ตอนที่ 128 สตรีมากพิษสง

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 128 สตรีมากพิษสง

“เชวี่ยเอ๋อ… เหอยาโถว!”

“ว่าอย่างไรหรือป้าเหลียว?”

ทันทีทีหยุนเชวี่ยและเหอยาโถวลงมาจากภูเขาหลังหมู่บ้านก็ถูกแม่หม้ายเหลียวซึ่งเป็นแม่ของเหลียวชีจินกวักมือร้องเรียกเสียก่อน

“ป้าตั้งใจเดินทางไปที่บ้านของเจ้าทั้งสองเพื่อแสดงน้ำใจขอบคุณอยู่พอดี…” แม่หม้ายเหลียวยกกระบุงซึ่งมีแตงกวาสดใหม่และผักหายากอีกจำนวนหนึ่งให้เด็ก ๆ ดู

“ครอบครัวของป้าไม่มีสิ่งของมากมูลค่าแต่อย่างใด ทว่าพืชผลในสวนของข้าเจริญงอกงามดียิ่ง วันข้างหน้าหากพวกเจ้าต้องการสิ่งใดสามารถเข้ามาเลือกสรรได้ตามชอบ”

“ขอบคุณป้าเหลียวแล้ว”

เหอยาโถวซึ่งกำลังกระหายน้ำโค้งคำนับและเอื้อมมือไปเด็ดแตงกวาจากต้นในสวนของแม่หม้ายเหลียวอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นจึงใช้ชายเสื้อเช็ดคราบดินออกและหักครึ่งก่อนยื่นส่วนหนึ่งให้กับหยุนเชวี่ย

หยุนเชวี่ยคว้าไปกัดกินกันที “ขอบคุณท่านป้าแล้ว”

“เพ้ย! ขอบคุณอันใดกัน? พืชผักเหล่านี้ไม่มีราคาค่างวดอะไรสูงส่ง อย่าได้เกรงใจ เด็ดกลับไปกินหลาย ๆ ลูกเถิด ป้ายินดีมอบให้…” แม่หม้ายเหลียวเด็ดผักใส่กระบุงอีกสองสามอย่างก่อนยัดมันเข้าไปในอ้อมแขนของพวกเขา

“ป้าเพียงอยากขอบคุณเจ้าทั้งสองคน เจ้าส่งเสริมให้ชีจินหาเงินมาจุนเจือครอบครัวได้มากมายทีเดียว ทั้งยังพาเขาไปกินไก่ย่างในภัตตาคารหลงชิ่ง เด็กในหมู่บ้านของเราเพียงไม่กี่คนที่ได้รับโอกาสอันดีเช่นนี้ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในนั้น นอกจากนี้เขายังกล่าวอีกว่าจะตั้งใจเก็บหอมรอมริบจนมีเงินมากพอ และพาท่านลุง ท่านป้า และแม่ของเขาไปที่ภัตตาคารให้จงได้!” แม่หม้ายเหลียวเอ่ยชื่นชมลูกชายของตนไม่หยุดปาก

ผู้คนในแถบชนบทมีอุปนิสัยสัตย์ซื่อจริงใจ พวกเขาไม่มีวันรับผลประโยชน์ไว้เพียงผู้เดียวและจะทำทุกหนทางเพื่อแสดงความกตัญญูต่อครอบครัวให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเฉกเช่นตนเอง

แม้แตงกวาและพืชผักที่เพาะปลูกเหล่านี้ไม่มีมูลค่ามากนักทว่าก็เป็นหัวใจหลักของครัวเรือน

เหอยาโถวได้แต่โบกมือเป็นเชิงปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า “ท่านป้า บ้านของข้ายังมีเรือกสวนซึ่งท่านแม่ปลูกพืชผักเอาไว้มากมาย ดังนั้นทั้งหมดนี้มอบให้หยุนเชวี่ยดีกว่า”

นั่นเป็นเพราะเหอยาโถวตระหนักดีว่าครอบครัวของหยุนเชวี่ยเป็นอย่างไร

แม่เฒ่าจูตระหนี่ถี่เหนียวยิ่ง นางไม่มีวันแบ่งปันพืชผักทั้งหมดในสวนให้คนในครอบครัวจนกว่ามันจะเริ่มเฉาและแห้งเหี่ยวตามอายุขัย ยิ่งเมื่อมีการเพาะปลูกพืชผลชุดใหม่ไม่นานมานี้ แน่นอนว่าไม่มีวันอนุญาตให้ผู้ใดเก็บเกี่ยวจนกว่าเวลาจะผันผ่านเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง

“ให้ข้าทั้งหมดเลยงั้นรึ? เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจอีก” หยุนเชวี่ยน้อมรับพืชผักล้นกระบุงนี้ไว้ด้วยความยินดี “ท่านป้า เช่นนั้นข้าจะนำกระบุงนี้มาคืนให้ท่านทีหลัง”

“ย่อมได้!” แม่หม้ายเหลียวยิ้มกว้างอย่างเปี่ยมสุข “หากหมดแล้วก็มาเลือกในสวนของข้าได้ทุกเมื่อตราบเท่าที่เจ้าต้องการ”

“ท่านป้า ฤดูกาลนี้แตงกวาและถั่วให้ผลผลิตมากน้อยเพียงใด?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามพลางกัดแตงกวาเพิ่มอีกหนึ่งคำ

“มากเกินกว่าที่ป้าคาดการณ์ไว้พอดู ป้าไม่จำเป็นต้องพยายามดูแลมากมายด้วยซ้ำ เพียงรดน้ำพรวนดินพอประมาณมันก็เจริญงอกงามเป็นอย่างดี”

หยุนเชวี่ยนึกภาพตามและพลอยมีความสุขไปด้วย “นั่นคงดีไม่น้อย!”

“ครั้งต่อไปพวกเจ้าสามารถมาพบป้าได้ทุกเมื่อ” แม่หม้ายเหลียวไม่วายหันมากำชับอีกครั้ง “อย่าทำตัวสุภาพไปเลย คิดเสียว่าป้าเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งในครอบครัว”

ครั้นกล่าวจบนางจึงหมุนกายเตรียมกลับเข้าไปในตัวบ้าน แต่แล้วก็หันกลับราวนึกบางสิ่งขึ้นได้และเดินเข้าหาหยุนเชวี่ยประมาณสองก้าวก่อนเอ่ยถาม “ประเดี๋ยวก่อนหยุนเชวี่ย… ป้าได้ยินมาว่าป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าอาการไม่สู้ดีนักใช่หรือไม่?”

“หืม?” หยุนเชวี่ยนิ่งอึ้งไป

“ท่านป้าสะใภ้ใหญ่เป็นอะไรไปรึ?” เหอยาโถวเอ่ยถามด้วยความสงสัยเช่นกัน

“ป้าได้ยินซานหลางโพนทะนาเมื่อเช้านี้ว่าหยุนชิ่วเอ๋อใช้ชามชาทุบป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าจนตาย เป็นเรื่องจริงงั้นรึ?” แม่หม้ายเหลียวเอ่ยถามด้วยเสียงกระซิบ

“ว่าอย่างไรนะ?! ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าตายแล้วอย่างนั้นหรือ?!” เหอยาโถวร้องลั่นจนเสียงที่แหบแห้งแหลมสูงขึ้นเล็กน้อย “หากเป็นเช่นนั้นหมายความว่าอาชิ่วเอ๋อต้องคดีฆ่าคนตายน่ะ!”

หยุนเชวี่ยตกตะลึงจนปริปากคำใดไม่ออก

ซานหลางถ่ายทอดนิสัยปากไม่มีหูรูดของพ่อและแม่ของเขามาแทบทุกกระเบียดนิ้ว ปากของซานหลางหละหลวมยิ่งกว่าเอวกางเกงผ้าฝ้ายเสียอีก ในหนึ่งวันเอาแต่เล่าความเท็จไร้สาระไม่หยุดหย่อน

“เขาเล่าความเท็จเป็นแน่ ป้าสะใภ้ใหญ่ของข้ายะ… ยังไม่ตายเสียหน่อย”

ถึงกระนั้นหยุนเชวี่ยก็ไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปาก เป็นเวลาหลายวันแล้วที่แม่นางจ้าวกินโอสถทุกขนานทว่ายังไม่มีวี่แววว่าจะลืมตาตื่น

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว หมู่บ้านของเรายังไม่เคยเกิดความขัดแย้งถึงขั้นเอาชีวิตมาก่อน ครัวเรือนยังคงสงบสุข…” แม่หม้ายเหลียวโคลงศีรษะหลังสืบทราบว่าข่าวลือเป็นเรื่องเท็จ “ชิ่วเอ๋อ… นางช่างร้ายกาจเสียจริง!”

เป็นเรื่องปกติสำหรับครอบครัวไม่ว่าจะในสังคมเมืองหรือสังคมชนบทที่สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองมักขัดแย้งกัน

แต่ต่อให้ทะเลาะเบาะแว้งอย่างไรพวกเขาล้วนอดทนอยู่ร่วมชายคาเดียวกันได้ นี่เป็นครั้งแรกที่แม่หม้ายเหลียวได้ยินว่าน้องสาวสามีถึงขั้นจะฆ่าแกงพี่สะใภ้

แม่หม้ายเหลียวเข้าใจมาตลอดว่าหยุนชิ่วเอ๋อคือสตรีซึ่งมีกริยามารยาทเพียบพร้อม ทั้งยังสุภาพงดงามตามคำร่ำลือ แต่เมื่อฟังเรื่องราวฉาวโฉ่ที่หยุนชิ่วเอ๋อกระทำแล้วให้รู้สึกรังเกียจนัก หากเป็นเช่นนี้แล้วผู้ใดเล่าจะกล้าเจรจาสู่ขอให้แต่งงานเข้าตระกูล?

“เหตุใดตระกูลของเจ้าจึงมีเรื่องได้ทุกวี่วัน?” เหอยาโถวอดถอนหายใจเพราะความเหนื่อยหน่ายไม่ได้ “น่าแปลกนัก… ทั้งที่ท่านป้าสะใภ้ใหญ่มีสามีเป็นถึงบัณฑิต ไฉนจึงปล่อยให้มีการทุบตีเกิดขึ้นได้?”

“เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อนเกินจะอธิบาย” หยุนเชวี่ยตรงกลับบ้านทันที

“ข้าขอตามเจ้าไปเล่นที่บ้านด้วย”

“แต่ข้ายังต้องรอถึงช่วงเย็น ท่านแม่จึงจะล้างผักเหล่านี้และนำไปดองเก็บไว้”

ทว่าคำปฏิเสธโดยอ้อมเหล่านั้นมิได้นำพาให้เหอยาโถวละความพยายามแต่อย่างใด เขารีบก้าวตามหยุนเชวี่ยไปทันที “เช่นนั้นข้าขอตามไปดูเสียหน่อย…”

บ้านตระกูลหยุน

ทันทีที่ย่างกรายเข้าไปในบริเวณบ้าน หยุนเชวี่ยพลันได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมสูงดังลั่น

“ไอ้เด็กบัดซบ! ปากของเจ้ายื่นยาวถึงขั้นเอาเรื่องในครอบครัวไปโพนทะนาทั้งหมู่บ้าน! หยุดอยู่ตรงนั้นนะ! วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย!”

“อย่าหาเรื่องขัดแย้งกับท่านอา! วิ่งหนีไปเร็วเข้า!”

“หุบปาก! ผูู้ใดกล้าช่วยเหลือนังเด็กสารเลวนี่ ข้าจะฆ่ามันอีกคน!”

คำสบถสาปแช่งระคายหูเหล่านี้ไม่ได้ออกจากปากแม่เฒ่าจู ทว่าผู้พูดคือหยุนชิ่วเอ๋อ

หยุนเชวี่ยเหลือบมองเหอยาโถวด้วยหางตาทันที ด้วยต้องการจะสื่อว่าบ้านของข้าแทบแตกสาแหรกขาดอยู่แล้ว เจ้ายังหวังจะเล่นสนุกใดอีก?

เหอยาโถวเพียงเลิกคิ้วพลางขบริมฝีปากก่อนโบกมือให้หยุนเชวี่ยเปิดประตูู

หยุนเชวี่ยสอดมือเข้าไปและพบว่าประตูลานบ้านถูกลงกลอนไว้อย่างแน่นหนา ครั้นคลายกลอนและเปิดกว้างออกเพียงครึ่งจนเกิดเสียง “เอี๊ยด…” ทันใดนั้นเงาดำทะมึนพลันพุ่งตัวออกจากช่องประตูไปอย่างรวดเร็ว

“ตุบ!” หน้าผากของหยุนเชวี่ยถูกประตูกระแทกโดยแรงกระทั่งเสียการทรงตัวจนทรุดลงนั่งกับพื้น

“โอ๊ย!” หยุนเชวี่ยล้มลงก้นจ้ำเบ้า สองขาชาวาบและอ่อนแรง

ขณะที่หยุนเชวี่ยยังตกอยูู่ในสภาพมึนงง นางเห็นเพียงหยุนชิ่วเอ๋อถือด้ามไม้กวาดวิ่งผ่านไปพลางตะโกนดุด่าอย่างเผ็ดร้อนด้วยเสียงแหลมสูง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธถึงขีดสุด “หากกล้าหนีก็อย่าได้กลับเข้ามาอีก!”

“วูบ…” เงาปริศนาซึ่งไม่ทันระบุตัวตนหายวับไปพร้อมกับสายลมกระโชก

“เชวี่ยเอ๋อ เป็นอย่างไรบ้าง? ลุกขึ้นยืนไหมหรือไม่?” เหอยาโถวปราดเข้าประคองหยุนเชวี่ยทันที

“ชู่ว… อย่าเพิ่งรีบร้อน ข้าขอเวลาสักหน่อย” หยุนเชวี่ยพยายามฝืนยิ้มทั้งที่ยังเจ็บปวด

“ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของเจ้า! สาระแนไม่เข้าท่าจนนังเด็กชั่วช้านั่นหนีหลุดไปได้!” หยุนชิ่วเอ๋อเริ่มโทษคนรอบข้างขณะกระชับด้ามไม้กวาดแน่น ริมฝีปากยังพ่นคำสบถออกไม่หยุดหย่อนพลางหอบหายใจหนักหน่วง

“ท่านจะกล่าวโทษเชวี่ยเอ๋อได้อย่างไรกัน? ประตูลานบ้านไม่ได้ปิดตายเสียหน่อย!” เหอยาโถวกลอกตาครั้งหนึ่งก่อนหันไปต่อปากต่อคำพลางเท้าสะเอว

“แกเป็นใครกัน?! นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวไม่ใช่สิ่งที่คนนอกเช่นเจ้าควรแส่ ข้าไม่ใคร่จะต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าอีกคนหรอกนะ!” หยุนชิ่วเอ๋อมองอีกฝ่ายด้วยหางตา ครั้นคาดเดาว่าตนอาวุโสกว่าจึงถือไม้กวาดไล่ทุบตีแทนการกล่าวคำทักทายแขกผู้มาเยือน

เหอยาโถวไม่หวาดกลัวนางแต่อย่างใด เขาวิ่งหลบหลีกซ้ายขวาพลางตะโกนด้วยเสียงอันดัง “หยุนชิ่วเอ๋ออาละวาดไล่ตีคนอีกแล้ว! นางเพิ่งฆ่าแม่นางจ้าวและกำลังจะฆ่าข้าอีกคน น่ารังเกียจสิ้นดี! ทุกคนมาดูความร้ายกาจของนางเร็วเข้า…”

เวลานี้คือช่วงเย็นที่หลายครัวเรือนเพิ่งกลับจากการทำงาน ครั้นได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเช่นนั้นจึงกรูเข้ามามุงดูทันที

“การฆาตกรรมต้องชดใช้ด้วยชีวิต! ไม่ช้าก็เร็วท่านจะต้องถูกอาญาแผ่นดินตัดสินลงโทษ!” เหอยาโถวยังคงตะโกนต่อไปและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง

“ไอ้เด็กโง่! ข้าไม่ได้ฆ่าผู้ใดทั้งสิ้น! พี่สะใภ้จ้าวนอนอยู่ในบ้าน นางยังไม่ตาย! ข้าหาใช่คนทำร้ายนาง!” หยุนชิ่วเอ๋อไล่ทุบตีอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละด้วยความโกรธแค้น

ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม แม่นางเหลียน แม่นางเฉิน หยุนลี่เต๋อ หยุนลี่เซียว ผูู้เฒ่าหยุน และหยุนลี่จงจึงรีบร้อนเดินออกมากลางลานบ้านเพื่อดูเหตุการณ์ทันที

“โอ้! เชวี่ยเอ๋อ! เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?!” ทันทีที่แม่นางเหลียนเห็นหยุนเชวี่ยนั่งนิ่งอยู่กับพื้นจึงปราดเข้าประคองทันทีด้วยความตระหนกว่าหยุนเชวี่ยต้องถูกหยุนชิ่วเอ๋อทุบตีเป็นแน่