ตอนที่ 519

Elixir Supplier

519 ทดสอบยาสูตรใหม่

 

แน่นอนว่า หวังเย้ารู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ความจริงแล้ว ถ้าหากดูกันที่ความสามารถ เขาก็อาจจะเป็นหมอที่เก่งที่สุดในเมืองหรือแม้กระทั่งจังหวัดเลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องไปพูดถึงเมืองเล็กๆแบบนี้เลย

 

ในตอนนี้เขากำลังทดสอบสูตรยาตัวใหม่อยู่ เขาได้รับสมุนไพรรากชนิดใหม่มาสองสามตัว ซึ่งกำลังเติบโตเป็นอย่างดีอยู่ในแปลงสมุนไพร เขายังเหลือยาอายุวัฒนะอยู่อีกบางส่วน เขาต้องการที่จะเพิ่มสมุนไพรลงไปในสูตรยาของยาอายุวัฒนะ เพื่อให้ประสิทธิภาพของตัวยาเพิ่มขึ้น ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะจินตนาการของเขาล้วนๆ

 

หวังเย้าต้องการสร้างสูตรยาที่สามารถรักษาได้ทุกโรค คล้ายกับยาวิเศษในเทพนิยาย เขาต้องการให้ยาตัวใหม่สามารถรักษาได้ทุกโรคและยืดอายุให้ผู้ที่กินยาเข้าไปได้ด้วย

 

นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของเขา มันเป็นความคิดที่วิเศษ แต่มันต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย

 

ติ้ง! โอม!

 

ในตอนที่เขากำลังยุ่งอยู่กับงานอยู่นั้น ก็มีเบอร์แปลกๆโทรเข้ามา

 

“หืม?”

 

หวังเย้ามองดูเบอร์และกดรับสาย

 

“ฮัลโหล ผมกำลังพูดอยู่กับหวังเย้าใช่รึเปล่า?” น้ำเสียงแหบแห้งราวกับได้รับความเสียหายมาดังมาจากปลายสาย

 

“ใช่ นี่ใครพูดครับ?” หวังเย้าถาม

 

ตู๊ด!ตู๊ด!ตู๊ด! คนที่อยู่ปลายสายกดวางสายไป

 

“ใครกัน?” หวังเย้างุนงง

 

มีคนโทรมาเพื่อยืนยันว่าถูกเบอร์รึเปล่าด้วยเหรอ? เขากดบันทึกเบอร์แปลกนี้เอาไว้และทำงานของเขาต่อไปจนดึกดื่น

 

หวังเย้ามองดูท้องฟ้ายามราตรีอยู่ที่หน้ากระท่อม เขาพอจะมองเห็นดวงดาวด้านหลังม่านเมฆได้ลางๆ มันเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์ ราวกับเขาสามารถมองเห็นของที่อยู่ภายในกล่องได้

 

เมื่อเขาอยู่บนเนินเขา เขาก็จะสามารถมองดูท้องฟ้าเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่เขาต้องการ เขาทำแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เขาพบว่า เขาสามารถมองเห็นอะไรได้มากขึ้นและเริ่มมองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านหลังก้อนเมฆได้ด้วย

 

“พรุ่งนี้ จะเป็นวันที่สดใส” หวังเย้าพึมพำ

 

 

ค่ำคืนในปักกิ่งยังคงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนและแสงสี เพราะผู้ต้องทำงานในตอนกลางวัน เวลากลางคืนทุกคนจึงออกมาปลดปล่อยความเครียดและทำให้ปักกิ่งดูคึกคักยิ่งกว่าตอนกลางวัน มันเป็นเพียงช่วงเวลาเดียวที่พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานและหาความสุขใส่ตัวเองในยามราตรี ส่วนเรื่องการนอนนั้น มันไม่ได้จำเป็นสำหรับพวกเขานัก

 

ซูฉางเหอกับหลูเสี่ยวเหมยได้นัดพบกันในคาเฟ่น่านั่งแห่งหนึ่ง

 

“ว่าไง เสี่ยวเหมย มีเรื่องด่วนอะไรเหรอ? ปกติเธอไม่เคยนัดพบฉันดึกแบบนี้มาก่อนเลยนะ” ซูฉางเหอพูด

 

“ฉันไปตรวจกับอีกโรงพยาบาลหนึ่งมา” หลูเสี่ยวเหมยพูดในขณะที่เธอมองแสงสีที่อยู่ด้านนอกร้าน

 

“แล้วเป็นยังไงบ้าง?” ซูฉางเหอถาม

 

“ผลตรวจออกมาว่า ฉันหายดีแล้ว” หลูเสี่ยวเหมยพูด

 

“จริงเหรอ? เยี่ยมไปเลย” ซูฉางเหอพูด

 

“แต่ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย” หลูเสี่ยวเหมยพูด

 

ถึงแม้ผลตรวจเลือดจะไม่ได้ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันก็แสดงให้เห็นว่า หลูเสี่ยวเหมยเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว เพราะความผิดพลาดของผลตรวจมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่น อาจมีความต่างของตัวเลขจาก 99 อาจเป็น 100 มันไม่มีทางผิดพลาดจาก 60 เป็น 100 ได้

 

“เรื่องนี้ง่ายมาก พรุ่งนี้เธอมาตรวจที่โรงพยาบาลที่ฉันทำงานอยู่สิ” ซูฉางเหอพูดด้วยรอยยิ้ม

 

“พอฉันคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็มีความสุขมากเลยล่ะ” หลูเสี่ยวเหมยพูด

 

“ฉันพอจะมองออก” ซูฉางเหอพูด

 

“นายรู้ไหม ที่ผ่านมาฉันรู้สึกเหมือนแบกทุกอย่างเอาไว้บนบ่า ฉันเหนื่อเหลือเกิน ฉันถึงขนาดคิดอยากตายด้วยซ้ำ แต่ถ้าฉันตายแล้วเสี่ยวเซียวจะทำยังไง? หมอหวังได้มอบความหวังให้กับฉัน ต้องขอบคุณนายที่พาฉันไปรักษากับเขานะ” หลูเสี่ยวเหมยยิ้ม เธอไม่ได้บอกเรื่องที่เธอป่วยกับใครเลย

 

“ตอนนี้เธอก็สบายใจได้แล้วนะ” ซูฉางเหอพูด

 

“อืม” หลูเสี่ยวเหมยพูด

 

“พรุ่งนี้ฉันเข้าเวร ฉันจะรอเธอที่โรงพยาบาลนะ” ซูฉางเหอพูด

 

“โอเค” หลูเสี่ยวเหมยพูด

 

 

เช้าวันต่อมา พระอาทิตย์โผล่พ้นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ และหวังเย้าก็เช่นกัน เขาวางแผนที่จะไปเยี่ยมยายของเขา มันใกล้จะถึงช่วงวันไหว้เทพแห่งครัวแล้ว เขาอยากจะไปหาตายายและเอาของขวัญไปให้พวกเขาด้วย

 

ตายายของหวังเย้าต่างก็ยังคงกระฉับกระเฉง ตอนที่หวังเย้าไปถึงที่บ้าน พวกเขาก็กำลังเก็บกวาดบริเวณบ้านของพวกเขาอยู่ หวังเย้าจึงเข้าไปช่วยทำความสะอาดไปตลอดทั้งเช้า จากนั้น หวังเย้าก็อยู่ทานอาหารกลางวันที่บ้านของตายาย

 

 

“ว้าว มันเป็นไปได้ยังไงกัน?” หมอที่ทำงานในโรงพยาบาลเดียวกับซูฉางเหอถาม

 

“อะไรเหรอ หมอซุน?” ซูฉางเหอถาม

 

“ตอนนี้ เพื่อนของคุณไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ” หมอซุนพูด

 

“จริงเหรอ? คุณดูผลตรวจละเอียดแน่แล้วนะ?” ซูฉางเหอกำลังยิ้มอยู่

 

“แน่นอน ผมอ่านมันตั้งสามรอบ เอาไปดูสิ ถ้าคุณยังกังวลอยู่ คุณก็ให้เพื่อนของคุณมาตรวจที่นี่อีกรอบในอีก 15 วันข้างหน้าก็ได้” หมอซุนพูด

 

“โอเค ขอบคุณนะ” ซูฉางเหอพูด

 

“ยินดีๆ” หมอซุนพูด หลังจากที่ซูฉางเหอและหลูเสี่ยวเหมยออกไปแล้ว เขาก็เดาะลิ้นและจ้องมองไปที่ผลตรวจ

 

วิธีการรักษาของฉันได้ผลดีขนาดนั้นเลยเหรอ? เขายังคงสงสัยไม่หาย เพราะถึงยังไง นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาวางแผนการรักษาคนไข้ที่มีอาการป่วยคล้ายกับหลูเสี่ยวเหมย แต่มันก็ไม่เคยได้ผลดีขนาดนี้มาก่อน เขาคิดไม่ออกเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น

 

“ตอนนี้ เธอสบายใจได้แล้วรึยัง?” ซูฉางเหอถาม

 

“อืม” หลูเสี่ยวเหมยพูด

 

“ฮาฮา ฉันเดาว่า หมอซุนคงจะงงกับผลตรวจมากเลยล่ะ แล้วเธอได้รับยาที่เขาจัดให้ด้วยรึเปล่า?” ซูฉางเหอถาม

 

“รับสิ ฉันไม่อยากให้เขาสงสัยน่ะ” หลูเสี่ยวเหมยพูด

 

“ยาพวกนั้นก็ไม่ใช่ถูกๆ ทำไมถึงได้ซื้อมาทั้งหมดล่ะ?” ซูฉางเหอถาม

 

“ฉันไม่ได้กินยาพวกนั้นซักเม็ด แต่เอาพวกมันไปขายให้กับร้านขายยาแทน มียาสองตัวที่เป็นที่นิยมมาก แล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาซื้อพวกมันในร้านขายยา” หลูเสี่ยวเหมยพูด เพื่อนคนหนึ่งของเธอเปิดร้านขายยาอยู่ เธอจึงเอายาพวกนั้นไปขายให้กับเพื่อนของเธอเอง

 

“ฉันอยากจะไปที่หมู่บ้านนั้นอีกครั้ง เพื่อไปขอบคุณหมอหวัง แล้วนายพอจะรู้ไหม ว่าหมอหวังเขาชอบอะไร?” หลูเสี่ยวเหมยถาม

 

“อืมมม ขอฉันคิดดูก่อนนะ” ซูฉางเหอพูด “ฉันเคยเห็นตำราแพทย์กับคัมภีร์เต๋าอยู่บนโต๊ะของเขา ฉันเดาว่า เขาน่าจะชอบของพวกนั้น โดยเฉพาะของเก่า”

 

“ของเก่าเหรอ? ฉันเข้าใจแล้ว” หลูเสี่ยวเหมยพูด

 

 

ในปักกิ่งมีบ้านโบราณอยู่หลายหลัง บางส่วนถูกซื้อโดยผู้มีอำนาจและตระกูลร่ำรวย ที่เหลือก็ยังคงถูกรักษาเอาไว้โดยรุ่นลูกรุ่นหลาน

 

ภายในห้องนอนของบ้านเก่าหลังหนึ่ง มีหลายคนกำลังนั่งอยู่รอบเตียงหลังหนึ่ง ซึ่งมีชายชราร่างผอมแห้งนอนอยู่บนนั้น ใบหน้าของเขาแห้งตอบและอมเหลือง เขาดูราวกับต้นสนที่อมโรค

 

“พ่อ?” หนึ่งในลูกของชายชราร้องเรียกเขาอย่างอ่อนโยน

 

“อืม” ชายชราตอบกลับอย่างอ่อนแรง เขามีอาการหายใจหอบเล็กน้อย

 

“หมอเฉิน?” หนึ่งในลูกของชายชราพูดขึ้นมา

 

“อาการของพ่อเธอทรุดลงเร็วกว่าที่ฉันคิดไว้” หมอเฉินพูด “ฉันพยายามยื้อชีวิตของเขาเอาไว้ แต่ถ้าเธออยากจะให้อาการของเขาดีขึ้น เธอก็ต้องไปเสาะหาวิธีการรักษาจากที่อื่นมา”

 

“แล้วเรื่องการผ่าตัดล่ะครับ?” หนึ่งในลูกของชายชราถาม

 

หมอเฉินขมวดคิ้ว “พ่อของเธออายุก็มากแล้ว และอาการของเขาก็หนักขนาดนี้ ฉันไม่แนะนำให้ผ่าตัดจะดีกว่านะ”

 

การผ่าตัดสามารถส่งผลต่อสภาพร่างกายของตัวผู้ป่วยได้ ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เข้ารับการผ่าตัด พวกเขาก็จะสูญเสียพลังฉีในร่างกายไปเป็นจำนวนมาก เพราะร่างกายของมนุษย์คือส่วนสำคัญที่สุด การผ่าตัดคือการผ่าเพื่อเปิดร่างกายและมันจะส่งผลต่อชีวิตของมนุษย์ เหมือนกับรถคันหนึ่ง หลังจากที่ถูกถอดอะไหล่ออก การทำงานของเครื่องยนต์ก็จะไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก

 

“ผมเข้าใจแล้วครับ” หวูถงชิ่งพูด “ผมจะไปที่หมู่บ้านนั้นเดี๋ยวนี้เลย”

 

เขารีบเดินทางไปที่หมู่บ้านที่หวังเย้าอาศัยอยู่ในทันที

 

“ท่านครับ พรุ่งนี้ท่านมีนัดการประชุมนะครับ” ผู้ช่วยของเขาพูด

 

“บอกพวกเขาว่าฉันไม่เข้าประชุม” หวูถงชิ่งพูด

 

นี่เป็นการเดินทางมาเป็นครั้งที่สามในรอบเดือนของหวูถงชิ่ง

 

ในขณะเดียวกันนั้น หวังเย้าก็กำลังพบหน้ากับหลูเสี่ยวเหมย ที่เดินทางมาจากปักกิ่ง

 

“ดีมากครับ ผมจะให้ยาคุณเป็นครั้งสุดท้ายนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“ขอบคุณค่ะ” หลูเสี่ยวเหมยพูด

 

ตอนนี้เธอหายดีแล้ว ภาระบนบ่าของเธอได้สลายหายไป ดังนั้น เธอจึงมีความสุขอย่างมาก

 

“หมอหวังคะ นี่เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆค่ะ ฉันอยากจะมอบให้คุณเพื่อเป็นการขอบคุณที่คุณรักษาฉัน ฉันหวังว่าคุณจะชอบมันนะคะ” หลูเสี่ยวเหมยพูด

 

“ผมขอรับไว้แค่คำขอบคุณ แต่ขอไม่รับของขวัญนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“ได้โปรดรับมันไว้เถอะค่ะ มันก็แค่หนังสือเล่มหนึ่งเท่านั้น” หลูเสี่ยวเหมยพูด

 

“หนังสือเหรอ? หนังสือเก่าใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม

 

“ก็ประมาณนั้นค่ะ มันเป็นหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นมาในยุคราชวงศ์ชิง ฉันได้มันมาจากห้องสมุด มันไม่ได้แพงอะไรเลยนะคะ” หลูเสี่ยวเหมยพูด

 

“ผมขอดูหน่อยได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม

 

เขามีความสนใจในหนังสือเก่ามาก โดยเฉพาะหนังสือที่เกี่ยวกับการแพทย์ แต่หลูเสี่ยวเหมยไม่ได้เอาหนังสือการแพทย์มามอบให้เขา มันคือคัมภีร์เต๋าที่มีชื่อว่า บทความไท่ช่างก่านหยิง

 

หลังจากที่เปิดอ่านดูได้สองสามหน้า เขาก็ถูกเนื้อหาในหนังสือดึงดูดความสนใจ มันเป็นหนังสือเก่า มันเป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง

 

“ขอบคุณนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“ฉันดีใจที่คุณชอบนะคะ” หลูเสี่ยวเหมยพูด

 

ในตอนที่เดินออกไปจากคลินิก เธออยู่ในอารมณ์ที่ดีอย่างมาก เวลานี้เธอรู้สึกโล่งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

ในช่วงสาย มีรถคันหนึ่งขับเข้ามาในหมู่บ้าน หลังจากที่รถจอดลงตรงหน้าคลินิกของหวังเย้า ก็มีชายคนหนึ่งเดินลงมากตัวรถ