ตอนที่ 169-2 ไล่ล่า

ชายาเคียงหทัย

เมื่อส่งหลินหานไปแล้ว ทุกคนต่างพักผ่อนอยู่ในที่ที่ค่อนข้างเรียบแห่งนี้ เยี่ยหลีนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง หลังพิงต้นไม้เงยหน้ามองท้องฟ้าที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา มุมปากยกขึ้นเป็นรายยิ้มอย่างเยาะหยัน ช่างน่าเวทนาเสียจริง…การอยู่บนโลกใบนี้

 

 

นางรู้ดีว่าอันที่จริงเป็นนางเองที่แข็งแกร่งไม่พอ นี่อยู่ในยุคของอาวุธโลหะ เมื่อเทียบกับยอดฝีมือทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว นางมีกำลังภายในที่ไม่แข็งแกร่งพอ วิชาตัวเบาก็ไม่ดีพอ ยามอยู่ในสนามรบ เมื่อเทียบกับยอดฝีมือแห่งยุคที่แท้จริงเหล่านั้นแล้ว หลักการการทำศึกที่นางได้เรียนรู้มาทั้งหมดล้วนไร้ประโยชน์ สิ่งที่นางพอพึ่งพิงได้มีเพียงความคิดที่ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปของตนเท่านั้น ครานี้ในการทำศึกกับเจิ้นหนานอ๋อง ถึงแม้ว่าไปแล้วนางจะได้เปรียบกว่า แต่ในใจนางรู้ดีว่า หากอยู่ในสถานการณ์ที่มีกำลังทหารเท่ากัน อย่างมากไม่เกินสามเดือน เป็นไปได้สูงมากที่นางจะตกเป็นฝ่ายแพ้

 

 

และนางก็รู้ว่า อันที่จริง…นางสามารถเลือกที่จะมีชีวิตที่เรียบง่ายและสะดวกสบายกว่านี้ได้มากนัก สำหรับสตรีนางหนึ่งแล้ว มิมีผู้ใดสามารถบอกได้ว่านางทำอันใดไม่ถูกไม่ควร เพียงแต่…อย่างไรนางก็มิอาจให้ตนเองเป็นสตรีที่อ่อนแอในยุคนี้ ที่ต้องนั่งมองบุรุษสู้รบอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นอกบ้าน ส่วนตนนั่งเสพสุข กินอาหารดีๆ ใส่เสื้อผ้าสวยๆ อยู่อย่างปลอดภัยภายในบ้านได้ ถึงแม้ยามนี้จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเวทนาเช่นนี้ นางก็ไม่เคยนึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย อย่างน้อย…นางก็ได้ทำสุดความสามารถของตนแล้ว และไม่ได้รั้งอยู่ที่เมืองหลวง เพื่อรอให้ม่อจิ่งฉีมาจับตัวไปเป็นหมากเพื่อใช้ข่มขู่บิดาของบุตรในครรภ์ของนาง

 

 

เยี่ยหลีเอามือจับต้นไม้ลุกยืนขึ้น เดินไปทางกองไฟ อากาศยามค่ำคืนในต้นฤดูหนาวเริ่มมีความหนาวเย็น องครักษ์ลับทั้งสามที่ง่วนอยู่กับการปิ้งเนื้อต้มน้ำแกง เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามาก็รีบลุกยืนขึ้น

 

 

เยี่ยหลีโบกมือเอ่ยว่า “ทุกคนต่างก็เหนื่อยกันมากแล้ว ไม่ต้องมากพิธีไร้สาระพวกนี้หรอก นั่งลงเถิด”

 

 

องครักษ์สามนายนั้นดูจะไม่เคยเจอเจ้านายที่ทำเช่นนี้มาก่อน จึงเหลือบมองจั๋วจิ้งที่นั่งหลับตาพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ ม่อหวานำคนออกไปล่าสัตว์ พวกเขาจึงจำต้องหันไปถามความเห็นจากคนที่เคยเป็นองครักษ์ลับมาก่อนเช่นจั๋วจิ้ง

 

 

เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาขององครักษ์ลับที่ส่งมา จั๋วจิ้งจึงลืมตาขึ้นมองตอบพวกเขาแล้วเอ่ยว่า “ปฏิบัติตามคำสั่งของพระชายา”

 

 

ทั้งสามคนถึงได้กลับนั่งลงอีกครั้ง ทำงานในมือของตนต่อไปเงียบๆ ด้วยสีหน้าท่าทางที่ดูแข็งเกร็งกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ ยื่นมือออกไปหยิบกิ่งไม้มาเขี่ยกองไฟ แล้วหยิบเนื้อนกที่เสียบไม้ปิ้งจนสุกแล้วโยนขึ้นไปบนกิ่งไม้ เว่ยลิ่นที่นั่งห้อยโหนอยู่บนต้นไม้ก็ยื่นมืมาคว้าไว้ได้พอดี ก่อนนำเข้าปากโดยมิได้พูดอันใดให้มากความ

 

 

จั๋วจิ้งที่นั่งอยู่บนต้นไม้อีกต้นถึงกับน้ำลายไหล “พระชายา…”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วเรียว แล้วจึงหยิบอีกไม้หนึ่งขึ้นมาโยนไปให้ จั๋วจิ้งส่งเสียงยินดีแล้วจึงกินเข้าไปอย่างเอร็ดอร่อย

 

 

เมื่อเยี่ยหลีหันกลับมาเห็นเหล่าองครักษ์ลับมองท่าทีที่พวกเขามีต่อกันด้วยความประหลาดใจ จึงยิ้มเอ่ยว่า “หิวกันหมดแล้ว กินก่อนเถิด ไว้รอให้พวกม่อหวากลับมาก่อนแล้วค่อยปิ้งของพวกเขาก็ได้”

 

 

จั๋วจิ้งกินเนื้อปิ้งไปพลาง เอ่ยเสียงงึมงำไปพลางว่า “ข้าบอกแล้ว…ข้าออกไปหาอาหาร จะต้อง…เร็วกว่า แค่กๆ…ม่อหวานัก…”

 

 

ท่าทีที่ปฏิบัติต่อกันระหว่างเยี่ยหลีและจั๋วจิ้ง ดูจะทำให้บรรยากาศผ่อนคลายคงไม่น้อย

 

 

เยี่ยหลำพยายามอดกลั้นความรู้สึกคลื่นไส้กับกลิ่นควันและกลิ่นน้ำมันที่ออกมาจากเนื้อ แล้วกินเนื้อย่างในมืออย่างไร้ความอยากอาหาร

 

 

องครักษ์ลับนายหนึ่งเห็นท่าทางของนาง จึงหยิบผลไม้ป่าลูกกลมสีแดงสดส่งให้เยี่ยหลี เอ่ยด้วยความกระดากอายเล็กน้อยว่า “ข้าน้อยเก็บสิ่งนี้มาระหว่างทาง หากพระชายาไม่รังเกียจ ก็รับประทานอันนี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลียิ้ม ยื่นมือไปหยิบมาเช็ดเล็กน้อย ก่อนยกขึ้นกัด ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวเล็กน้อยทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาก จึงหันไปพยักหน้าพร้อมยิ้มให้กันองครักษ์ลับพร้อมเอ่ยว่า “ขอบใจเจ้ามาก”

 

 

องครักษ์ลับหน้าแดงขึ้นทันที รีบเอ่ยว่ามิกล้า

 

 

เยี่ยหลีกินผลไม้ป่าไปพลาง มององครักษ์ลับที่ลอบมองสำรวจตนด้วยความอยากรู้อยากเห็น นางยิ้มน้อยๆ เอ่ยถามเบาๆ ว่า “ครานี้ลำบากพวกเจ้าแล้ว กลัวหรือไม่”

 

 

องครักษ์ลับเหล่านี้ล้วนเป็นเด็กหนุ่มที่มีฝีมือดีเยี่ยม หากต่อไปได้ย้ายหน่วย ไม่ว่าจะเป็นหน่วยเฮยอวิ๋นฉีของกองทัพตระกูลม่อหรือฉีหลิน ต่างล้วนมีอนาคตที่สดใสทั้งสิ้น แต่พวกเขากลับต้องมาติดตามนางเกือบทั้งหมด

 

 

“ไม่กลัวพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์ลับที่ให้ผลไม้กับเยี่ยหลีเอ่ยขึ้นเสียงก้อง “มีโอกาสได้สละชีพเพื่อความจงรักภักดีต่อท่านอ๋องและพระชายา ถือเป็นเกียรติขององครักษ์ลับพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“เหลวไหล” เยี่ยหลีเอ่ยว่าขึ้นเบาๆ “หากไม่รักษาชีวิตไว้ก่อน จะสละชีพเพื่อความจงรักภักดีได้อย่างไร หากตายกันหมดเสียแล้ว ผู้ใดจะจงรักภักดีต่อตำหนักติ้งอ๋องอีกเล่า”

 

 

เด็กหนุ่มทั้งสามมองเยี่ยหลีด้วยความงงงวย สิ่งที่พระชายาพูดดูจะขัดกับสิ่งที่พวกเขาได้รับการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เล็กๆ ทำให้พวกเขาไม่ค่อยเข้าใจนัก

 

 

“หรือว่าความหมายของพระชายาคือ พวกเราควรเห็นแก่ชีวิตตนเองแล้วหนีเอาชีวิตรอดก่อนหรือพ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้พวกเราจะมิได้เป็นหน่วยเฮยอวิ๋นฉีหรือกองทัพตระกูลม่อที่มีชื่อเสียงสะท้านไปหลายแคว้น แต่ก็ทำเช่นนั้นไม่ลงหรอกพ่ะย่ะค่ะ” เด็กหนุ่มทั้งสามดูจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เยี่ยหลีเอ่ย

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “การตายนั้น มีความสำคัญประหนึ่งภูเขาไท่ซาน แต่ก็เบาบางประหนึ่งขนนก หากเพื่อเรื่องเพียงเล็กน้อยแล้ว ยอมสละชีวิต หรือเจออุปสรรคเพียงเล็กน้อย ก็ต้องปาดคอจะเป็นจะตายแล้วล่ะก็ นั่นไม่ถือเป็นการจงรักภักดีจนถึงชีวิต แต่เป็นการจงรักภักดีที่โง่เขลา แต่หากเพื่อเรื่องใหญ่ เพื่ออุดมการณ์ หรือเพื่อความเชื่อ และได้พยายามทุ่มเททำทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถทำได้ แล้วสุดท้ายทำได้เพียงต้องสละชีวิต เช่นนั้นต่อให้ต้องตายหรือพ่ายแพ้ ย่อมถือเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง”

 

 

เด็กหนุ่มทั้งสามนิ่งใช้ความคิด อันที่จริงองครักษ์หรือคนที่ทำหน้าที่ประเภทนี้ต่างมีกฎที่รู้กันโดยไม่เป็นลายลักษณ์อักษร อาทิ หากภารกิจสำคัญล้มเหลว หลายๆ คนต่างก็เลือกที่จะใช้ความตายเป็นการชดใช้ความผิด พวกเขาที่เป็นองครักษ์ลับจึงย่อมเห็นตัวอย่างเช่นนั้นมาไม่น้อย และบางคนอาจถึงขั้นมีความคิดเช่นเดียวกันนี้ ดังนั้น ในครานี้ถึงแม้จะมีพี่น้องที่ต้องตายไปจากการอารักขาพระชายา ซึ่งพวกเขาก็ย่อมเสียใจ แต่พวกเขาก็ได้เตรียมใจไว้ก่อนแล้ว หากเกิดเหตุอันใดขึ้นกับพระชายา พวกเขาทั้งหมดก็จะใช้ความตายชดใช้ความผิด แต่เมื่อได้ฟังพระชายาเอ่ยเช่นนี้ ประหนึ่งทำให้พวกเขาได้รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาคิดจะทำนั้นไม่ถูกต้อง

 

 

“พระชายา…หากทำความผิด ไม่ควรใช้ความตายชดใช้ความผิดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีถึงกับกลอกตาขึ้นฟ้า เอ่ยถามว่า “หากคนที่ทำความผิดแล้วใช้ความตายชดใช้ ความผิดนั้นก็จะไม่มีอยู่แล้วหรือ”

 

 

“เช่นนั้น…ควรทำเช่นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“แน่นอนว่าต้องพยายามใช้ชีวิตต่อไปให้ดี เพื่อชดเชยความผิดของตนที่ได้ทำไว้ การใช้ความตายเพื่อให้ทุกอย่างผ่านไปนั้นเป็นการกระทำของคนขี้ขลาด” เยี่ยหลีเอ่ยอย่างหนักแน่น

 

 

เด็กหนุ่มทั้งสามคนนิ่งคิดไปอยู่พักใหญ่ หนึ่งในนั้นเอ่ยถามด้วยความระมัดระวังว่า “พระชายา คือว่า…หน่วยกิเลนยังต้องการคนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีคลี่ยิ้ม “พวกเจ้าก็รู้เรื่องหน่วยกิเลนหรือ”

 

 

ทั้งสามพยักหน้าพร้อมกัน หน่วยกิเลนมิได้เป็นความลับต่อตำหนักติ้งอ๋องหรือกองทัพตระกูลม่อเสียทีเดียว เมื่อเทียบกับกองทัพตระกูลม่อหลายแสนนายที่กระจายกันอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ แล้ว ดูองครักษ์ลับจะรู้เรื่องนี้กันมากกว่ามากนัก

 

 

เด็กหนุ่มทั้งสามเหลือบมองจั๋วจิ้งและเว่ยลิ่นที่นั่งห้อยตัวอยู่บนต้นไม้ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉา พวกเขาต่างก็เกิดมาจากการเป็นองครักษ์ลับ บางคนถึงขั้นเคยร่วมฝึกฝนและเติบโตมาพร้อมกับพวกเขา แต่ในยามนี้พวกเขากลับดูต่างกันมากนัก

 

 

เยี่ยหลีผินหน้าไปเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “แน่นอน หากครานี้พวกเจ้ามีชีวิตรอดกลับไปได้ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะลองพูดกับฉินเฟิงดู ให้เขาลองให้โอกาสพวกเจ้าดู เพียงแต่…พวกเจ้าต้องไปพูดกับม่อหวาเองนะ?”

 

 

เด็กหนุ่มทั้งสามตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าอันอ่อนเยาว์เป็นประกายขึ้นมาทันที กลบความเหนื่อยล้าและอาการเกร็งที่มีก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น

 

 

“มีคนมา!” จั๋วจิ้งและเว่ยลิ่นที่อยู่บนต้นไม้กระโดดลงมาพร้อมกัน ลงมาอยู่ข้างกายเยี่ยหลีด้วยสีหน้าระแวดระวัง คนอื่นๆ ที่เหลือก็ต่างรีบยืนขึ้นมาอยู่ในท่าที่พร้อมต่อสู้

 

 

เยี่ยหลีเงี่ยหูฟัง เอ่ยเสียงขรึมว่า “เป็นคนสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งกำลึงขึ้นมาบนเขา อยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก อีกกลุ่มลงมาจากบนเขา เป็นพวกม่อหวา”

 

 

องครักษ์ลับที่อยู่ด้านหลังดับกองไฟอย่างรวดเร็ว ไม่นานม่อหวาพร้อมคณะอีกสามสี่คนก็กลับมาถึง

 

 

ม่อหวาเอ่ยด้วยใบหน้านิ่งขรึมว่า “เมื่อครู่ตอนอยู่บนเขา เห็นคนกำลังเดินขึ้นเขามา”

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “คงเดินทางลงเขาไปไม่ได้ เขาด้านล่างในยามนี้ถูกล้อมไว้ไม่มีทางไปแล้ว บนเขามีทางไปหรือไม่”

 

 

ม่อหวาเอ่ยว่า “บนยอดเขามีหน้าผาอยู่แห่งหนึ่ง ยอดเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตัดขาดจากที่นี่ หากสามารถข้ามไปได้…”

 

 

“ข้ามไปได้หรือไม่” เยี่ยหลีเอ่ยถาม

 

 

ม่อหวาพยักหน้าน้อยๆ “ลองดูได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพ่นลมหายในออกทางปากเบาๆ เอ่ยเสียงขรึมว่า “ขึ้นเขากันเถิด”