ตอนที่ 169-1 ไล่ล่า

ชายาเคียงหทัย

บรรยากาศดูหนักอึ้งขึ้นในชั่วพริบตา พักใหญ่ ม่อหวาส่งเสียงหึขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หันไปเอ่ยกับพวกจั๋วจิ้งว่า “พวกเจ้าคุ้มครองพระชายาให้ดี” พูดจบก็หมุนตัวจากไปทันที

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว เอ่ยถามว่า “เจ้าจะไปที่ใด”

 

 

ม่อหวากัดฟันยิ้มอย่างเ**้ยมโหด “ข้าจะนำคนไปตัดหัวแม่ทัพที่นำทัพมาพวกนั้นเสียก่อน ดูซิว่าพวกมันจะฉวยโอกาสอย่างไร!”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่ได้ ทหารจำนวนมากมาหยุดพักอยู่ละแวกเขตหงโจวเช่นนี้ หากไม่มีคนคอยควบคุมดูแลมีแต่จะยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่ อีกอย่าง…ยามนี้แม่ทัพที่นำทัพมาเหล่านี้ไม่แน่ว่าจะเป็นคนที่ยอมเชื่อฟังคำสั่งง่ายๆ ม่อจิ่งฉีไม่มีทางไม่ส่งผู้ใดมาควบคุม”

 

 

ม่อจิ่งฉีมิใช่คนที่จะเชื่อใจขุนนางได้ง่ายๆ ที่เขามีราชโองการลับเช่นนี้มา เชื่อว่าเขาจะต้องส่งคนที่มีความสำคัญพอประมาณมาอย่างแน่นอน

 

 

ม่อหวาหันกลับมามองเยี่ยหลี “พระชายามีแผนการอันใดหรือ”

 

 

เยี่ยหลีนิ่งเงียบไปเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบาว่า “อย่างน้อยภายในวันนี้จะให้พวกมันเข้าใกล้เมืองหงโจวไม่ได้ จั๋วจิ้ง หาทางทำให้พวกมันรู้ว่า ข้าไปจากหงโจวแล้ว!”

 

 

ทุกคนต่างหันมองเยี่ยหลีเป็นตาเดียว สายตาทุกคู่เต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วย

 

 

จั๋วจิ้งเอ่ยว่า “พระชายา อันตรายเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “ยามนี้ทำได้เพียงเท่านี้ หวังเพียงว่า…ท่านอ๋องจะส่งคนมารับช่วงหงโจวต่อได้ทันการณ์ ไปเถิด”

 

 

จั๋วจิ้งยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ยอมขยับแม้เพียงครึ่งก้าว

 

 

เยี่ยหลีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย “นี่คือคำสั่ง!”

 

 

จั๋วจิ้งจึงทำได้เพียงหมุนตัวไปอย่างทำอันใดไม่ได้ ม่อหวาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ท่านอ๋องน่าจะอยู่ระหว่างทางมาหงโจว พระชายา หากพวกเราใช้อีกเส้นทางหนึ่งเดินทางลงใต้ บางทีอาจได้พบกับท่านอ๋องระหว่างทางนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีหันกลับไปมองเมืองหงโจวอีกครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “คงทำได้เพียงเท่านี้ ไปกันเถิด”

 

 

ทั้งคณะทำตามที่ม่อหวาว่า ใช้อีกเส้นทางหนึ่งเดินทางลงใต้ และไม่นาน กองทัพต้าฉู่ที่ปักหลักอยู่ไม่ไกลก็เริ่มเคลื่อนพล แต่มิได้มุ่งหน้าไปทางหงโจว กลับกระจายออกไปคนละทิศละทางประหนึ่งกำลังตามหาผู้ใดอยู่

 

 

ในขณะเดียวกันนั้น ทหารยอดฝีมืออีกกลุ่มหนึ่งก็เดินทางมาเมืองหงโจว มุ่งหน้ามาด้านในด่านอย่างรวดเร็ว

 

 

ยามค่ำคืน ภายในป่าแห่งหนึ่ง เกิดเสียงประทะกันของอาวุธขึ้นมิได้หยุด ภายในป่ามีองครักษ์ลับจำนวนสิบกว่านายกำลังล้อมอารักขาเยี่ยหลีที่อยู่ตรงกลางวง และรับมือกับศัตรูที่รายล้อมกันเข้ามาไม่ได้หยุด บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยศพทหารที่นอนเสียชีวิตอยู่ พร้อมกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วผืนป่า

 

 

“พระชายา พวกเราถูกล้อมไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ม่อหวาที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยหลี เอ่ยเสียงขรึมขึ้น

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “ก็เห็นได้ชัดอยู่” พวกเขาทั้งหมดมีกันอยู่ไม่ถึงห้าสิบคน แต่อีกฝ่ายหนึ่งมากันอย่างน้อยๆ ก็เจ็ดแปดร้อยคน และยิ่งเห็นสัญญาณที่อีกฝ่ายส่งมา นางก็ไม่นึกสงสัยเลยว่า มีทหารจำนวนมากของอีกฝ่ายกำลังตามมา “ควรกล่าวว่า ม่อจิ่งฉีให้ความสำคัญกับข้าพอดูทีเดียวหรือไม่นะ”

 

 

หลินหานเอ่ยว่า “เกรงว่าในสายตาพวกมัน หงโจวคงเสียหายและพ่ายแพ้ทั้งสองฝ่ายเป็นแน่แล้ว เรื่องการจับตัวพระชายาจึงสำคัญกว่าสักเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ” ที่สำคัญกว่านั้นคือ พวกเขาได้รู้จากปากของผู้บัญชาการทหารนายหนึ่งที่จับตัวได้ว่า ในราชโองการลับของม่อจิ่งฉีมีบอกไว้ว่า คนที่จับตัวพระชายาติ้งอ๋องได้ จะได้รับรางวัลสองหมื่นตำลึงทอง และได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นสามขั้น ส่วนคนที่สาหารชายาติ้งอ๋องได้จะได้รับรางวัลสองหมื่นตำลึงทอง เมื่อเทียบกันแล้ว ประโยชน์ที่จะได้รับจากการไปร่วมรบที่หงโจวจึงดูน้อยไปถนัดตา

 

 

ม่อหวาหันมองทั้งสี่คน “พวกเจ้าอารักขาพระชายาฝ่าวงล้อมออกไปก่อน พวกเราจะขวางพวกนี้ไว้เอง”

 

 

เยี่ยหลีทำได้เพียงยิ้มขื่นๆ “ยามนี้จะฝ่าออกไปด้วยคนเพียงสามสี่คนนั้นยากเสียยิ่งกว่ายาก ไปด้วยกันนี่ล่ะ”

 

 

ม่อหวาชะงักไปเล็กน้อย เขาเองก็รู้ดีว่าสิ่งที่พระชายาพูดนั้นเป็นความจริง ยามนี้พวกเขาถูกล้อมไว้อยู่กลางป่า หากคิดจะฝ่าออกไปด้วยคนเพียงสามสี่คน ก็ถือเป็นการหาที่ตายชัดๆ อีกทั้งกลุ่มของพระชายานั้นเป็นคนที่อีกฝ่ายให้ความสำคัญอีกด้วย

 

 

เยี่ยหลีก้มตัวหลบดาบเล่มยาวจากมือทหารนายหนึ่งที่พุ่งเข้ามา ก่อนหมุนตัวตัดคออีกฝ่ายลงได้อย่างง่ายดาย กลิ่นคาวเลือดที่ลอยมาตามอากาศทำให้นางอดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้ และพยายามกดอาการคลื่นไส้อยากอาเจียนของตนลง

 

 

“ชายาติ้งอ๋อง เชิญออกมาเจรจากันเถิด!” จู่ๆ ก็มีเสียงผู้บัญชาการทหารนายหนึ่งดังขึ้นจากนอกป่า นายทหารโดยรอบก็ดูจะได้รับคำสั่งให้หยุดมือ และเพียงจับจ้องคณะของพวกนางอย่างระแวดระวังเท่านั้น

 

 

เยี่ยหลีที่ยืนอยู่ด้านหลังองครักษ์ลับ เอ่ยเรียบๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ท่านคือแม่ทัพท่านใดหรือ”

 

 

อีกฝ่ายหัวเราะหึๆ “เรื่องนี้พระชายามิจำเป็นต้องรู้หรอกพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยมิได้ตั้งใจจะทำร้ายพระชายา ขอเพียงพระชายายอมออกมา พวกข้าน้อยจะรีบคุ้มครองพระชายากลับไปพักผ่อนยังเมืองหลวงทันทีพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลียิ้มเยาะ ช่างพูดจาได้น่าฟังนัก หากกลับไปถึงเมืองหลวงแล้ว สิ่งที่รอนางอยู่คงมีเพียงการกักบริเวณอย่างไม่มีกำหนดเวลาและการใช้ประโยชน์จากนางเท่านั้น คงใช้นางเป็นเครื่องต่อรองกับม่อซิวเหยาเท่านั้นเอง อีกอย่างยามนี้นางกำลังตั้งครรภ์ ยิ่งมิอาจตกอยู่ในกำมือของม่อจิ่งฉี เพียงม่อจิ่งฉีเห็นตำหนักติ้งอ๋องเป็นศัตรูและความโกรธแค้นที่ม่อจิ่งฉีมีต่อม่อซิวเหยานั้น ก็ยากที่จินตนาการว่าเขาจะทำเช่นไรบ้างแล้ว

 

 

เมื่อเห็นว่าเยี่ยหลีไม่ตอบ อีกฝ่ายจึงร้อนใจขึ้นมาทันที เอ่ยเสียงขรึมว่า “พระชายา พวกข้าน้อยรู้ว่ายามนี้ท่านอ๋องกำลังนำทหารรีบรุดเดินทางมาที่นี่ ดังนั้นข้าน้อยจึงให้เวลาพระชายาได้ไม่มากนัก หากหลังจากนี้หนึ่งชั่วยามแล้วพยะชายายังไม่ออกมา ก็ได้โปรดอภัยหากข้าน้อยจะต้องเสียมารยาท”

 

 

เว่ยลิ่นยิ้มเยาะ เอ่ยว่า “ในเมื่อรู้ว่าติ้งอ๋องใกล้จะมาถึงแล้ว ยังกล้าเสียมารยาทกับพระชายาเช่นนี้ พวกเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่กันแล้วงั้นสิ”

 

 

อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า “เมื่อผู้เป็นนายคอยเลี้ยงดูเรา เราก็ต้องแบ่งเบาภาระให้ผู้เป็นนาย พวกข้าน้อยเองก็ไม่มีทางเลือก ขอพระชายาได้โปรดเห็นใจด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากนั้นบรรยากาศก็หนักอึ้งไปจนบีบคั้นขึ้นทันที

 

 

เยี่ยหลีมองสายตานับไม่ถ้วนที่จับจ้องพวกนางอยู่ด้วยความระมัดระวัง นางยกมือขึ้นลูบหน้าท้องอันแบนราบเบาๆ พร้อมรอยยิ้มที่ดูช่วยไม่ได้และเหนื่อยล้า “จั๋วจิ้ง ยามนี้…ไม่รู้ว่าที่เมืองหงโจวเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

 

 

จั๋วจิ้งเอ่ยว่า “จำนวนทหารที่เดินทางมาก่อนนั้นมีไม่มากนัก เกรงว่าทั้งหมดคงตามไล่หลังพวกเรามาพ่ะย่ะค่ะ ส่วนสถานการณ์ที่เมืองหงโจว หากไม่มีอันใดผิดคาด ก็น่าจะเป็นไปตามที่พระชายาคิดไว้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยพลีพยักหน้ายิ้มๆ อย่างใจชื้น “เช่นนั้นก็ดี ถือว่า…มีทางหนึ่งชนะได้แล้วกระมัง”

 

 

หลินหานเอ่ยถามเสียงต่ำว่า “พระชายา ยามนี้พวกเราควรทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีเหลือบตาขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย เอ่ยเสียงต่ำว่า “ฝ่าออกไปทางตะวันออกเฉียงใต้”

 

 

ม่อหวาขมวดคิ้วแน่นด้วยความเป็นกังวล “สุขภาพของพระชายา…”

 

 

เยี่ยหลียิ้มเย็น “หากตกอยู่ในมือพวกเขา เจ้าคิดว่าจะเกิดอันใดขึ้น”

 

 

ม่อหวาไม่ตอบ หากเพียงพระชายาตกอยู่ในมือม่อจิ่งฉี บางทีอาจไม่ตาย หรือไม่ก็อาจถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือจับท่านอ๋อง แต่หากทายาทตำหนักติ้งอ๋องในอนาคตเกิดตกอยู่ในมือม่อจิ่งฉีเข้า…นั่นคงถือเป็นหายนะครั้งใหญ่ทีเดียว มิใช่เพียงกับท่านอ๋องและพระชายาเท่านั้น แต่จะถือเป็นหายนะของกองทัพตระกูลม่อทั้งหมดเลยทีเดียว

 

 

ม่อหวามองลึกเข้าไปในดวงตาของเยี่ยหลี ก่อนทำความเคารพอย่างที่ไม่เคยทำต่อหน้าเยี่ยหลีมาก่อน พร้อมเอ่ยว่า “ข้าน้อยจะทำตามบัญชาของพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

มุมทางตะวันออกเฉียงใต้นั้นมุ่งเข้าไปในป่าลึก ภูมิศาสตร์เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางและอันตรายกว่าทางอื่นมากนัก บางทีอาจด้วยเพราะเหตุนี้ ทหารที่ล้อมอยู่ในจุดนี้ดูจะมีจำนวนน้อยกว่ามุมอื่นอย่างเห็นได้ชัด และนี่ก็เป็นความหวังเดียวของพวกเขาที่จะฝ่าออกไปได้

 

 

เมื่อเยี่ยหลีออกคำสั่งมาเช่นนี้ องครักษ์ลับทั้งหมดก็มุ่งฝ่าออกไปทางด้านนั้นทันที และสังหารทุกคนที่เข้าขวางอย่างไร้ความปราณี

 

 

ทางด้านหลัง มีเสียงที่ร้องตะโกนขึ้นด้วยความโกรธจัดและร้อนรนดังขึ้นจากนอกป่า “ฆ่าให้หมด! ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย อย่าปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว!”

 

 

แล้วคนทั้งกลุ่มก็ฝ่าวงล้อมออกไปได้ด้วยวิธีการนี้จริงๆ จากนั้นก็เคลื่อนตัวลึกเข้าไปในป่า เพียงแต่ องครักษ์ลับที่ติดตามมานั้นเหลือเพียงเจ็ดแปดคนเท่านั้น ทุกคนรวมถึงม่อหวาและพวกจั๋วจิ้งต่างเหน็ดเหนื่อยและได้รับบาดเจ็บไปกันทุกคน มีเพียงเยี่ยหลีที่พวกเขาคอยอารักขาเท่านั้นที่นอกจากจะมีสีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อยแล้ว มิได้รับบาดเจ็บใดๆ อีก

 

 

ภายในป่าลึก มีร่องรอยของผู้คนอยู่น้อยนัก ถึงแม้อีกฝ่ายจะมีทหารอยู่นับพันคน แต่หากคิดจะหาร่องรอยของคนเพียงไม่กี่คนที่ต้องการหลบซ่อนอยู่ในผืนป่ากันกว้างใหญ่เช่นนี้ ก็มิใช่เรื่องง่าย

 

 

เช้าวันต่อมา คณะของนางก็ถือที่ว่าสลัดทหารที่ตามมาไปได้แล้ว แต่เช่นเดียวกัน พวกเขาเองก็ติดอยู่ในป่าเขาลึก ไม่รู้กำลังมุ่งหน้าไปที่ใด รู้เพียงทิศทางคร่าวๆ ที่กำลังมุ่งหน้าไปเท่านั้น

 

 

ชั่วชีวิตทั้งชาติที่แล้วและชาตินี้ เยี่ยหลียังไม่เคยอยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นนี้มาก่อน ในชาติที่แล้วถึงแม้นางจะเคยประสบกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายกว่าในยามนี้มามาก แต่นั่นเป็นยามที่นางอยู่ในสภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง แต่ในยามนี้ที่นางกำลังตั้งครรภ์ ถึงแม้จะยังไม่ทำให้เคลื่อนตัวลำบาก แต่ในด้านกำลังกายนั้น ก็ดูจะเกินรับไหวไม่น้อยทีเดียว

 

 

ในช่วงตั้งครรภ์สามเดือนแรก กำลังอยู่ในระยะอันตราย ไม่เหมาะกับการทำกิจกรรมหนักสักเท่าไร ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงหนึ่งวันกว่าๆ แต่เยี่ยหลีก็เริ่มรู้สึกไม่สบายตัวเท่าไรนัก ตัวนางรู้ดีว่า หากไม่ระวังอีกเพียงนิดเดียว ก็เป็นไปได้มากที่นางอาจต้องสูญเสียบุตรคนแรกของนางไป

 

 

เมื่อหาจุดที่ค่อนข้างเรียบและลับตาคนได้แล้ว พวกเขาก็หยุดพักลงพร้อมกินอาหารแห้งและดื่มน้ำกันคนละเล็กน้อย

 

 

หลินหานเอ่ยว่า “ขอเพียงไม่เจอทหารที่ตามมาอีก พวกเราออกไปจากที่นี่ได้ก็ไม่น่าเป็นอันใดแล้ว”

 

 

เว่ยลิ่นส่ายหน้า “ถึงแม้จะไม่รู้จุดที่อยู่แน่ชัดนัก แต่หากมองจากทิวเขานี้แล้ว ไม่ว่าพวกเราจะออกไปทางทิศใด ต่างก็อยู่ไกลจากท่านอ๋องและกองทัพตระกูลม่อมากนัก แต่หากพวกเราจะกลับไปทางเก่า…ก็เป็นไปได้สูงที่จะพบกับทหารที่ไล่ตามมาอีก”

 

 

เยี่ยหลีนิ่งคิดเล็กน้อย “หลินหาน เจ้ากลับไปคนเดียว ไปตามหาท่านอ๋อง”

 

 

หลินหานเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า “หากให้ออกไปขอความช่วยเหลือ ให้องครักษ์ลับคนหนึ่งไปก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ให้ข้าน้อยอยู่ที่นี่ยังพอช่วยอันใดได้บ้าง”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่ ทางที่กลับไปจะต้องอันตรายยิ่งนัก ให้เจ้าหรือจั๋วจิ้ง หรือเว่ยลิ่นไปข้าถึงจะวางใจ อีกอย่าง ยามนี้พวกเราอยู่บนภูเขาลึก หากซ่อนตัวให้ดี โอกาสที่จะเจอทหารที่ไล่ตามมาก็น้อยเต็มที รีบไปรีบกลับมา…หากคนที่เดินทางกลับไปเกิดเป็นอันใดขึ้นระหว่างทาง คงไม่มีผู้ใดรู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่ ถึงยามนั้น…”

 

 

เว่ยลิ่นยื่นมือไปตบบ่าหลินหาน พร้อมพยักหน้า

 

 

หลินหานหันมองทุกคน แล้วทำได้เพียงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะตามหาท่านอ๋องให้พบโดยเร็ว!”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “ระวังตัวด้วย”