ตอนที่ 126 ไอ้เด็กหน้าอ่อน!
ใบหน้าหยุนเยี่ยนแดงก่ำลงกว่าเดิมด้วยความเขินอาย นางหันหลังกลับเพื่อซ่อนเร้นความรู้สึก นิ้วมือหมุนบิดเส้นผมเป็นเกลียวและไม่ปริปากเอ่ยคำใด
“พี่สาว…” หยุนเชวี่ยถอดรองเท้าก่อนกระโดดขึ้นไปนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียง “บ้านเราก็มีกันเท่านี้ ไร้ซึ่งคนนอก จะเขินอายไปไย?”
“ชาวบ้านต่างรู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับตระกูลเขา อีกทั้งความสัมพันธ์ของบ้านเราและบ้านเขาก็แน่นแฟ้นเป็นอย่างดี แม่คิดว่าเป็นเรื่องน่ายินดีเสียอีก” แม่นางเหลียนกล่าวด้วยใจเปี่ยมสุข
ความใฝ่ฝันสูงสุดของผู้เป็นแม่คือการเห็นบุตรสาวออกเรือนและเดินไปส่งนางที่หน้าประตูบ้าน ทำอาหารอย่างสุดฝีมือสามถึงห้าอย่างเพื่อจัดเลี้ยงระหว่างสองครอบครัวให้เกี่ยวดองเป็นหนึ่งเดียว
หรือหากเป็นอีกกรณีหนึ่ง…
ตราบใดที่ลูกสาวถูกครอบครัวใหม่รังแก อย่างไรตระกูลเดิมก็พร้อมอ้าแขนต้อนรับ
“ข้าเห็นว่าพี่ต้าหวังเป็นคนดี อุปนิสัยซื่อสัตย์มั่นคง ทั้งยังดูดีไม่น้อย” หยุนเชวี่ยกล่าวสนับสนุนข้อดี
หยุนเยี่ยนมีนิสัยอ่อนโยน นุ่มนวล ซ้ำยังยึดมั่นในคุณธรรม ดังนั้นผู้ที่จะมาเป็นสามีของหยุนเยี่ยนจำเป็นต้องมีความสมถะและปราศจากอธรรมทั้งมวล
“เยี่ยนเอ๋อ แม่เองก็แก่ลงทุกวัน ต้องการเห็นลูกสาวแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา” แม่นางเหลียนกุมมือลูกสาว “แม่ไม่ต้องการลูกเขยที่ร่ำรวยหรือเปี่ยมด้วยเกียรติยศใด ๆ ตราบใดที่เขาเป็นคนดี เพียงเท่านี้แม่ก็วางใจแล้ว”
หยุนเยี่ยนซึ่งยังมีใบหน้าแดงเรื่อพยักหน้าทั้งที่ยังกุ้มหน้างุด นางนิ่งเงียบไปเป็นนานก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าเชื่อฟังคำท่านแม่”
ในสมัยโบราณ เด็กสาวที่ตกหลุมรักในหนแรกมักเขินอายและนิ่งเงียบไม่เอื้อนเอ่ยความเห็น ไม่ว่าผู้ใดมาเจรจาสู่ขอถึงหน้าประตูต่างกล่าวด้วยประโยคเดียวกันคือ ‘พ่อแม่ว่างอย่างไรก็ว่าตามนั้น’ ในทางกลับกันหากไม่ชอบพอกับอีกฝ่ายก็จะกล่าวอ้างเหตุผลว่า ‘ต้องการทำหน้าที่ลูกสาวผู้กตัญญูต่อไปอีกหนึ่งหรือสองปี’
หยุนเชวี่ยไม่เคยชินกับการว่าตามบุพการี เมื่อเห็นหยุนเยี่ยนพยักหน้าเพียงครึ่งจึงรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยความรู้สึกของนางด้วยกลัวว่านางจะถูกบีบบังคับ
“พี่สาว ท่านอย่ารีบร้อนตัดสินใจไป การแต่งงานจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายมีความรักต่อกันอย่างลึกซึ้ง หากเริ่มต้นจากการไม่รักกันแล้ว ในอนาคตจะหาความสุขจากชีวิตคู่ได้อย่างไร? รูปลักษณ์ของท่านงดงามสะพรั่งเพียงนี้คงเสาะหาบุรุษที่เหมาะสมได้หลายรายนัก สิ่งที่สำคัญคือความสุขส่วนตนของท่านเองต่างหาก จริงหรือไม่?”
ใบหน้าของหยุนเยี่ยนแดงก่ำกว่าก่อนหน้าประหนึ่งถูกไฟร้อนแรงจากภายในแผดเผา
ฝ่ายหยุนเชวี่ยก็รู้สึกหดหู่กับประเพณีคลุมถุงชนนี้ไม่น้อย ในสังคมปัจจุบันที่หยุนเชวี่ยจากมา การแต่งงานที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากความรักชอบพอทั้งสองฝ่ายมักเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดการหย่าร้าง แต่งงานแล้วแต่ต้องซมซานกลับมาซบอกครอบครัวดังเดิม นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย
หากปฏิวัติธรรมเนียมเหล่านี้ได้คงดีทีเดียว
หยุนเยี่ยนยังมีอายุเพียงสิบสี่ปี หากรีรอจนกว่าจะแน่ใจในความรักกระทั่งอายุครบสิบหกปีจึงออกเรือนก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายแต่อย่างใด
ต่อให้อู๋ต้าหวังเป็นคนดีพร้อม ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือหัวใจของหยุนเยี่ยนซึ่งควรแน่ใจเสียก่อนว่าชอบพอเขาหรือไม่?
หากเปรียบแม่เป็นผู้ปั้นซาลาเปา… เปรียบพ่อเป็นผู้คอยเติมน้ำในซึ้งนึ่งให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หน้าที่ซึ่งเกื้อกูลกันเช่นนี้จึงจะหล่อเลี้ยงให้ชีวิตคู่มีความสุขร่มเย็นไปตลอดอายุขัย
“พี่สาว ท่านลองไตร่ตรองดูอีกสักครั้งจะเป็นไรไป?” หยุนเชวี่ยเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ว่าแต่เจ้าเถิด ไปได้ยินเรื่องพรรค์นี้มากจากที่ใดกัน?” แม่นางเหลียนเผยสีหน้าหัวร่อไม่ออกร่ำไห้ไม่ได้
หยุนเยี่ยนยังไม่ครบสิบสามปีดีด้วยซ้ำทว่ากลับเอ่ยคำว่ารักออกมาได้อย่างไม่กระดากอาย ไม่เกรงสวรรค์ถล่มพิภพทลายเลยหรืออย่างไรกัน?!
“ขะ… ข้าได้ยินมาจากหวังหลี่เจิ้งอีกทีหนึ่ง เขารอบรู้เรื่องนี้จึงพูดให้ฟัง” หยุนเชวี่ยจำต้องยกหวังหลี่เจิ้งมาเป็นข้ออ้างในการเอาตัวรอดอีกครั้ง
เพราะหวังหลี่เจิ้งอายุอานามเกินเจ็ดสิบปีแล้ว ทั้งยังมีนิสัยกล่าววาจาเพ้อเจ้อไร้สาระตลอดทั้งวัน ต่อให้แม่นางเหลียนไปเค้นถามอาจจดจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าก่อนหน้านี้เคยพูดจริงหรือไม่?
“จริงอย่างที่น้องสาวของเจ้าว่า” แม่นางเหลียนตบหลังมือหยุนเยี่ยนแผ่วเบา “เยี่ยนเอ๋อ เจ้าจงเก็บเรื่องนี้ไปขบคิดดูสักสองวันเถิด หากตัดสินใจได้แล้วจึงค่อยบอกกล่าวกับแม่ ดีหรือไม่?”
หยุนเยี่ยนเพียงเม้มริมฝีปากและพยักหน้ารับ
ส่วนเสี่ยวอู่ซึ่งแสร้งทำทีเป็นหลับหรี่ตามองไปทางหยุนเชวี่ยอย่างเงียบเชียบก่อนปิดเปลือกตาลงและพลิกตัวหันหน้าเข้าหากำแพง
เห็นได้ชัดว่าพี่เยี่ยนเอ๋อตกหลุมรักอู๋ต้าหวังเข้าแล้ว เช่นนั้นพี่เชวี่ยเอ๋อจะพูดขัดขึ้นเพื่อสิ่งใดกัน?
ช่วงเที่ยงของวันถัดมา…
หยุนเชวี่ยคว้าขนมปังติดมือมาสองชิ้นก่อนกึ่งดึงกึ่งลากเหอยาโถวให้ขึ้นไปบนภูเขาพร้อมกัน
ระหว่างทางหยุนเชวี่ยอดไม่ได้ที่จะกระจายข่าวน่ายินดีให้เหอยาโถวรับรูู้ “พี่ต้าหวังแอบชอบพี่เยี่ยนเอ๋อของข้าล่ะ! เมื่อวานนี้ท่านแม่เล่าให้ฟังว่าเขาให้ป้าอู๋มาเกริ่นเรื่องเจรจาสู่ขอ”
เหอยาโถวมีนิสัยเหมือนอีกฝ่ายที่ชื่นชอบการนินทาเรื่องผู้อื่นอย่างออกรส เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงตั้งคำถามกลับ “แล้วพี่เยี่ยนเอ๋อว่าอย่างไร?”
“นางบอกจะเชื่อฟังคำของท่านแม่” หยุนเชวี่ยทำท่าท่างหงุดหงิด “เจ้าคิดว่าเหตุใดพี่เยี่ยนเอ๋อจึงไม่ตัดสินใจเรื่องการแต่งงานด้วยตนเองเล่า?”
เหอยาโถวตบต้นขาตัวเองดังฉาด “นั่นหมายความว่าพี่เยี่ยนเอ๋อเองก็ชอบพอพี่ต้าหวังอย่างไรเล่า?!”
หยุนเชวี่ยนิ่งอึ้ง
เหอยาโถวพูดต่อไป “ตอนแรกก่อนที่พี่สาวคนรองของข้าจะแต่งงานกับพี่เขยรองนางก็พูดเช่นเดียวกันว่า ‘ข้ายินดีเชื่อฟังพ่อแม่’ ส่วนพี่สามก่อนที่จะหมั้นหมายกับนายน้อยเจิ้งก็พูดประโยคทำนองเดียวกัน นั่นแปลว่าพวกนางเต็มใจอย่างไร้ข้อกังขา!”
“เช่นนั้น… เหตุใดจึงไม่กล่าวออกมาตรง ๆ เล่า?” หยุนเชวี่ยยังรู้สึกสับสน
“สตรีคนใดกันจะอาจหาญกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าชอบพอบุรุษที่เพิ่งรู้จักได้ไม่นาน?” เหอยาโถวไม่เข้าใจความคิดของหยุนเชวี่ยเอาเสียเลย
‘ปกตินางเฉลียวฉลาดนัก เหตุใดเรื่องทำนองนี้จึงมองไม่ออก?’
“หากปากนางไม่ตรงกับใจล่ะ?”
“หากนางไม่เห็นด้วยคงตอบกลับทันทีว่า ‘ข้ายังต้องการทำหน้าที่ลูกสาวผู้กตัญญูต่อไปอีกหนึ่งหรือสองปี’ เท่านี้เหตุใดผู้เป็นพ่อและแม่จะไม่เข้าใจ?”
หยุนเชวี่ยนิ่งไปอีกครั้ง
หลักการคิดของคนสมัยโบราณนี่ช่างซับซ้อนเสียจริง
“เจ้าเป็นคนในครอบครัวของนาง หนำซ้ำยังเป็นสตรีเพศ เหตุใดจึงไม่เข้าใจเรื่องนี้กันนะ?” เหอยาโถวส่ายหน้า
“หากเป็นข้าและชอบพอผู้ใดขึ้นมาคงเดินเข้าไปเจรจากับพวกเขาโดยตรง ไม่มัวเสียเวลาอ้อมค้อมเช่นนี้เป็นแน่” หยุนเชวี่ยกลอกตาอย่างเอือมระอา
“เช่นนั้นเจ้าก็น่าทึ่งไม่น้อยทีเดียว ในหมู่บ้านของเราไม่เคยมีสตรีบ้าบิ่นเช่นเจ้ามาก่อน”
“อย่ากังวลไปเลย ข้าต้องบอกเจ้าเป็นคนแรกอย่างแน่นอน” หยุนเชวี่ยตบหน้าอกผาง
“เอาล่ะ… เช่นนั้นเจ้าหมายตาผู้ใดไว้งั้นรึ?”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้”
เหอยาโถวจิ๊ปากทันทีที่ได้ยินด้วยความขัดใจ “แล้วเจ้าจะพูดพล่ามไปเพื่ออันใดกัน?”
หยุนเชวี่ยเพียงยิ้มและไม่กล่าวตอบแต่อย่างใด
บนภูเขาหลังหมู่บ้าน
บริเวณปากถ้ำ สืออีนอนอยู่ใต้เงาร่มรื่นของเถาวัลย์ซึ่งพันเกี่ยวคบไม้ไปมา ริมฝีปากคาบเคี้ยวหญ้าหางสุนัขและกำลังรอคอยหยุนเชวี่ยอยู่พอดี
ยังไม่ทันเจอหน้าหยุนเชวี่ยหูของสืออีกลับได้ยินประโยคคำถามของเหอยาโถวเข้าเสียก่อน “เจ้าหมายตาผู้ใดไว้งั้นรึ?”
ดวงตาสืออีเบิกโพลงทันที!
ร่างในชุดเสื้อผ้าสีเขียวอ่อนกระโดดผึงขึ้นจากด้านหลังพุ่มไม้ ทำให้พืชพรรณดีดตัวขึ้นจนนกซึ่งอาศัยหลบร่มเงาพลอยบินหนีกระเจิงไปด้วย
“เชวี่ยเอ๋อ!” สืออีโบกมือ
“โอ้! ดูนั่นสิใครกัน?!” เหอยาโถวเบิกตากว้าง “ไม่พบกันเสียหลายวันดูเจ้ามีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย”
“ต้องขอบคุณเชวี่ยเอ๋อ” สืออียืนขึ้นพลางปัดฝุ่นดินตามร่างกาย ท่าทางดูไม่ต่างจากหมาป่าตัวน้อยที่กระดิกหางเมื่อพบคนที่ถูกใจ
“เจ้าหิวหรือไม่?” หยุนเชวี่ยนึกอยากเอื้อมมือไปหยิกแก้มสืออีด้วยความมันเขี้ยวเหมือนที่เคยทำกับเสี่ยวอู่ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองและเห็นสืออีมีความสูงมากกว่าตนจึงห้ามใจเอาไว้
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องมา” สืออีผายมือไปทางปากถ้ำชี้ชวนให้ดูเถาองุ่นซึ่งห้องระโยงระยางอยู่โดยรอบ
ภายในถ้ำได้รับการตกแต่งใหม่ทั้งหมด
ด้านหนึ่งคาดว่าเป็นเตียงซึ่งใช้หญ้าแห้งซ้อนทับกันหลายชั้นปูจนนุ่มหนา อีกฝั่งเป็นโต๊ะซึ่งใช้หินขนาดใหญ่มาจัดวาง ด้านข้างยังมีหินทรงแบนสำหรับเป็นที่นั่งซึ่งปูทับด้วยใบไม้
“เชวี่ยเอ๋อ เจ้าคงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เชิญนั่งพักก่อนเถิด” สืออียิ้มพร้อมชี้ไปที่โต๊ะหิน
เหอยาโถวโผล่มายืนด้านข้างบ้าง “ข้าก็เหนื่อยนะ ทั้งเหนื่อยล้าและร้อนมากด้วย”
“เจ้านั่งตรงนั้น” สืออีชี้นิ้วอีกครั้ง ทว่าสีหน้ากลับไร้ซึ่งความยินดียินร้าย
เหอยาโถวมองตามและเห็นว่าที่นั่งสำหรับตนเองคือเนินดินเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ตรงมุมของถ้ำเท่านั้นจึงหักนิ้วพลางขบเคี้ยวเขี้ยวฟันด้วยความขัดใจ “ไอ้เด็กหน้าอ่อนเอ๊ย!”
“ข้าไม่ยักรู้จักไอ้เด็กหน้าอ่อนที่เจ้ากล่าวถึง” สืออีไม่สบตาเหอยาโถวและหย่อนก้นลงนั่งข้างหยุนเชวี่ยเพื่อรออาหาร
เหอยาโถวสวนกลับ “เจ้าอย่างไรล่ะ!”
สืออีไม่ยอมแพ้เช่นกัน “ข้าว่าเป็นเจ้าต่างหาก!”
หยุนเชวี่ยไม่รู้ว่าควรยุติการปะทะคารมของทั้งสองอย่างไรดี “เจ้าสองคนล้วนหน้าอ่อนทั้งคู่นั่นแหละ…”