ข้าพบเขาหนึ่งครั้งและบอกว่ากำลังเร่งเก็บฟืน เขาจึงอาสาแบกฟืนมัดใหญ่มาส่งข้าถึงหน้าประตู”

“เช่นนั้นคงเป็นเจ้าที่ทำให้ป้าอู๋มาเกริ่นการเจรจาสู่ขอกับครอบครัวของเรา” หยุนเยี่ยนพึมพำ

“พูดตามตรง… พี่ต้าหวังดูดีทีเดียว! โครงหน้าของเขาถอดแบบมาจากป้าอู๋ คิ้วทั้งดกดำเข้มขรึมและตาโต ดูผิดแผกจากท่านพ่อของเขาที่มีใบหน้าดุดัน พี่สาวล่ะคิดอย่างไร? ตอบท่านแม่ให้ชื่นใจเสียที”

หยุนเชวี่ยใช้ข้อศอกสะกิดหยุนเยี่ยนพลางเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม