ตอนที่ 127 เจ้าไม่ได้เจ็บปวดถึงเพียงนั้น
ในสมัยโบราณการด่าทอบุรุษว่าหน้าอ่อนนั้นไม่ใช่ความหมายที่ดีนัก เพียงพินิจรูปร่างหน้าตาของเหล่าอุปรากรจีน*ที่แสดงเป็นขุนนางชั้นสูงในวังหลวงก็สามารถบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าตัวละครนี้จะต้องเป็นตัวร้ายอย่างแน่นอน
*การแสดงงิ้ว
เหอยาโถวเป็นเด็กชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าขาวผ่องไม่กร้านดำแดดเฉกเช่นเด็กชายอื่น และตอนนี้ก็กำลังเผชิญหน้าอยู่กับเด็กหนุ่มอีกคนที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์สว่างไสวเช่นกัน
เมื่อต่างคนเอาแต่ต่อว่ากันไปมาว่าอีกฝ่ายหน้าอ่อน หยุนเชวี่ยจึงไม่อาจช่วยตัดสินเข้าข้างผู้ใดได้
ไม่รู้ตัวเลยหรือยังไงกันว่าตัวเองมีใบหน้าผุดผ่องยิ่งกว่าสตรีเสียอีก?!
“พวกเจ้าหยุดทะเลาะกันก่อนดีหรือไม่?” หยุนเชวี่ยหยิบขนมปังสองชิ้นพร้อมกับไก่ฟ้าอบห่อใบบัวออกมาจากตะกร้าและจัดเรียงไว้บนโต๊ะหิน
สืออีเม้มริมฝีปากสนิททันที
ส่วนเหอยาโถวยังไม่วายทิ้งท้าย “ผู้ใดใคร่ต่อปากต่อคำกับเขาเล่า?”
“วันนี้อากาศค่อนข้างร้อนทีเดียว ดื่มน้ำดับกระหายกันเสียหน่อยเถิด” นางเอ่ยพลางยื่นน้ำที่บรรจุในโถน้ำเต้าไปตรงหน้า
เหอยาโถวกระหายน้ำไม่น้อยจึงยื่นมือไปรับด้วยความยินดี ทว่ายังไม่ทันไรกลับถูกแขนยาวสองข้างของสืออีมาช่วงชิงมันไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ปริปากเอ่ยคำใด ซ้ำร้ายยังเปิดฝาออกและยกขึ้นกระดกลงลำคอไปสองถึงสามอึกอย่างไม่ยินดียินร้าย
เหอยาโถวจ้องเขม็งไปยังสืออีด้วยสายตาเอาเรื่อง
ทว่าสืออีกลับไม่แม้แต่จะชายตามอง หนำซ้ำยังกระดกน้ำเต้าขึ้นและกรอกเข้าปากจนเอียงเกือบเป็นแนวระนาบบ
“ครั้งหน้าข้าจะไม่มาพบเจ้าอีกเด็ดขาด!” เหอยาโถวกระทืบเท้าเร่า ๆ ด้วยความโกรธ
คิดว่าตนรูปงามแล้วจะทำสิ่งใดก็ได้หรืออย่างไรกัน!
“เชวี่ยเอ๋อ เจ้ากระหายน้ำหรือไม่?” สืออีเอนศีรษะพิงเข้ากับไหล่ของหยุนเชวี่ยพลางเอ่ยถามอย่างสนิทสนม
เหอยาโถวเผยสีหน้าไม่ชอบใจเท่าใดนัก สืออีเอาแต่ทำตัวติดกับหยุนเชวี่ยตลอดเวลาราวปูนที่ยึดเกาะกับผนังบ้าน ช่างน่าขวางหูขวางตาเสียนี่กระไร!
“เด็กน้อยเอ๋ย…” หยุนเชวี่ยยิ้มร่า “อย่ามัวอ้อยอิ่งอยู่เลย เร่งกินอาหารเหล่านี้เร็วเข้า”
“เชวี่ยเอ๋อ ครู่นี้ข้าได้ยินอะไรบางอย่าง…” สืออีแลบลิ้มเลียมุมปากไม่สนใจสิ่งที่หยุนเชวี่ยแนะนำก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าหมายปองผู้ใดไว้อย่างนั้นรึ?”
“ว่าอย่างไรนะ?!” หยุนเชวี่ยร้องเสียงสูงด้วยความตะลึงเพริด
สืออีเว้นจังหวะเพื่อดูดน้ำมันออกจากปลายนิ้วก่อนชี้ไปที่เหอยาโถว “ข้าได้ยินเขาพูดเช่นนั้น”
เหอยาโถวเลิกคิ้ว “ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม… แน่นอนว่าไม่ใช่ไอ้เด็กหน้าอ่อนเช่นเจ้า!”
“ถึงอย่างไรก็ไม่ดูประหลาดเท่าชายกึ่งหญิงเช่นเจ้าหรอก”
“เจ้ากล้าดีอย่างไรกัน!”
“เหตุใดข้าจะไม่กล้า? ชายกึ่งหญิง… ชายกึ่งหญิง!”
“จะ… เจ้า! ข้าชักโกรธจริงจังเสียแล้ว!” เหอยาโถวถลกชายแขนเสื้อขึ้นก่อนเงื้อแขนขึ้นสูงหมายจะข่วนหน้าสืออี
สืออีเห็นเช่นนั้นจึงตั้งรับอย่างไม่สะทกสะท้าน เขาถือขนมปังไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างพุ่งเข้าไปคว้าแขนของเหอยาโถวมากดไว้กับโต๊ะหิน
“โอ๊ย! เจ้ากลั่นแกล้งข้า!”
“มองเพียงผิวเผินเจ้าก็ดูคล้ายสตรีเป็นทุนเดิม ไม่คิดว่าความสามารถของเจ้าจะอ่อนแอเยี่ยงสตรีอีกด้วย!”
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ! ข้าจะข่วนหน้าเจ้า!” เหอยาโถวได้แต่ดิ้นไปมาพลางพยายามใช้ขาเตะสืออีให้ปล่อยตน
สืออีนึกรำคาญฝ่ามืออีกข้างที่จ้องแต่จะฝากรอยเล็บไว้ที่ใบหน้า จึงหยิบขนมปังเข้าปากทำให้มืออีกข้างเป็นอิสระก่อนเอื้อมไปคว้าแขนอีกข้างให้พลิกกลับไปไขว้หลังอยู่บริเวณบั้นเอว
คราวนี้เหอยาโถวหยุดดิ้นเพราะไม่มีมือสำหรับโจมตีสืออีอีกต่อไป
“ปล่อยเขาเถิด อย่ามีเรื่องกันเลย” หยุนเชวี่ยรีบดึงทั้งคู่ให้แยกออกจากกัน
เหอยาโถวเป็นเด็กชายที่มีผิวกายบอบบางละเอียดอ่อนยิ่งกว่าสตรี หากปล่อยให้ร่างกายมีรอยบอบช้ำคงไม่ดีแน่
สืออีได้ยินเช่นนั้นจึงยอมปล่อยมือแต่โดยดีและเคี้ยวขนมปังชิ้นใหญ่เต็มปากเต็มคำอย่างเงียบเชียบ
“ข้า… ข้าเป็นผู้ช่วยชีวิตเจ้าไว้แท้ ๆ แต่เจ้ากลับเนรคุณ! โอ๊ย!” เหอยาโถวต่อว่าขณะที่นัยน์ตาแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ทำให้หยุนเชวี่ยรู้สึกเอ็นดูท่าทางของสหายผู้นี้ไม่ได้ การแสดงออกนั้นดูคล้ายกับสะใภ้ที่พบเจอกับสามีไร้หัวใจอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนชายไร้หัวใจที่ว่าเพียงสะบัดชายเสื้อคลุมที่ขาดวิ่นและจ้องเขม็งไปยังคู่กรณีตาขวาง
“มาให้ข้าดูหน่อยซิ เจ้าไม่ได้บาดเจ็บมากมายถึงเพียงนั้นใช่หรือไม่?” หยุนเชวี่ยปราดเข้าพยุงเหอยาโถวให้ลุกจากเก้าอี้โต๊ะหิน
“ข้าเพียงกดแขนของเขาเท่านั้น” สืออีกล่าวกระแทกกระทั้น
เด็กชายกึ่งหญิงผู้นี้รู้จักวิธีการโกหกอย่างแนบเนียนเสียจริง จนถึงป่านนี้ยังร้องโอดโอยไม่หยุดหย่อน
“เจ้ามีอาการเหน็บชางั้นรึ? ให้ข้าลองหน่อย…” หยุนเชวี่ยเอื้อมมือไปบิดเนื้อตรงเอวของเหอยาโถวทันที “เจ็บหรือไม่?””
“โอ๊ย!” เหอยาโถวกระโดดโหยงจนเท้าลอยสูงขึ้นจากพื้นดินถึงสามฟุตทันทีด้วยความเจ็บปวดระคนตกใจ “หยุนเชวี่ย! เหตุใดเจ้าจึงแกล้งข้าแบบเดียวกับเขาล่ะ?!”
หยุนเชวี่ยเพียงยิ้มและไม่ตอบอะไร
“ข้าแสดงอาการไม่แนบเนียนอย่างนั้นรึ?”
“ข้าจะบอกเขาว่าเจ้าเพียงแสร้งร้องโวยวายเท่านั้น”
หรือผู้ที่หยุนเชวี่ยหมายปองจะเป็นเหอยาโถว? สืออีครุ่นคิดพลางใช้มือลูบคางของตนด้วยความสับสนขณะมองหยุนเชวี่ยที่เอาแต่เดินวนเวียนอยู่รอบกายของเหอยาโถว ยิ่งเห็นยิ่งรู้สึกขัดใจ ทว่าทำได้เพียงขมวดคิ้วมุ่นและเหล่ตามองเท่านั้น
ตอนนี้บาดแผลฉกรรจ์ของสืออีเหลือเพียงรอยเล็ก ๆ เท่านั้น
โชคดียิ่งที่วิธีการรักษาเนื้อตายของหยุนเชวี่ยค่อนข้างได้ผล ทำให้บาดแผลที่เกือบเน่าเปื่อยเริ่มสมานตัว อีกทั้งรอยช้ำเลือดช้ำหนองโดยรอบก็จางลง
“เปลี่ยนให้ใหม่แล้ว ครั้งหน้าแผลคงเริ่มดีขึ้น”
หยุนเชวี่ยหยิบตัวหนอนสีขาวอวบอ้วนออกมาอย่างระมัดระวังก่อนวางไว้ในบริเวณที่มีตัวอ่อนเพิ่งเพาะเลี้ยง ก่อนห่อหุ้มพวกมันไว้แบบเดิมอีกครั้ง
เหอยาโถวซึ่งถอยออกไปยืนห่าง ๆ ชะเง้อคอมองพลางปั้นหน้ายิ้มแหยด้วยรู้สึกขนพองสยองเกล้า
“เชวี่ยเอ๋อ หากบาดแผลของข้าหายเป็นปกติแล้ว ข้ายินดีตอบแทนเจ้าด้วยวัวและม้าพันธุ์ดี” สืออีเผยสีหน้าอ่อนโยนซึ่งฉายชัดถึงความนัยสี่คำความว่า ‘บริสุทธิ์ หวังดี ไม่เป็นอันตราย’
“หากหายดีแล้วอย่างไร? เจ้าไม่คิดตามหาพ่อแม่หรือบ้านที่จากมาหรอกรึ?” หยุนเชวี่ยดึงชายกระโปรงขึ้นสูง
“สิ่งเหล่านั้นข้าไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ข้ากล่าวไว้ชัดเจนแล้ว… ในเมื่อข้าได้รับน้ำใจเมตตาจากมนุษย์ซึ่งหาได้ยากยิ่งในรอบสหัสวรรษย่อมต้องตอบแทน น้ำพุควรสรรเสริญความงดงามของหยดน้ำ เช่นนั้นเจ้าก็ควรเป็นลูกไม้ซึ่งงอกงามจากไม้เนื้อดี…”
“เอาล่ะ เอาล่ะ!” หยุนเชวี่ยโบกมือเพื่อยับยั้งถ้อยคำซึ่งแฝงไปด้วยคารมคมคายจากสืออี “นับว่าเจ้าได้รับการศึกษาวิชาความรู้มาบ้าง”
“หากข้ามีพละกำลังเหลือเฟือย่อมยินดีช่วยงานของเจ้า”
เหอยาโถวกลอกตาก่อนบ่นพึมพำเป็นเสียงกระซิบ “ตอนเจ้าเจ็บป่วยเจียนตาย ข้าอุตส่าห์ใช้เงินเพื่อช่วยรักษาชีวิต เหตุใดเจ้าไม่คิดใช้แรงกายเป็นวัวและม้าทดแทนข้าบ้าง?”
สืออีแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำตัดพ้อนั้นก่อนคุกเข่าลงนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าหยุนเชวี่ยเพื่อร้องขอความเมตตา “เชวี่ยเอ๋อ ข้าขอลงจากภูเขานี้เพื่อรับใช้เจ้าได้หรือไม่?”
“คนรับใช้อย่างนั้นรึ?” หยุนเชวี่ยกะพริบตาปริบ “ครอบครัวของข้าอาศัยอยู่ร่วมกันเพียงห้าคนซึ่งไม่ได้ร่ำรวยเงินทองแต่อย่างใด บ้านของข้าไม่มีเงินพอจะจ้างงานคนเกียจคร้าน”
“เช่นนั้นขอรับใช้ในระยะยาวได้หรือไม่?”
“รับใช้ในระยะยาว?”
“ช่วยงานครอบครัวของเจ้าอย่างไรล่ะ” เหอยาโถวอธิบายเสียงแผ่ว
สืออีพยักหน้ายืนยัน ใบหน้าและแววตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
หยุนเชวี่ยหรี่ตามองสืออีตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนเอ่ยถาม “เจ้าทำงานใดได้บ้าง?”
สืออีดูท่าทางแล้วเหมือนบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลใหญ่ที่ไม่เคยใส่ใจเรื่องการหยิบจับงานใดมาก่อน ทั้งร่างกายยังบอบบางประหนึ่งอดทนต่องานหนักไม่ได้
“แน่นอน ข้าสามารถผ่าฟืน หาบน้ำ ทำสวนทำไร่ และให้อาหารหมู ข้ามีพละกำลังมหาศาลทีเดียวเชียว!” สืออีลุกขึ้นยืนก่อนหมุนตัวกลับเข้าไปในถ้ำและจับจ้องไปยังโต๊ะซึ่งทำจากหิน
สืออีเพียงออกแรงกดมันเท่านั้น
“โครม!” โต๊ะหินทรุดตัวพังลงทันที!
จากนั้นสืออีจึงยกหินสองก้อนซึ่งแตกออกเป็นชิ้นที่มีขนาดใหญ่กว่าชิ้นอื่น ๆ ขึ้นมาด้วยมือหนึ่งข้าง ท่อนแขนปรากฏเส้นเอ็นและเส้นเลือดที่ปูดโปนเพราะการออกแรงอย่างชัดเจน
หยุนเชวี่ยจ้องมองการกระทำของสืออีพลางเลิกคิ้ว
“คอยดูให้ดี” สืออียกหินก้อนนั้นขึ้นสูงเหนือศีรษะขึ้นลงสองครั้ง จากนั้นจึงวางหินชิ้นที่แบนกว่าลงตรงหน้าก่อนถลกแขนเสื้อขึ้นพลางแกว่งแขนแรง ๆ ตั้งท่าจะเหวี่ยงก้อนหินยักษ์ในมือทุบไปด้านหน้า
“เจ้าจะทำอะไรน่ะ?!” หยุยเชวี่ยและเหอยาโถวเริ่มหน้าถอดสี
สืออียั้งแรงมือของตนก่อนกล่าวตอบหยุนเชวี่ยอย่างใจเย็น “ทุบหินก้อนใหญ่ให้แตกออกด้วยมือเปล่าอย่างไรล่ะ!”
ทั้งหยุนเชวี่ยและเหอยาโถวนิ่งอึ้งด้วยความตระหนกอีกครั้ง
ก่อนสืออีจะทำสิ่งบ้าบิ่น หยุนเชวี่ยซึ่งได้สติก่อนจึงพุ่งตัวเข้าไปเตะขา “พอเสียที! ไหล่ของเจ้ายังบาดเจ็บแล้วยังคิดอวดดีทุบก้อนหินด้วยมือเปล่าอีกรึ?! ข้าไม่มีเงินมากมายก่ายกองสำหรับจ้างงานเจ้าเสียหน่อย!”
แม้ถูกหยุนเชวี่ยผลักหลายครั้งทว่าการยืนของสืออียังมั่นคงไร้การซวนเซ “เชวี่ยเอ๋อ ข้ามีเรี่ยวแรงมากพอ ต่อให้เจ้าเตะข้าอีกสองครั้งก็ไม่อาจทำให้ข้าละความพยายามได้!”
เหอยาโถวกระโดดโหยงอย่างตื่นตัวทันที มีผู้โง่เขลาร่ำร้องหาการใช้กำลังอย่างนั้นรึ? นี่สืออีบาดเจ็บจริงหรือหลอกกันแน่?!